ท่านอ๋องฉีส่งพ่อบ้านไปแจ้งข่าวที่วัง ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนส่งโจวอันไปส่งข่าวที่ร้านยาเต๋อเหริน แล้วกำชับเขาว่า “บอกเหวินซื่อ ให้เขารีบเลือกวันมงคลมาวันหนึ่ง”

 

 

โจวอันรับคำสั่ง รีบขี่ม้ามาที่ร้านยาเต๋อเหริน บอกคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนให้เหวินซื่อฟัง

 

 

เหวินซื่อร้อนใจ “เลือกวันอะไรอีก ข้าว่า วันนี้เหมาะสมแล้ว เจ้ากลับไป…”

 

 

นายท่านเหวินห้ามเขาไว้ “ซื่อเอ๋อร์ นี่เป็นเกียรติยศของตระกูลเหวินของเรา จะสะเพร่าไม่ได้ ต้องหาซินแสช่วยดูให้ อย่างนี้ เดี๋ยวพวกเราไปวัดชิงอวิ๋นทันที เชิญไต้ซือในวัดช่วยเลือกวันมงคลให้เราหนึ่งวัน

 

 

นายท่านเหวินกล่าวเยี่ยงนี้ เหวินซื่อจะไม่กล้าเชื่อฟังได้อย่างไร สองปู่หลานนั่งรถม้าตรงไปที่วัดชิงอวิ๋นทันที บริจาคตั๋วเงินค่าน้ำมันงาไปหนึ่งร้อยตำลึง ได้วันมงคลจากหลวงพ่อมาหนึ่งวัน อีกสองวันเป็นวันมงคล ทั้งสองไม่กล้าชักช้า รีบกลับไปที่ร้านยาเต๋อเหรินทันที อยากจะให้คนไปแจ้งข่าวให้เมิ่งเชี่ยนโยว คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่เหมาะสม นายท่านเหวินจึงให้เหวินซื่อไปบอกว่าเลือกวันมงคลได้แล้วด้วยตัวเอง

 

 

ฝั่งฮ่องเต้ก็ได้รับข่าวแล้ว ก็ตรัสสั่งขันทีที่ดูแลทันทีว่า ซื้อป้ายจากนอกวังมา จับพู่กันขึ้นมาตวัดเขียนบนป้ายว่า ‘ร้านยาเต๋อเหริน’ เป็นตัวอักษรที่มีชีวิตชีวาและไหวพริ้ว ด้านบนสุดตรงกลางของป้ายจารึกวันพระราชทานไว้ด้วย

 

 

สองวันผ่านไป ภายใต้สายตาที่อิจฉาของคนที่มีอาชีพเดียวกัน และเสียงตกใจของประชาชนในเมืองทุกคน ป้ายที่ใส่กรอบเรียบร้อยได้ถูกแขวนไว้บนที่สูงสุดของสาขาร้านที่ใหญ่ที่สุดของร้านยาเต๋อเหริน แทนที่ป้ายเก่าแก่ที่แขวนมาเป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว

 

 

นายท่านเหวินนำคนในตระกูลเหวินทุกคน หมอของร้านยาเต๋อเหริน ผู้ดูแลร้าน กราบสามครั้งคำนับเก้าตรงป้ายนี้ ทุกคนต่างตื้นตันมีความสุขจนตาแดงก่ำ

 

 

ตั้งแต่นั้นมาร้านยาเต๋อเหรินก็มีชื่อเสียงไปทั่วทุกแห่งหนทันที ทุกวันเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ มีคนที่มาหาหมอที่ร้านยาเต๋อเหริน มาซื้อยาสมุนไพร มาตกลงทำการค้ากันไม่ขาดสาย ภายในสามเดือน ก็หาตั๋วเงินได้เท่ากับหนึ่งปีของเมื่อก่อน

 

 

หลังจากแก้ปัญหาฉั่งฉิกเสร็จแล้ว ภายใต้การดูแลของเหวินเปียว จางจู้ได้เที่ยวเล่นทุกที่ ทุกซอกทุกมุมของเมืองหลวงแล้ว ก็พอใจมาก จึงเตรียมตัวกลับบ้าน

 

 

ครั้งนี้ไม่เพียงแค่เมิ่งเชี่ยนโยว แม้แต่เมิ่งซื่อก็ซื้อของไม่น้อยให้จางจู้เอากลับไปให้คนในครอบครัว

 

 

เช้าตรู่ของวันนี้ หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตั้งแต่เช้า กินอาหารเช้าแล้ว เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปหนานเฉิงส่งจางจู้กลับบ้าน

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้ดังเข้ามาจากข้างนอก “พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่ เข้าไปได้หรือไม่”

 

 

ท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าของทั้งสองหยุดลง แล้วสบตากัน ต่างเห็นคำถามในดวงตาของอีกฝ่าย นานมาแล้วที่หวงฝู่อี้ไม่ได้เรียกพี่ใหญ่คำนี้ เช้าตรู่เยี่ยงนี้มีเรื่องอันใดกัน

 

 

“เข้ามาเถิด” หลังจากส่งสัญญาณให้เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

 

หวงฝู่อี้เปิดผ้าม่านประตูออกแล้วเดินเข้ามา บนหลังสะพายกระเป๋าใบเล็กๆ ไว้หนึ่งใบ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

หวงฝู่อี้ก็ไม่ได้ทำความเคารพ เดินตรงมาข้างหน้าทั้งสอง แสดงรอยยิ้มประจบสอพลอออกมา “พี่ใหญ่ พี่โยวเอ๋อร์ ข้าอยากตามกลับไปดูที่บ้านเกิด”

 

 

มาจวนอ๋องฉีนานขนาดนี้ หวงฝู่อี้ไม่เคยพูดถึงบ้านเกิดเลย หวงฝู่อี้เซวียนคิดมาตลอดว่าตอนนั้นเขาอายุน้อย จึงลืมเรื่องราวในอดีตไปหมดแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้อยู่ๆ เขาก็พูดว่าจะกลับบ้าน

 

 

“เหตุใดจึงคิดอยากกลับบ้านล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามด้วยสีหน้าเรียบๆ

 

 

หวงฝู่อี้หยุดยิ้ม บนสีหน้าแสดงความเจ็บปวดเล็กน้อย “ข้าอยากกลับบ้านไปบูชาฮวงซุ้ยท่านพ่อท่านแม่ ทำหน้าที่ของลูก พี่ใหญ่วางใจเถิด ไม่นานข้าก็กลับมาขอรับ”

 

 

มองกระเป๋าใบเล็กๆ บนหลังของเขาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามว่า “ตั๋วเงินพอหรือไม่”

 

 

“พอแล้ว พอแล้ว หลายปีมานี้ข้ากินนอนที่จวน ไม่ได้ใช้จ่ายอะไร ตั๋วเงินที่พี่ใหญ่ให้ข้าในชีวิตประจำวันข้าเก็บสะสมไว้ทั้งหมด มีหลายสิบตำลึง” ได้ยินเยี่ยงนี้ หวงฝู่อี้ก็รู้ทันทีว่าหวงฝู่อี้เซวียนตกลงแล้ว ยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วกล่าว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่งไปด้านนอกว่า “ชิงหลวน”

 

 

ชิงหลวนรับคำสั่ง แล้วเดินเข้ามา

 

 

“ไปเบิกตั๋วเงินสองร้อยตำลึงที่ห้องเก็บเงินมาให้อี้เอ๋อร์เอาไปด้วย”

 

 

หวงฝู่อี้รีบโบกมือ “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าแค่กลับไปดูบ้าน ไม่ต้องใช้ตั๋วเงินเยอะขนาดนี้ขอรับ”

 

 

ชิงหลวนไม่ขยับ แล้วมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่งสัญญาณให้ ชิงหลวนจึงเดินออกไป

 

 

“หลังจากกลับบ้านไป ถ้าหากไม่มีที่อยู่ ก็ไปที่บ้านข้า เดี๋ยวข้าให้คนส่งข่าวให้พี่ใหญ่ ให้เขาจัดเตรียมไว้ให้เจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

“ไม่รบกวนพี่โยวเอ๋อร์แล้วขอรับ ข้าจำได้ว่าข้ามีอาแท้ๆ อยู่คนหนึ่ง คิดว่าเขาน่าจะให้ข้าพักด้วย อีกอย่าง ข้าก็อยู่แค่ไม่กี่วัน กราบไหว้ท่านพ่อท่านแม่เสร็จ หลังจากพบคนแก่ของตระกูลแล้ว ข้าจะกลับมาทันที”

 

 

“เจ้าไม่เคยเดินทางออกจวนคนเดียว อย่างนี้ ข้าส่งคนตามเจ้า รอตอนที่เจ้ากลับมา จะได้ดูแลกัน”

 

 

หวงฝู่อี้โบกมือ “ขอบคุณพี่โยวเอ๋อร์ หลายปีมานี้ข้าก็ได้ฝึกวิชาต่อสู้กับพี่ใหญ่มาเล็กน้อย กำลังสำหรับป้องกันตัวเองได้อยู่ขอรับ”

 

 

เห็นเขาปฏิเสธ จึงคิดว่ามีคนเพิ่มมาหนึ่งคนเขาน่าจะไม่ชิน เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้พูดต่อ

 

 

ชิงหลวนนำตั๋วเงินสองร้อยตำลึงมา หวงฝู่อี้รู้จักนิสัยของหวงฝู่อี้เซวียน จึงไม่ได้ปฏิเสธอีก พับอย่างระมัดระวัง แล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อในอ้อมกอดของตน

 

 

“เจ้าออกไปรอก่อนเถิด หลังจากพวกข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พวกเราค่อยไปหนานเฉิงกัน”

 

 

หวงฝู่อี้รับคำสั่ง ถอยออกไป แล้วสะพายกระเป๋ายืนรอข้างนอกประตูอย่างเงียบๆ

 

 

ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมา แล้วเดินออกไปนอกจวน

 

 

หวงฝู่อี้เดินตามข้างหลัง

 

 

ชิงหลวนแล้วจูหลีเดินอยู่หลังสุด

 

 

ทั้งหมดมาถึงหนานเฉิง

 

 

ตั้งแต่เช้าเมิ่งซื่อก็สั่งให้คนยกสิ่งของที่จัดเตรียมไว้แล้วขึ้นรถม้าทั้งหมด ทุกคนยืนรออยู่หน้าประตู รอทั้งสองมา

 

 

ทุกคนลงมาจากรถม้า

 

 

เมิ่งซื่อเห็นหวงฝู่อี้ที่สพายกระเป๋าไว้ทันที จึงกล่าวถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวตั้ง เจ้า…”

 

 

“ข้าอยากฉวยโอกาสครั้งนี้กลับไปบูชาฮวงซุ้ยให้ท่านพ่อท่านแม่ข้า ข้ามันลูกอกตัญญู ไม่ได้กลับบ้านมานานแค่ไหนแล้ว ต้นหญ้าตรงสุสานของท่านพ่อท่านแม่ข้าสูงเท่าใดแล้วก็มิรู้ได้” หวงฝู่อี้กล่าวตอบ

 

 

เมิ่งซื่อเงียบไปสักพัก ตอนที่หนิวโก่วจื่อสองสามีภรรยามีชีวิตอยู่ อย่าว่าแต่ความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านเลย แม้แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ไม่ดี จึงทำให้หลังจากพวกเขาสองสามีภรรยาเกิดเรื่อง หนิวตั้งถูกพาตัวมาเมืองหลวง ถึงเวลาเผากระดาษตอนเทศกาลเช็งเม้ง แม้แต่กระดาษครึ่งใบ ก็ไม่มีใครเผาให้พวกเขา เหมือนอย่างที่หนิวตั้งพูดจริงๆ ต้นหญ้าบนสุสานของพวกเขาสูงกว่าคนไปแล้ว

 

 

หลังจากเงียบไปสักพัก เมิ่งซื่อก็กล่าวว่า “เจ้าออกมานานหลายปีแล้ว กลับไปดูก็ดี หากไม่มีที่ไป ไปที่บ้านข้าก็ได้ ให้อาเมิ่งของเจ้าเตรียมที่พักไว้ให้เจ้า”

 

 

หวงฝู่อี้รับฟัง “ข้าทราบแล้วขอรับ ท่านป้า หลังจากข้ากลับไปข้าจะไปหาอาเมิ่ง”

 

 

เมิ่งซื่อถอนหายใจเบาๆ บ้านหนิวตั้งไม่มีพ่อแม่ กลับไปก็ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดเสียใจมากขึ้นเท่านั้น

 

 

จางจู้เห็นว่าอารมณ์ของเมิ่งซื่อไม่ดี รีบกล่าวว่า “ค่ำแล้ว ข้าควรไปแล้วล่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อรู้สึกตัวขึ้นมาทันที มีความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย “พี่ใหญ่ อีกไม่กี่เดือนโยวเอ๋อร์ก็จะคลอดแล้ว พี่บอกท่านพ่อท่านแม่ให้พวกท่านเดินทางมาเมืองหลวงแต่เนิ่นๆ จะได้เสวยสุขเสียที”

 

 

“ประโยคนี้เจ้าพูดตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้สิบกว่ารอบแล้ว วางใจเถิด ข้าจะบอกท่านพ่อท่านแม่แน่นอน ถึงเวลานั้นแล้วหากพวกท่านยังไม่มา ข้าสัญญาว่าจะพาพวกท่านมาส่งเอง”

 

 

เมิ่งซื่อพยักหน้าอย่างดีใจ “พี่ใหญ่พูดคำไหนคำนั้นนะ ข้าจะรอ”

 

 

ตอนที่จางจู้มานั้นเมิ่งเอ้ออิ๋นได้ให้คนของสำนักคุ้มภัยสองคนขับรถม้ามาส่ง กลับไปรอบนี้สิ่งของเพิ่มขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้องครักษ์ลับตามกลับไปหลายคน ยังบอกพวกเขาอีกว่า ถึงบ้านแล้วไม่ต้องรีบกลับมา รอกลับมาพร้อมกับหวงฝู่อี้

 

 

รถม้าที่จางจู้และหวงฝู่อี้นั่งอยู่ข้างหน้า รถม้าที่ใส่ของอยู่ข้างหลัง รถม้าสองคันยิ่งออกไปไกลเรื่อยๆ เมิ่งซื่อยืนอยู่หน้าประตูอย่างอาลัยอาวรณ์ จนมองไม่เห็นเงาของรถม้า จึงกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนว่า “รีบเข้าไปเถิด”

 

 

นอกจากเมิ่งฉีแล้ว ทุกคนในครอบครัวเดินเข้าไปในจวน ส่วนเมิ่งฉีนั่งรถม้าตรงมาที่โรงงาน กัวเฟยขับรถม้า ตอนที่จะไปยังมองจูหลีหลายรอบ

 

 

จูหลีหน้าแดง อายจนก้มหน้าลงไป

 

 

ชิงหลวนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ปิดปากแล้วแอบยิ้ม

 

 

จูหลีรู้สึกว่านางแอบยิ้ม จึงเงยหน้าขึ้นเขม่นมองนาง “เจ้าตัวแสบ อย่าหัวเราะข้า ไม่นานเหวินซงก็ออกมาแล้ว”

 

 

ใบหน้าของชิงหลวนก็แดงขึ้นมาทันที

 

 

ทุกคนมาถึงเรือนที่เมิ่งซื่อพักอยู่ หลังจากนั่งลงแล้ว เมิ่งซื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “ช่วงก่อน เหวินเปียวมาหาข้า ถามเรื่องแต่งงานของเด็กๆ ข้าเห็นว่าพวกเจ้ายุ่งอยู่ จึงไม่ได้รบกวนพวกเจ้า ตอนนี้จัดการเรื่องฉั่งฉิกเสร็จแล้ว ร้านบะหมี่มันฝรั่งก็เปิดแล้ว โรงงานก็ไม่มีเรื่องอะไร มันฝรั่งยังไม่เก็บเกี่ยว ข้าคิดไว้ว่าไม่เยี่ยงนั้นก็ให้พวกเขาหมั้นหมายกันไว้ก่อน รอให้เก็บมันฝรั่งเสร็จแล้ว พวกเราค่อยจัดงานแต่งให้พวกเขา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีความคิดเห็นใดๆ ยิ้มแล้วพยักหน้า “ท่านแม่ พี่สะใภ้รอง แล้วก็พี่สะใภ้อิ๋งจือคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี พวกท่านจัดการเถิด ข้านั่งดูอยู่ข้างๆ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อตั้งใจไม่ให้นางจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว ได้ยินก็จัดการทันที “ได้ เดี๋ยวข้าเรียกเหวินเปียวสองสามีภรรยามาทันที บอกสิ่งของที่พวกเขาควรจัดเตรียม แต่ว่าชิงหลวนกับจูหลีนั้น จะหมั้นหมายที่ใด ที่จวนอ๋องฉีหรือที่จวนเรา”

 

 

“อันนี้…” เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

“ไปที่จวนอ๋องเถิด ชิงหลวนกับจูหลีเป็นคนที่ท่านแม่มอบให้โยวเอ๋อร์ ที่จวนนี้คงไม่เหมาะสม หลังจากข้ากลับไปปรึกษากับท่านแม่ที่จวนแล้ว จะมาตอบท่านแม่ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าว

 

 

เมิ่งซื่อพยักหน้า “ก็ดี หลังจากพวกเขาแต่งงาน ค่อยมาอยู่ที่จวนเมิ่ง”

 

 

เมิ่งซื่อพูดถึงงานแต่งของชิงหลวนและจูหลีแล้ว ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวคิดเรื่องที่ให้หวงฝู่ซวิ่นออกหน้าประกาศรับสมัครหาคู่ให้เหล่าทหารที่พิการในโรงงานออก ไม่รู้ว่าหวงฝู่ซวิ่นลืมหรือว่าเขาไม่อยากทำเรื่องนี้ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ คิดถึงนี้ จึงยิ้มแล้วกล่าวกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เราไม่ได้ไปหาพี่ใหญ่นานแล้ว วันนี้ว่าง ไปหาพี่ใหญ่กันเถิด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดเรื่องนี้ออกพอดี จึงพยักหน้า เมิ่งซื่อก็จะปรึกษาเรื่องสู่ขอกับครอบครัวเหวินเปียวพอดี จึงไม่ได้ยื้อพวกเขาไว้

 

 

ทั้งสองนั่งรถม้าตรงมาที่วังฝั่งตะวันออกทันที

 

 

ช่วงนี้หวงฝู่ซวิ่นถูกฮ่องเต้เรียกไปห้องทรงพระอักษรให้อ่านฎีกาอยู่บ่อยๆ เหนื่อยใจมากจริงๆ วันนี้ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ยังไม่ให้ใครมาเรียก แอบหลับที่ตงกง ได้ยินคำรายงานของขันทีที่ดูแล ก็โบกมือด้วยความง่วง “เชิญพวกเขาไปรอที่ตำหนักยงชิงก่อน ข้าจะรีบไป”

 

 

ขันทีที่ดูแลรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วก้มตัวเดินถอยออกมา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นบังคับตัวเองให้ลืมตา หลังจากหาวแล้ว จึงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง

 

 

นางกำนัลที่ดูแลอยู่ข้างกายสองคนรีบหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เขาทันที จัดมงกุฎให้เรียบร้อย นางกำนัลอีกคนตักน้ำมา ถือไว้ตรงหน้าเขา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นก้มหน้าล้างหน้าตัวเองให้สะอาด กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม แล้วก้าวเดินออกไปด้วยท่าทีสบายๆ เดินเข้าย่งฉิงเตี้ยนยังไม่รีบร้อน ยิ้มแล้วกล่าวกับทั้งสองว่า “น้องเซวียน น้องสะใภ้ เหตุใดวันนี้เจ้าทั้งสองจึงมีเวลาว่างมาเที่ยวตงกงได้”

 

 

“ไม่เห็นพี่ใหญ่หลายวัน คิดถึงมาก วันนี้จึงตั้งใจมากับอี้เซวียนเพื่อมาหาพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวตอบ

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากหวงฝู่ซวิ่นได้ยินประโยคนี้ของนางแล้ว ใจกระตุกทันที รู้สึกว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตน รีบกล่าวว่า “น้องสะใภ้ เจ้าอย่ากล่าวเยี่ยงนี้ มีเรื่องอะไรสั่งพี่ใหญ่ได้เลย พี่ใหญ่ไม่ปฏิเสธแน่นอน”

 

 

“ถ้าเยี่ยงนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าเรื่องที่ข้าขอร้องพี่ใหญ่ พี่ใหญ่จัดการถึงไหนแล้วเพ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม

 

 

“เรื่องรับราชการของลูกพี่ลูกน้องเจ้ากับเพื่อนเจ้าข้าได้ฝากฝังงขุนนางที่รับผิดชอบให้ดูแลแล้ว ส่วนเรื่องสำนักคุ้มภัยนั้น ข้าได้ตรวจสอบขุนนางที่ดูแลตอนนั้นแล้ว สองสามวันนี้ข้าจะเรียกพวกเขามาดื่มชากัน” หวงฝู่ซวิ่นกล่าว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรอประโยคต่อไป แต่ไม่มีแล้ว ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “พี่ใหญ่ ลืมเรื่องอะไรหรือไม่”

 

 

“ไม่มี” หวงฝู่ซวิ่นกล่าวอย่างแปลกใจ “มีแค่สองเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ ข้าจำได้ขึ้นใจเลย ไม่ลืมแม้แต่น้อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา รอยยิ้มนั่นในสายตาของหวงฝู่ซวิ่น ยิ่งดู ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที รีบกล่าวว่า “น้องสะใภ้ พี่ใหญ่จำไม่ได้จริงๆ ว่ามีเรื่องอะไรอีก รบกวนเจ้าเตือนข้าหน่อยเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวว่า “โยวเอ๋อร์เคยแสดงความคิดเห็นให้พี่ใหญ่ ให้พี่ใหญ่ออกหน้าประกาศรับสมัครหาคู่ให้เหล่าทหารที่พิการในโรงงาน ใช้เรื่องนี้เพื่อสร้างชื่อเสียง ดูท่าแล้วพี่ใหญ่จะลืมไปแล้วจริงๆ”