บทที่ 641 ความเสี่ยงที่พร้อมเผชิญ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 641 ความเสี่ยงที่พร้อมเผชิญ

หากมีแต่หูเหลาป่าคนเดียวที่พูดออกมาเช่นนั้นมันก็คงดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ แต่เมื่อมีโจวเหลาซือคอยช่วยยืนยันด้วยอีกแรง…

โจวเหลาซือได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่จริงใจมากที่สุดในกลุ่มของพวกเขาแล้ว

คำพูดของโจวเหลาซือย่อมเชื่อถือได้

“สรุปก็คือ พื้นที่รกร้างว่างเปล่าเมื่อวานนี้ กลับกลายเป็นทุ่งสมุนไพรเขียวขจีในวันนี้แล้วอย่างนั้นหรือ…”

หยางต้าซานยกมือนวดขมับอย่างใช้ความคิด “ไม่ว่าจะเป็นที่ดินของค่ายพักชาวเมืองหยุนเมิ่ง หรือว่าจะเป็นที่ดินไหนๆ ในพื้นที่เขตสอง ต่างก็เป็นดินที่ไม่เหมาะสมต่อการทำการเกษตรอย่างยิ่ง มันเป็นดินที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อันใดได้เลยด้วยซ้ำ แต่ปาฏิหาริย์ที่ชาวเมืองหยุนเมิ่งสามารถปลูกข้าวและสมุนไพรเหล่านั้นได้สำเร็จ หรือว่าจะเป็นการอำนวยพรจากเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์?”

เรื่องเหล่านี้คงมีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ทำได้

หูเหลาป่าพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “พี่น้องทุกท่าน ข้าตัดสินใจแล้วว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งจะต้องเป็นผู้คนที่พวกเราพึ่งพาได้อย่างแน่นอน พวกเราอยู่เฉยๆ ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา และมีคนไม่มากที่อยากรับพวกเราเข้าทำงาน ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าคุณชายหลินไม่ใช่คนโกหก เราลองมาเชื่อคำพูดของเขาดูสักครั้งดีกว่า”

โจวเหลาซือก็กล่าวสนับสนุนเช่นกันว่า “นี่เป็นโอกาสเดียวของพวกเราแล้ว”

ชายหนุ่มทุกคนจึงหันกลับมามองหยางต้าซานผู้เป็นลูกพี่ใหญ่

พวกเขาต่างก็มีสถานะเป็นหัวหน้าครอบครัว ทั้งครอบครัวหยาง ครอบครัวหลี่ ครอบครัวจาง ครอบครัวโจว ครอบครัวเติ้ง ครอบครัวหวัง ครอบครัวหลิว ครอบครัวฉี และครอบครัวหู…

บุรุษหนุ่มทั้งแปดต่างก็นำครอบครัวของตนเองหลบหนีออกมาจากเมืองหยินเหยียน เผชิญชะตากรรมทั้งสุขและเศร้ามาด้วยกันไม่ใช่น้อย ยามใดที่เกิดความลำบาก ทุกคนจะคอยช่วยเหลือกันและกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา จึงสามารถอยู่รอดในพื้นที่เขตสองโดยไม่มีปัญหา

หากพวกเขาไม่ได้สามัคคีเช่นนี้ ก็คงต้องตกตายกันไปนานแล้ว

ในฐานะลูกพี่ใหญ่ การตัดสินใจของหยางต้าซานถือเป็นการตัดสินใจของส่วนรวม ทุกครั้งที่มีเรื่องสำคัญให้ตัดสินใจ ทุกคนจึงยกหน้าที่นี้ให้เป็นของหยางต้าซานโดยสมบูรณ์

“ตกลง”

หยางต้าซานตบเข่าฉาดพร้อมกับพูดว่า “เราลองมาเดิมพันกันดูสักครั้ง ข้าตัดสินใจ… เชื่อใจคุณชายหลิน”

ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในการตัดสินใจครั้งนี้

หลี่เหลาเอ้อร์จึงเป็นแกนนำช่วยกระจายข่าวหาคนงานเพิ่มในค่ายที่พักของชาวเมืองหยินเหยียน

หยางต้าซานนำโอสถเป่ยเฉินออกมาให้ภรรยาของตนเองและกล่าวว่า “เจ้าจงนำยาลูกกลอนเม็ดนี้ไปให้พี่สะใภ้อู๋ รอให้เด็กๆ กินอิ่มท้องเสียก่อน จากนั้นจึงบอกให้พี่สะใภ้ได้ทราบว่าค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งกำลังเปิดรับสมัครคนงานจำนวนมาก โดยเฉพาะช่างฝีมือดีอย่างพี่สะใภ้อู๋ต้องได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษแน่นอน บอกให้นางลองไปสมัครงานดู อย่างน้อยเด็กๆ ก็จะได้ไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไป”

ภรรยาของหยางต้าซานเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาเช่นเดียวกับผู้เป็นสามี รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปพูดกับพี่สะใภ้อู๋เดี๋ยวนี้… เฮ้อ นับตั้งแต่ที่พี่อู๋ตายไป ทุกครั้งที่ข้าได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยความหิวโหยของเหล่าเด็กน้อย ข้าก็มักจะรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจทุกที”

ภรรยาของหยางต้าซานพูดออกมาอย่างมีความสุข

ณ ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

หลินเป่ยเฉินเดินหอบหายใจเข้าไปในกระโจมที่พักของตนเอง ขณะที่ฮันปู้ฟู่เดินตามหลังเข้ามาด้วยความเงียบงันตามปกติ

“เฮ้อ ศิษย์พี่ฮัน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ไม่ทราบว่าจัดการธุระสำคัญเสร็จแล้วหรือไม่?” หลินเป่ยเฉินพูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและเหน็ดเหนื่อย

เมื่อสักครู่นี้ เขาเพิ่งไปใช้พลังปราณธาตุไม้ของตนเองทำให้สวนสมุนไพรเจริญเติบโตพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว หลินเป่ยเฉินในขณะนี้จึงแทบไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

เนื่องจากตอนนี้ โอสถเป่ยเฉินกลายเป็นแหล่งอาหารหลักของทุกคน ความต้องการสมุนไพรที่จะนำมาหลอมเป็นยาลูกกลอนจึงสูงมากขึ้นตามไปด้วย หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องใช้พลังปราณธาตุไม้ของตนเองเร่งการเจริญเติบโตของพืชผักและสมุนไพรในทุกๆ วัน เพื่อไม่ให้อาหารของชาวเมืองต้องขาดแคลน

“แล้วศิษย์น้องหงเซียงทำไมไม่ติดตามมาด้วยล่ะขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดผลไม้วิเศษออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ ใช้มีดปอกผลไม้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เมื่อตนเองรับประทานไปได้หลายชิ้นแล้ว เขาจึงได้ยื่นส่งไปให้แก่ฮันปู้ฟู่พร้อมกับพูดว่า “นี่คือผลไม้ชนิดใหม่ รบกวนศิษย์พี่ลองชิมดูว่ามันมีรสชาติเป็นอย่างไร”

นี่คือผลไม้จากสวนที่หลินเป่ยเฉินเลือกสรรและเพาะปลูกด้วยตนเอง ส่วนใหญ่แล้วมันจะมาจากเมล็ดพืชที่เขาซื้อจากแอป Taobao เพื่อเก็บคะแนนศรัทธาสำหรับผู้ซื้อ แต่ด้วยความที่เป็นผลไม้จากดินแดนทวยเทพ ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงได้ทั้งสิ้น

ฮันปู้ฟู่รับผลไม้ไปรับประทานชิ้นหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ผลไม้ชนิดนี้มีรสชาติดีทีเดียว เมื่อเด็กหนุ่มรุ่นพี่รับประทานได้สามชิ้นต่อเนื่อง สุดท้ายเขาก็พยักหน้า กล่าวว่า “ภารกิจพิเศษของพวกข้าจบสิ้นลงแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเหลียวหวังซูตกตายไปเช่นนี้ด้วยฝีมือของเจ้า ความลับดำมืดทุกอย่างที่เขาได้ปิดบังเอาไว้ก็ถูกเปิดโปงออกมา ทางเบื้องบนไม่อยากปล่อยให้ลูกสมุนของเหลียวหวังซูกลายเป็นเนื้อร้ายคอยกัดกินระบบราชการ ในที่สุด ทุกคนก็ถูกกำจัดทิ้งไปหมดสิ้น!”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ “ข้านี่มันแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรจริงๆ อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

ฮันปู้ฟู่ไม่สนใจความหลงตัวเองของอดีตเพื่อนร่วมสถาบัน

หลังจากเคี้ยวผลไม้วิเศษในปากหมดสิ้น เด็กหนุ่มรุ่นพี่ก็กล่าวต่อ “แต่นอกจากนี้ ข้ายังค้นพบความผิดปกติบางอย่าง ปรากฏว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเจ้า ล้วนแต่ถูกปิดบังไม่ให้ผู้คนในนครเจาฮุยได้รับทราบ หรือถึงบางคนรับทราบ ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดออกมา เมื่อข้าลองสืบสวนลึกเข้าไป ถึงได้รู้ว่านี่เป็นคำสั่งที่ออกมาจากจวนผู้ว่าโดยตรง และข้อมูลรวมถึงศิลาบันทึกภาพที่ได้เก็บความยอดเยี่ยมของเจ้าเอาไว้ทั้งหมด ก็ถูกนำไปทำลายทิ้งหมดสิ้นแล้วเช่นกัน”

ต่อให้หลินเป่ยเฉินจะเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็ยังอดสบถคำหยาบออกมาไม่ได้อยู่ดี…

ทำแบบนี้เท่ากับว่าผู้ว่าการประจำนครเจาฮุยต้องการตัดช่องทางทำมาหากินของเขาชัดๆ เลยนะ

ให้ตายสิ

เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

แบบนี้เท่ากับไม่ให้เกียรติเขาเลยสักนิด

ช่วงหลังเด็กหนุ่มวุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ มากเกินไปหน่อย จนลืมสืบสวนเรื่องนี้ไปเสียสนิท

เห็นทีคงได้เวลาสืบหาคำตอบที่แท้จริงแล้วกระมัง

“แต่มันจะเป็นไปได้หรือขอรับ ข้าจำได้ว่าพิธีตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้านั้น มีการถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งมณฑล หรืออาจจะทั่วทั้งจักรวรรดิเลยด้วยซ้ำ” หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับอย่างไม่ยอมแพ้ “เหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ มีหรือที่ชาวเมืองเจาฮุยจะไม่ติดตามด้วยความตื่นเต้น? หรือว่าพวกเขาไม่ได้รับชมถ่ายทอดสด?”

ฮันปู้ฟู่ตอบว่า “พิธีการตรวจสอบวิหารครั้งนั้นถูกตัดจบโดยที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ สัญญาณขาดหายไปก่อนที่การต่อสู้ทุกอย่างจะจบลง ดังนั้น เรื่องที่เจ้ารับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่และสามารถเอาชนะคุณชายเหลียนซานได้อย่างสวยงามนั้น แทบไม่มีชาวเมืองคนไหนในนครเจาฮุยล่วงรู้เลย”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

ฮันปู้ฟู่พูดต่อ “และคนจำนวนมากที่รับชมการถ่ายทอดสดในวันนั้น ต่างก็เห็นเซียวปิงที่ปลอมตัวเป็นเจ้ายืนเฝ้าประตูทางเข้าวิหารโดยไม่ทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว ในภายหลัง สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือเจ้าเกือบจะถูกท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันและคณะผู้ติดตามรุมฆ่าตายอย่างน่าอนาถใจ…”

หลินเป่ยเฉินได้แต่กะพริบตาปริบๆ

พูดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มขบขันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮันปู้ฟู่ “แล้วก็ยังมีวีรบุรุษหน้ากากแดงผู้กล้าหาญและไร้เทียมทานผู้นั้นอีก เขาสามารถเอาชนะจูปี้ฉีและได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าอยู่ฝ่ายไหนต่างก็ต้องตกตะลึงในความยอดเยี่ยมของบุคคลปริศนาผู้นี้ทั้งสิ้น…”

หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มรุ่นพี่

นี่มัน… สมควรเป็นเช่นนี้แล้วหรือ?

วีรบุรุษหน้ากากแดงกับเขา มันก็คือคนคนเดียวกันนะ

เจ้าหมอนั่นก็คือเขาเอง เขาคนนี้ หลินเป่ยเฉินที่ไม่มีใครเหลียวมอง

แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าถึงพูดออกมาก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี

ยิ่งไปกว่านั้น การรับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่เข้าสู่ร่างกาย ก็ทำให้ระดับพลังทุกอย่างของหลินเป่ยเฉินถดถอยลงไป ไม่ได้มีความแข็งแกร่งอย่างเช่นวีรบุรุษหน้ากากแดงในวันนั้นอีกแล้ว

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย

อย่าเพิ่งตกใจเลยดีกว่า

หลินเป่ยเฉินพยายามบอกตัวเองว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการของเขาแม้แต่น้อย

“ส่วนศิษย์น้องหงเซียงมีเรื่องเร่งด่วน ต้องรีบกลับไปจัดการที่สถานศึกษาของนาง”

ฮันปู้ฟู่ตอบคำถามที่หลินเป่ยเฉินได้เอ่ยทิ้งไว้ก่อนหน้านี้และขยายความว่า “ส่วนตัวข้าเองก็ได้รับคำสั่งเรียกตัวกลับไปที่ชายแดนเหนือแล้วเช่นกัน สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดี กองทัพของจักรวรรดิอยู่ในความเสี่ยง พรุ่งนี้เช้าข้าก็ต้องออกเดินทางแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่พูดคุยกับเจ้าให้ยาวนานกว่านี้”

“ทำไมรีบกลับจังเลยล่ะขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักกึก

ยิ่งสถานการณ์ที่เขตชายแดนตึงเครียดมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่าชีวิตของฮันปู้ฟู่ยามอยู่ในสนามรบก็อันตรายมากขึ้นเท่านั้น

แต่เมื่อเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของฮันปู้ฟู่ หลินเป่ยเฉินก็รู้ดีว่าถึงจะโน้มน้าวให้ศิษย์พี่คนนี้อยู่ต่อมากเท่าไหร่ มันก็คงไร้ประโยชน์

ในเมื่อฮันปู้ฟู่ไม่สามารถโน้มน้าวหลินเป่ยเฉินให้เข้าร่วมกับกองทัพได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้ฮันปู้ฟู่ไม่ไปที่ชายแดนเหนือได้เช่นกัน

“สงครามครั้งนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน พวกเราจะเชื่องช้าไม่ได้อีกแล้ว”

ฮันปู้ฟู่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “อ้อ จริงด้วยสิ เรื่องที่เจ้าวานให้ข้าช่วยสืบดู ข้าก็สืบมาให้จนรู้คำตอบแล้ว เหตุผลที่ท่านนักพรตใหญ่หลงเยว่ถูกถอดออกจากตำแหน่งและกลายเป็นคนทำความสะอาดวิหารหลวงนั้น เป็นเพราะนางแต่งตั้งเจ้า ซึ่งเป็นผู้คนธรรมดาให้ขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้านักบวชประจำวิหารเมืองหยุนเมิ่ง นั่นจึงกลายเป็นข้ออ้างที่ทำให้คุณชายเหลียนซานมีเหตุผลให้การทำพิธีตรวจสอบวิหาร จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านนักพรตสูงสุดประจำวิหารนครเจาฮุยจะเดือดดาลมากขนาดไหน…”

เมื่อได้ยินเหตุผลที่แท้จริง หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

นี่เรียกว่าท่านนักพรตใหญ่ต้องมาเดือดร้อนเพราะเขาแท้ๆ

ท่านนักพรตหลงเยว่ให้ความเอ็นดูต่อหลินเป่ยเฉินมาโดยตลอด ถ้าเขาไม่มีกระบี่จันทราพิฆาตที่นางมอบเอาไว้ให้ใช้ป้องกันตัว ป่านนี้เด็กหนุ่มก็คงนอนทอดร่างกลายเป็นซากศพไปนานแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านนักพรตหลงเยว่ยังมีสถานะเป็นอาจารย์ของนักพรตหญิงชินอีกด้วย

ในเมื่อรังแกนาง ก็เท่ากับรังแกนักพรตหญิงชิน

และเมื่อรังแกนักพรตหญิงชิน ก็เท่ากับรังแกหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน

แล้วเด็กหนุ่มจะสามารถทนทานได้อย่างไร?

ดูเหมือนเขาคงต้องหาโอกาสเข้าไปยังกำแพงเมืองชั้นในบ้างเสียแล้ว!!!