หวงฝู่ซวิ่นตีหัวตัวเองหนึ่งทีทันที “ช่วงนี้เสด็จพ่อเรียกข้าไปห้องทรงพระอักษรให้ข้าอ่านฎีกาทุกวัน ยังสอบถามความคิดเกี่ยวกับงานราชสำนักกับข้าด้วย ข้าจึงลืมเรื่องนี้ไปเลย”

 

 

“ดูแล้ววันดีของพี่ใหญ่ไม่ไกลแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเข้าใจความหมายของคำพูดนาง ยิ้มแล้วโบกมือ “อายุของเสด็จพ่อตอนนี้กำลังพอดี พระวรกายแข็งแรง ไม่ให้ข้าสืบราชบัลลังก์เร็วเยี่ยงนี้ ที่ให้ข้าช่วยอ่านฎีกาที่ถูกถวายเข้ามานั้น แค่อยากให้ข้าฝึกฝนก่อนเท่านั้นเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าหากพี่ใหญ่คิดขึ้นได้แล้ว ถ้าเยี่ยงนั้นท่านจะจัดการเอง หรือจะให้พวกข้าสองสามีภรรยาจัดการ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นไตร่ตรองสักครู่แล้วกล่าวว่า “ให้ข้าจัดการเถิด เจ้าดูว่าวันไหนเป็นวันดี ข้าจะได้ทูลลาล่วงหน้ากับเสด็จพ่อ”

 

 

“พี่ใหญ่ออกหน้าเอง วันไหนก็เป็นวันดี ท่านไปปรึกษาหารือกับฮ่องเต้เถิด แล้วค่อยกลับมาแจ้งข่าวที่แน่ชัดกับพวกเราก็พอแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว

 

 

หวงฝู่ซวิ่นพยักหน้า “วันนี้หลังจากข้าเข้าวัง ข้าจะรายงานเสด็จพ่อ พวกเจ้ารอข่าวจากข้าเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบรับ “เจ้าค่ะ หลังจากพี่ใหญ่มีข่าวที่แน่ชัดแล้ว เราค่อยมาปรึกษาเรื่องรายละเอียดกัน”

 

 

มีเสียงรายงานของขันทีผู้ดูแลดังมาจากนอกตำหนักว่า “ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ส่งคนมาเรียกท่านเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นยิ้มแล้วลุกขึ้นมา “พี่ใหญ่ขอประทานโทษจริงๆ ยังไม่ทันได้ดูแลพวกเจ้าดีๆ เลย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องของราชสำนักสำคัญกว่า พี่ใหญ่ไปเถิด พวกข้าสองคนก็จะกลับแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ทั้งสามออกจากตงกงไปพร้อมกัน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่จวนอ๋องฉี มาถึงในเรือนของพระชายาฉี บอกเรื่องแต่งงานของชิงหลวนและจูหลีให้ท่านฟัง แล้วสอบถามความคิดเห็นของท่าน

 

 

พระชายาฉีคิดก็ไม่คิด กล่าวอย่างไม่ลังเลใจว่า “ที่จวนของเราแน่นอน ชิงหลวนและจูหลีเป็นคนของจวนเรา อย่าว่าแต่หมั้นหมายเลย หลังจากแต่งงานก็สามารถพักอยู่ที่จวนเราได้ ให้พ่อบ้านแบ่งห้องออกมาสองห้องก็ได้แล้ว”

 

 

“เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ได้เจ้าค่ะ เหวินซงเป็นลูกคนเดียวของเหวินเปียว พวกเขาสองสามีภรรยาต้องไม่ตกลงให้ชิงหลวนและเหวินซงมาอยู่ที่จวนแน่นอนเจ้าค่ะเสด็จแม่” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าว

 

 

พระชายาฉีจึงไม่พูดต่อ พักที่ใดก็เหมือนกัน อย่างไรทั้งสองก็ต้องมารับใช้เมิ่งเชี่ยนโยวที่จวนทุกวัน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและพระชายาฉีพูดคุยหัวเราะกันสักพัก ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “ช่วงนี้อวี้เอ๋อร์ยุ่งอะไรหรือเจ้าคะ สองสามวันนี้ไม่เห็นเขาเลย”

 

 

 

 

ใบหน้าของพระชายาฉีแสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา “ตอนนี้อวี้เอ๋อร์เก่งมาก จัดการดูแลที่ดินและร้านค้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก จะเข้ามาทักทายทำความเคารพข้าทุกวัน แต่ท้องฟ้ามืดแล้วทุกวัน ข้าจึงไม่ได้ให้เขาไปรบกวนพวกเจ้า”

 

 

“ถ้าเยี่ยงนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้คุณหนูหลินก็หมั้นหมายแล้ว เสด็จแม่ก็ควรเริ่มจัดการเรื่องหมั้นหมายของอวี้เอ๋อร์ได้แล้ว”

 

 

“ข้ารู้แล้ว ช่วงก่อนที่พวกข้ารับสมัครหาคู่แล้วหญิงสาวเหล่านั้นที่มา ข้ารู้สึกว่ามารยาทดีกันทุกคน ตอนนั้นจึงเก็บภาพวาดและวันเดือนปีเกิดของพวกเขาไว้ ข้าเลือกคนที่ถูกใจมาหลายคน ให้อวี้เอ๋อร์ดู เขาก็บอกว่าดีหมด ข้าจึงตั้งใจจะส่งคนไปตรวจสอบดูก่อน ถ้าหากดีมากจริงๆ อย่างที่เห็น ข้าจะเลือกให้เขาคนหนึ่ง”

 

 

“ข้ารู้จักคนในเมืองหลวงไม่มาก เรื่องเลือกคนก็ต้องรบกวนเสด็จแม่แล้ว แต่ว่า เรื่องสืบข่าวตรวจสอบนั้น ก็ให้พวกข้าทำเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

ทั้งสองต่างมีองครักษ์ลับอยู่ในมือ เป็นมือดีในการสืบข่าว พระชายาฉีจึงไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มแล้วหยิบภาพวาดทั้งห้าภาพออกมา เปิดภาพแรกออก ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหญิงสาวในภาพนั้นอย่างชัดเจน “นี่คือลูกสาวอนุภรรยาของจวนอู่โหว มีท่าทางที่สง่างาม สุภาพและมีมารยาท เห็นว่าแม่แท้ๆ เสียชีวิตก่อนวัยอันควร จึงถูกนายหญิงอู่โหวเลี้ยงดูข้างกายตั้งแต่เด็ก ไม่แตกต่างกับลูกสาวภรรยาเอก”

 

 

แล้วเปิดภาพที่สองออก กล่าวว่า “นี่คือลูกสาวคนที่สองของผู้สอบสวนกลาง มีนิสัยร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส นิสัยเหมาะสมกับอวี้เอ๋อร์ แต่ว่าอายุต่างกันเล็กน้อย ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบห้าปี”

 

 

ภาพที่สามเป็นหญิงสาวที่สง่างามคนหนึ่ง “นี่คือลูกสาวของมหาเสนาบดีคนใหม่ เป็น…”

 

 

ลูกสาวของมหาเสนาบดีอีกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชอบใจจริงๆ จึงขัดจังหวะพระชายาฉีว่า “เสด็จแม่ คุณหนูโจวคนนี้เป็นคนไม่ยิ้มแย้ม อวี้เอ๋อร์ทนนิสัยแบบนี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เราดูคนถัดไปกันเถอะ”

 

 

“จริงๆ แล้วแม่ก็ไม่ค่อยชอบนาง หญิงสาวคนนี้เป็นคนเจ้าระเบียบเกินไป ให้ความรู้สึกห่างเหินกับผู้อื่น แต่ว่าหลังจากเฮ่อจางเสียชีวิต ท่านพ่อของนางรับราชการเป็นมหาเสนาบดีคนใหม่ ฮูหยินมหาเสนาบดีก็แนะนำลูกสาวของตนอย่างดิบดี เพราะเหตุนี้แม่จึงเลือกภาพวาดของนางมา” พูดจบ จึงหยิบภาพวาดนี้ออกไป วางไว้ข้างๆ

 

 

ชี้ไปที่ภาพวาดที่สี่แล้วกล่าวว่า “นี่คือลูกสาวของท่านอู่สำนักงานราชวินิจฉัย อายุพอๆ กับอวี้เอ๋อร์ เป็นคนเรียบร้อยสง่างามเช่นกัน แต่เป็นเพราะท่านพ่อของนางเป็นใต้เท้าสำนักงานวินิจฉัย จึงไม่มีใครกล้าสู่ขอ ฉะนั้นจึงล่าช้าจนถึงตอนนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

เหลือภาพสุดท้ายแล้ว

 

 

พระชายาฉีชี้แล้วกล่าวว่า “นี่เป็นหญิงสาวที่แม่พอใจที่สุด แต่ฐานะไม่ดีเท่าไร เป็นหลานสาวแท้ๆ ของหมอหลวงเจียง เป็นคนสวย นิสัยก็ดี วันนั้นที่ฮูหยินเจียงพานางมา ทันทีที่แม่เห็นนางก็ถูกใจทันที แต่ว่าฐานะของนาง ถ้าหากแม่ตกลงรับการหมั้นหมายนี้ คนเขาจะหาว่าข้าไม่ดีต่อลูกอนุภรรยาแน่ๆ”

 

 

“คนอื่นพูดอะไรไม่สำคัญ อวี้เอ๋อร์รู้สึกพอใจสำคัญที่สุด ข้าเอาภาพวาดทั้งสี่นี้ไป หลังจากให้องครักษ์ลับดูแล้ว ก็ให้ตรวจสอบทันที อย่างแรกคือนิสัยสำคัญที่สุด ส่วนอย่างอื่นนั้น ไม่ค่อยสำคัญหรอกเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบภาพวาดแล้วกลับมาที่เรือนของตน เรียกโจวอันเข้ามา สั่งให้เขาไปหาองครักษ์ลับที่เชี่ยวชาญด้านการสืบข้อมูลมาหลายคน

 

 

ลูกน้องของตนมีความสามารถอะไร ผ่านมาหลายปี โจวอันก็รู้จักเข้าใจอย่างถ่องแท้มานานแล้ว ไม่นาน ก็หามาสิบกว่าคน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแบ่งพวกเขาออกเป็นกลุ่ม ทุกกลุ่มดูภาพวาดที่ไม่เหมือนกัน คิดว่าจะไปสืบข้อมูลในจวนที่ต่างกัน

 

 

ทุกคนรับคำสั่ง แล้วถอยออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน เดินมาข้างเตียง แล้วนอนตะแคงลงบนเตียง ลูบบนท้องตัวเองแล้วกล่าวว่า “วันนี้ข้ารู้สึกว่า…” ยังไม่ทันพูดจบ ก็ตกใจจนตาโต

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกถึงความผิดปกติของนาง รีบพุ่งมาข้างเตียงทันที กล่าวถามด้วยความกังวลว่า “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้แต่ชี้ไปที่ที่ท้องตัวเองอย่างสุดแรง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งตื่นตกใจมากขึ้นไปอีก รีบกล่าวว่า “ข้าให้คนไปเรียกหมอมา” พูดจบ ก็หันหลังจะเดินออกไปข้างนอกทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจับมือเขาไว้ กล่าวด้วยความตกใจและดีใจว่า “ขยับแล้ว พวกเขาขยับแล้ว”

 

 

“อะไรขยับ…” หวงฝู่อี้เซวียนหันหลัง เพี่งจะพูดไม่กี่คำ ก็รู้สึกตัวทันที ตาโต ดีใจมาก “เจ้าหมายความว่า…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหงึกๆ “ลูก ลูกของเราดิ้นแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตื่นเต้นอย่างมาก “อยู่ที่ใด ขยับเยี่ยงไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจับมือของเขาวางบนท้องของตน อยากให้เขาสัมผัสการเคลื่อนไหวของลูก แต่รอแล้วรออีกลูกก็ไม่ขยับ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจึงค่อยๆ ลูบบนท้องของเมิ่งเชี่ยนโยวไปมาหนึ่งรอบ ก็ยังไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหนแม้แต่น้อย จึงปล่อยมืออย่างผิดหวัง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทนมองสีหน้าผิดหวังของเขาไม่ได้ จึงปลอบเขาว่า “ตอนนี้ลูกยังเล็ก ยังไม่ค่อยดิ้น รอโตกว่านี้อีกนิด ก็จะเป็นเรื่องที่บ่อยมากขึ้น ถึงตอนนั้น เจ้าลูบเท่าใดก็ได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจึงยิ้มออกมาได้ นั่งลงบนเก้าอี้นุ่มข้างเตียง มือยังคงลูบไปมาบนท้องของนาง ด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข “โยวเอ๋อร์ เจ้าว่าพวกเขาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”

 

 

“ผู้ชายแน่นอน ผู้ชายเกเร ดิ้นเร็ว ข้าท้องยังไม่ถึงสี่เดือน ก็เริ่มขยับแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่เห็นด้วย “ข้าว่าเป็นผู้หญิง ผู้หญิงจะใส่ใจรายละเอียดมาก นางกลัวว่าเจ้าจะไม่รู้ว่านางเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จึงทักทายเจ้าก่อน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเขาเป็นแค่เด็กที่เพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่าง จะมีความคิดแบบนี้ได้อย่างไร”

 

 

“ข้าว่าใช่ก็ใช่ ใช่แน่นอน ใช่ที่สุด ใช่แน่ๆ” ไม่รู้เพราะเหตุใด ท่าทีของหวงฝู่อี้เซวียนจึงมั่นใจมาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงรีบเห็นด้วยกับเขา “ใช่ๆๆ ถ้าหากพ่ออย่างเจ้าบอกว่าพวกเขาเป็นผู้หญิง ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเขาก็เป็นผู้หญิงแน่นอน”

 

 

มือสัมผัสไม่ได้ หวงฝู่อี้เซวียนจึงแนบหูลงไปบนท้องของนางทันที ฟังอย่างละเอียดสักพัก ยังคงไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ จึงเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวว่า “ตามนิสัยของท่านแม่ทั้งสองแล้ว ถ้าหากเจ้าคลอดลูกสาวหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน ต่อไปพวกเขาก็จะไปเร่งเจ้าอีก แต่ถ้าหากเจ้าคลอดลูกชายสองคน คิดว่าเสด็จแม่ทั้งสองจะต้องเพ่งมองท้องของเจ้าอีก ข้าไม่อยากให้เจ้าลำบากอีก”

 

 

“แล้วถ้าหากเป็นลูกสาวทั้งสองล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวถาม

 

 

“อันนี้ข้าก็คิดไว้แล้ว ลูกสาวทั้งสองก็ลูกสาวทั้งสองเถิด ต่อไปจวนนี้ก็ให้ลูกชายของอวี้เอ๋อร์สืบทอดต่อ ข้าจะได้ไปใช้ชีวิตอิสระกับเจ้า”

 

 

“เจ้าเดาดูว่าหากเสด็จพ่อได้ยินประโยคนี้ของเจ้า จะตีเจ้าจนตายหรือไม่”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “แน่นอน”

 

 

หลังจากนั้นก็แสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ฉะนั้นข้าตั้งใจจะแอบหนีไป โยนลูกสาวสองคนทิ้งไว้ให้เขา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะออกมา “เจ้านี่จริงๆ เลย แม้แต่เสด็จพ่อเจ้ายังกล้าทำเยี่ยงนี้”

 

 

ถึงเวลากลางคืน หวงฝู่ซวิ่นส่งคนมาแจ้งข่าว บอกว่าเขาได้รายงานฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้สนับสนุนอย่างมาก แล้วยังชื่นชมเขาว่าเขามีจิตใจกว้างขวางเยี่ยงนี้ ต่อไปต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดีแน่นอน ส่วนตัวเองก็สามารถวางใจยกชาติบ้านเมืองให้เขาได้แล้ว แล้วให้คนมาสอบถามอีกว่า เลือกวันรับสมัครหาคู่เป็นวันใด

 

 

หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยิน ก็ยิ้มแล้วสั่งขันทีที่มาแจ้งข่าวว่า “เจ้ากลับไปรายงานไท่จื่อว่า ข้าและซื่อจื่อยังต้องทำอะไรหลายอย่าง เพื่อเตรียมความพร้อม รอหลังจากเลือกวันที่แน่ชัดแล้ว จะส่งคนไปแจ้งข่าวไท่จื่อ”

 

 

ขันทีที่มาแจ้งข่าวรับคำสั่ง แล้วกลับไปรายงานที่ตงกง

 

 

วันที่สอง เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนไปเป่ยเฉิงพบเปาชิงเหอ บอกเขาเรื่องที่ไท่จื่อจะช่วยรับสมัครหาคู่ให้เหล่าทหารที่พิการในโรงงาน

 

 

หลังจากที่เปาชิงเหอได้ยิน ต่างก็ชื่นชมว่า “ไท่จื่อจิตใจดี แม้แต่เรื่องอย่างนี้ก็สามารถคิดเผื่อเหล่าทหาร ต่อไปหลังจากสืบราชบัลลังก์แล้ว ต้องได้รับความรักจากประชาชนมากมายแน่นอน”

 

 

พูบจบ ก็กล่าวอีกว่า “ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมีเรื่องอะไรจะกำชับอีกหรือไม่ ข้าจะทำตามอย่างสุดความสามารถแน่นอนขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “พูดว่ารับสมัครหาคู่ ก็คืองานหาคู่นั้นเอง ท่านเปาติดประกาศก่อนว่า หญิงสาวในเป่ยเฉิงที่มีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ล้วนมาสมัครได้ทั้งนั้น เงื่อนไขคือต้องยินยอมใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่ถูกคนในครอบครัวบังคับมา หลังจากรวบรวมเสร็จแล้ว พวกเราก็เลือกวันมาหนึ่งวัน ให้หญิงสาวพวกนี้และเหล่าทหารที่พิการได้พบเจอกัน สำหรับคู่ที่ถูกใจกัน ชอบพอกัน ก็ให้มาบอกพวกข้าตรงๆ ก็พอ”

 

 

เปาชิงเหอพยักหน้า “ข้อนี้ง่ายขอรับ ข้าจะไปร่างประกาศทันที หลังจากที่ซื่อจื่อเฟยอ่านแล้ว คิดว่าใช้ได้ ข้าจะให้คนไปติดประกาศทันทีขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า

 

 

เปาชิงเหอให้คนยกน้ำและน้ำชาเข้ามา ส่วนตัวเองไปห้องโถงด้านหน้าเพื่อร่างประกาศ

 

 

ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมาที่ศาลาว่าการ กุนซือและเจ้าหน้าที่ต่างตื่นเต้นกันมาก ต่างรู้สึกว่าสุสานของบรรพบุรุษของตนนั้นมีควันออกมา จึงทำให้พวกเขามีโอกาสได้พบซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย ต้องรู้ว่า ตอนที่ได้รับมอบหมายให้มาเป่ยเฉิงที่กันดารนี้ ในใจของพวกเขาต่างสิ้นหวังกันมาก เงินเดือนไม่มาก ไม่มีน้ำ ไม่มีน้ำมัน แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในเมืองหลวงทั้งสี่ แต่ก็ห่างไกลกับฮ่องเต้ผู้สูงส่งมาก เพราะว่าหลายปีมาแล้ว อย่าว่าแต่ฮ่องเต้เลย แม้แต่ขุนนางที่สูงกว่าท่านเปาหนึ่งขั้นก็ไม่เคยมาที่นี่เลย วันนี้ดียิ่ง ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมาแล้ว ที่ทำการที่ดูไม่ได้ของพวกเขาก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ในใจของพวกเขาที่ไม่เคยมีความภูมิใจและความเย่อหยิ่ง ฉะนั้น ทุกคนต่างยืดอก ยืนตรงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีท่าทางขี้เกียจแม้แต่น้อย

 

 

ตอนที่เปาชิงเหอเดินมาจากห้องโถงด้านหลัง เห็นสถานการณ์ตึงเครียดนี้ ก็ตกใจอย่างมาก จึงกล่าวถามกุนซือว่า “มีเรื่องอะไรหรือไม่”

 

 

กุนซือที่ตัวเล็กที่ปกติฉลาดหลักแหลมมาก วันนี้ก็รู้สึกว่าตนสูงขึ้นไม่น้อย พยักหน้าแล้วกล่าวตอบไปว่า “รายงานท่าน ไม่มีขอรับ”

 

 

“ถ้าเยี่ยงนั้นเหตุใดพวกเจ้า…”

 

 

“ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยมา เราจะทำให้ศาลาว่าการขายหน้าไม่ได้ขอรับ” เจ้าหน้าที่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด

 

 

เปาชิงเหอเข้าใจในทันที ยิ้มแล้วมองทุกคน “ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยได้นำเรื่องดีอีกหนึ่งเรื่องมาให้คนเป่ยเฉิงของเรา พวกเจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเรื่องอะไร”