ตอนที่ 9.2 (เล่มสอง)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เย่หนาน2

 

อวี่ฉีเงยหน้าขึ้นมองเย่หนานโดยไม่พูดอะไร แล้วก้มตัวลอดใต้แขนอีกฝ่ายซึ่งกำลังใช้มือค้ำขอบประตูไว้เข้าไปข้างในห้อง

เย่หนานเอียงคอยิ้มกับตัวเอง ก่อนหมุนตัวไปมองเงาร่างสูงระหงที่เดินดุ่ม ๆ ไปถึงข้างเตียงของเขา อวี่ฉีจัดการนำน้ำอุ่นกับกล่องยาสองสามกล่องวางบนตู้ตรงหัวเตียง จากนั้นจึงหยิบยาเม็ดและยาแคปซูลออกมาจากกล่องตามฉลากที่เขียนเอาไว้อย่างตั้งอกตั้งใจ แล้ววางลงบนกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งซึ่งเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว

เย่หนานก้าวเท้าเอื่อย ๆ เข้าไปล้มตัวนอนพาดเตียง พลางมองดูท่าทางของเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อย ๆ แล้วออกปากถามว่า “นี่เธอตั้งใจซื้อยามาให้ฉันเหรอ?”

อวี่ฉีเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนหันหน้ามามองซ้ำอย่างตั้งใจอยู่สักพักจึงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เปล่า ฉันมามือเปล่า นายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉันหยิบออกมาจากใต้โต๊ะกาแฟน่ะ มันเป็นยาที่นายเตรียมเอาไว้เอง นี่นายไม่รู้เหรอ?…” เพิ่งพูดจบ เธอก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ใจจึงเต้นกระหน่ำขึ้นมา

ยาที่อยู่ในบ้านเย่หนาน แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้เรื่อง งั้นก็เป็นไปได้แค่อย่างเดียวว่ามันเป็นยาที่กู้เฟิงเคยเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ ปากพาซวยของเธอดันพูดจาไม่เข้าเรื่องไปซะแล้ว

หลังเงียบไปสักพัก อวี่ฉีก็หันหน้าไปมองสีหน้าของเย่หนาน เป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด เธอเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขาแข็งทื่อไปเล็กน้อย ดูแล้วไม่เป็นธรรมชาติเหมือนเมื่อกี้ แต่เมื่อสายตาของเธอจดลงบนใบหน้าของเขา เย่หนานก็กลับไปมีท่าทีแบบเดิมทันที แถมยังดูเจิดจ้ากว่าก่อนหน้านี้เสียอีก สว่างไสวเกินไปจนดูฝืนใจแกล้งทำซะมากกว่า

อวี่ฉีทนมองต่อไปไม่ไหว จึงหันหน้าไปทางอื่น แล้วหยิบกระดาษทิชชูที่ห่อเม็ดยาเอาไว้ยื่นใส่ในมืออีกฝ่าย “กินยาก่อนเถอะ”

เย่หนานก้มหน้าลงมองแคปซูลและยาเม็ดที่อยู่บนฝ่ามือ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ แล้วเทยาทั้งหมดใส่ปาก

อวี่ฉีที่หันไปหยิบน้ำ พอหันกลับมาเห็นภาพนี้เข้าก็รีบเอาน้ำอุ่นยื่นไปจ่อปากเย่หนานทันที

เย่หนานก้มหน้าลงดื่มน้ำจากแก้วในมือเธออึกใหญ่ ก่อนจะสำลักไอจนน้ำหูน้ำตาไหล อวี่ฉีรีบวางแก้วน้ำลงแล้วช่วยลูบหลังให้เขา “มีใครจะแย่งยานายกินรึไง ทำไมถึงต้องรีบกลืนมันขนาดนั้นฮะ?”

เย่หนานไม่ตอบ เขาไม่ทำอะไรเลยนอกจากก้มหน้าก้มตาไอลูกเดียว อย่างกับเครื่องในจะหลุดออกมา

ชั่วครู่หนึ่งเขาจึงค่อย ๆ สงบลง ก่อนพลิกตัวไปช้า ๆ นอนซบหน้าลงบนแขนของตัวเอง ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา

อวี่ฉีอึ้งไป ในใจลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มือที่ยื่นค้างอยู่กลางอากาศค่อย ๆ เก็บกลับมา เธอเข้าใจเขาจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนอีก เพียงยืนเงียบ ๆ อยู่ที่เดิมสักพักแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง โดยไม่ลืมปิดประตูตามหลังอย่างแผ่วเบา

คนแบบเย่หนานนั้น ตอนที่รู้สึกแย่จนทนไม่ไหวแล้ว สิ่งที่เจ้าตัวไม่ต้องการมากที่สุดคือการถูกคนอื่นเห็น เขาเคยชินกับการใช้รอยยิ้มปกปิดรอยแผลทั้งหมด และกลัวว่าคนอื่นจะเห็นความอ่อนแอของตัวเอง เธอในตอนนี้ยังไม่สามารถปลอบโยนเขาแทนกู้เฟิงได้ ดังนั้นจึงต้องหลบออกไปห่าง ๆ ให้เขาได้ระบายอารมณ์ในพื้นที่เงียบ ๆ สักที่ นี่คือความอ่อนโยนเพียงอย่างเดียวที่เธอพอจะสามารถมอบให้เขาได้ในตอนนี้

อวี่ฉีเดินมาถึงห้องครัว แล้วเริ่มลงมือล้างจานชามช้อนส้อมที่กองเอาไว้ในอ่างล้างจานทั้งหมด ตามด้วยโยนเสื้อผ้าของเขาเข้าไปในเครื่องซักผ้า จากนั้นจึงกลับมานั่งบนโซฟาในห้องรับแขก มองตรงไปยังเข็มวินาทีที่เดินวนจนกระทั่งผ่านไปสิบกว่ารอบ

คนที่อยู่ในห้องนอนน่าจะสงบลงไม่น้อยแล้ว เธอจึงหยิบที่วัดอุณหภูมิซึ่งถูกวางเตรียมไว้บนโต๊ะกาแฟ แล้วเดินเนิบช้าไปยังห้องนอน

อวี่ฉียืนอยู่ที่หน้าประตูเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้ยินเสียงผิดปกติอะไรด้านใน เธอจึงวางใจลงแล้วยกมือขึ้นเคาะประตู “เข้าไปได้ไหม?”

เสียงเกียจคร้านของเย่หนานดังแว่วมาจากข้างใน “ในเมื่อมือยาวนัก ก็เปิดประตูเองสิ”

ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ เธอก็รู้ว่าอย่างน้อยตอนนี้อารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว ถึงจะยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ก็ตาม

อวี่ฉีสูดลมหายใจลึก ๆ เฮือกหนึ่งเพื่อทำให้ความสงสารเห็นใจและความใจอ่อนบนใบหน้าสลายไป ถึงกล้าผลักประตูเปิดเข้าไปในห้อง

สำหรับเย่หนาน การมองเขาด้วยสายตาสงสารและเห็นอกเห็นใจ มันโหดร้ายยิ่งกว่าการทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านเขาไปซะอีก อวี่ฉีเข้าใจดีว่าเขาไม่ต้องการความสงสาร และไม่อยากรับความเห็นใจยิ่งกว่าด้วย

หลังจากเธอเข้าไปในห้องแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ทำเพียงนั่งหันข้างลงที่ข้างเตียง แล้วยื่นเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ให้เขาเท่านั้น “ลองวัดไข้ดูหน่อย ฉันจะดูว่านายไม่สบายหรือเปล่า”

เย่หนานไม่ได้รับไป แต่กลับพลิกตัวมาเอียงหน้าแนบไปบนหลังมือของตัวเองพลางมองเธอแทน ก่อนจะยกมุมปากขึ้น “ขี้เกียจวัด”

อวี่ฉีมองเขาแล้วยิ้มออกมาเช่นกัน ก่อนจะยื่นมือไปดีดหน้าผากของเขาทีหนึ่ง “อย่าดื้อ ลุกขึ้นมา”

เย่หนานหงายหลังตามแรงของเธอด้วยท่าทางโอเวอร์ ราวกับว่าการดีดเบา ๆ ของเธอนั้นใช้เรี่ยวแรงมหาศาล…แต่ก็แกล้งทำได้เหมือนจริงทีเดียว

หลังแสดงจบแล้ว เขาก็พาดคางวางไว้บนหลังมืออีกครั้ง แล้วมองมายังเธอด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ถึงตาเธอแล้วนะ” เอ่ยจบ เขาก็เอียงคอ พร้อมค่อย ๆ ยื่นนิ้วโป้งและนิ้วชี้เล็งมาทางเธอแล้วทำท่าทางยิงปืนออกมา อวี่ฉีไม่ได้ให้ความร่วมมือ แต่มองเขาอย่างจนใจแทน “นายอายุเท่าไหร่แล้ว? ยังเป็นเด็กน้อยที่ต้องให้ผู้ใหญ่มาคอยปลอบอยู่อีกรึไงไม่ทราบ?”

เขาไม่โกรธเลยสักนิด ใบหน้ายังยิ้มน้อย ๆ เช่นเดิม “ฉันเป็นไข้อยู่ คนไข้น่ะต้องการการถูกตามใจนะ”

อวี่ฉีจำต้องยอมแพ้ “ถ้าฉันเล่นกับนาย นายก็จะยอมวัดไข้แต่โดยดีใช่ไหม?”

เย่หนานไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ชายหนุ่มใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้เล็งมาทางเธออีกครั้ง มุมปากยังคงประดับรอยยิ้มเอาไว้ เขาหรี่ตาลงข้างหนึ่งราวกับส่องเลนส์กล้องปืน จากนั้นก็กระตุกนิ้วเบา ๆ “ปัง!”

นักแสดงระดับอวี่ฉีต่อให้ไปเข้าฉากโดนยิงตอนถ่ายทำการแสดงจริงก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ ดังนั้นเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมเล่นกับเขาก็ย่อมต้องแสดงให้สมจริงที่สุด ตอนที่เย่หนานงอนิ้วโป้งลง เธอเอนตัวล้มลงไปบนเตียงทันทีโดยไม่มีอาการแตกตื่นใด ๆ ทั้งสิ้น สองตาเบิกกว้างราวกับสูญเสียจุดรวมสายตาไปแล้ว รูม่านขยายกว้าง ทุกอย่างลื่นไหลไม่มีการเกร็งตัวแข็งทื่อที่ดูน่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เป็นธรรมชาติจนดูเหมือนกับถูกยิงเข้าแล้วจริง ๆ 

 

กลับเป็นเย่หนานเองที่สะดุ้งเฮือกตอนที่เธอล้มวูบไป เขารีบยันตัวขึ้นมานั่ง กางนิ้วมือทั้งห้าออกแล้วโบกไปมาตรงหน้าเธอ “หยางอวี่ฉี เธอคงไม่ได้เป็นลมไปจริง ๆ ใช่ไหม?”

เพิ่งจะสิ้นเสียงของเขา สายตาของอวี่ฉีที่แต่เดิมสูญเสียจุดรวมสายตาไปก็กลับมาสงบมั่นคงทันที เธอยื่นเทอร์โมมิเตอร์ที่กำไว้ในมือขวาอยู่ตลอดไปตรงใต้จมูกของเขา “วัดไข้ได้แล้ว”

เย่หนานอึ้งไป หลังได้สติกลับคืนมาก็อดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้ เขาใช้มือหนึ่งเท้าคางของตนเองไว้ด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย แล้วใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของอีกมือคีบเทอร์โมมิเตอร์ขึ้นมา แล้วหมุนควงเหมือนควงปากกา “ฉันเข้าใจมาตลอดว่า คนอย่างเธอไม่น่าจะเล่นอะไรไร้สาระเป็นเพื่อนฉันได้” เอ่ยจบก็เอียงหน้ามองเธอพลางหรี่ดวงตาลงกว่าครึ่ง แล้วส่งยิ้มราวกับสุนัขจิ้งจอกมาให้ “สารภาพความจริงมา เธอแอบไปมีแฟนลับหลังฉันใช่ไหม ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงรู้จักทำตัวเป็นคนขี้เล่นขึ้นมาได้?”

สายตาของอวี่ฉีหยุดอยู่ที่เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ชั่วครู่ จากนั้นจึงเหลือบมองเขาด้วยสายตาคุกคาม

เย่หนานยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมทันที “โอเค ๆๆ ฉันรู้แล้ว วัดเดี๋ยวนี้แหละ” เอ่ยจบ เขาก็ยกคอเสื้อของตัวเองขึ้น ทำท่าจะยัดเทอร์โมมิเตอร์เข้าไปข้างใน แต่จู่ ๆ เขากลับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงช้อนตาขึ้นมองเธอแล้วสะบัดมือใส่เหมือนกับปัดแมลงวัน “หันไป ๆๆ อย่ามาฉวยโอกาสแอบมอง เธอนี่จริง ๆ เลย ไม่มีความเป็นกุลสตรีสักนิด”

อวี่ฉีถลึงตาใส่เขา เธอทั้งโกรธทั้งขำ “ก็แค่ซี่โครงสองข้างของนาย ฉันยังไม่อยากจะดูด้วยซ้ำ ทำร้ายสายตา” พูดจบก็หลับตาลง “รีบวัดเร็ว วัดเสร็จฉันจะได้กลับบ้าน…เสร็จหรือยัง? ฉันจะลืมตาละนะ”

เธอลืมตาขึ้นข้างเดียวก่อน เมื่อมองไม่เห็นเทอร์โมมิเตอร์ในมือของอีกฝ่ายแล้วจึงค่อยลืมตาอีกข้าง “อย่าขยับนะ ต้องทิ้งไว้ห้านาที”

เย่หนานเบนหน้ามา เขาใช้มือข้างขวาที่ไม่ได้ถือเทอร์โมมิเตอร์กดท้องตัวเองเอาไว้ แล้วบ่นงึมงำขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว เธอยังจะทิ้งฉันไว้แล้วกลับบ้านได้ลงคออีกเหรอ?”

เธอไม่ได้จำเป็นต้องไปจริง ๆ หรอก แต่ตามข้อมูลของต้นฉบับนิยายที่อยู่ในสมองบอกว่า อีกเดี๋ยวกู้เฟิงก็จะมาแล้ว ถ้าเธอไม่ไปก่อนแล้วเจอเขาเข้า คงจะกระอักกระอ่วนกันน่าดู

อวี่ฉีทำได้เพียงหยิบเอานามบัตรหลายใบของร้านอาหารเดลิเวอรี่ออกมาจากในกระเป๋าหนังสะพายข้างใบเล็กแล้วยัดใส่ในมือของเขา “นายอยากกินอะไรในนี้มีทั้งนั้น โทรไปแล้วจะมาส่งภายในสามสิบนาที”

เย่หนานหันกลับมา แล้วโบกนามบัตรร้านค้าไปมาใส่เธอ “เธอทำกับฉันอย่างนี้เหรอ?” แล้วจึงพูดต่ออย่างเอาแต่ใจและไร้ยางอายว่า “ไม่เอาหรอก ฉันไม่มีเงิน”

เป็นถึงผู้จัดการเย่ผู้สง่าผ่าเผย ยังมีหน้ามาคร่ำครวญว่าจนอีกเหรอ

อวี่ฉีคร้านจะเปิดโปงเขา ก็เลยหยิบธนบัตรสองใบที่มีหน้าท่านประธานเหมาออกมาจากในกระเป๋าหนังใบเล็กด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ แล้วยัดใส่มือของเขาด้วยท่าทางราวกับเป็นพนักงานขายมืออาชีพ “เด็กดี อยากกินอะไรก็เรียกให้คนมาส่งนะ ถือว่าฉันเลี้ยงก็แล้วกัน”

เย่หนานขมวดคิ้ว จ้องธนบัตรสองใบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเธอ “เธอบอกมาตามตรงดีกว่า ช่วงนี้ไปขลุกอยู่กับใครมา ทำไมถึงได้เจ้าเล่ห์ร้ายกาจขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังรู้วิธีใช้เงินฟาดหัวคนอื่นอีก?”

อวี่ฉียกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา จากที่กะเวลาไว้ ถ้าขืนยังอยู่ต่อ คงไม่พ้นต้องเจอกับกู้เฟิงแน่ ๆ เธอจึงรีบเงยหน้าขึ้นสั่งเขา “อีกเดี๋ยวนายอย่าลืมเอาเทอร์โมมิเตอร์ออกมาดู แล้วโทรสั่งอาหารพวกผักรสอ่อนมากิน ฉันยังมีธุระอีก ขอตัวกลับก่อนนะ ส่วนนายก็พักผ่อนเยอะ ๆ ล่ะ แล้วก็อย่าลืมกินยาด้วย มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉัน ฉันเปิดเครื่องตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” จบคำก็ตบบ่าเขาแปะ ๆ ก่อนสะพายกระเป๋าหนังใบเล็กแล้วลุกเดินออกไป

พอได้ยินคำสั่งยาวเป็นพรืดของเธอ เย่หนานก็อดยกมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เขาช้อนตาขึ้นมองแผ่นหลังของเธอที่รีบร้อนจากไปอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงพลันรู้สึกหวาดกลัวนิด ๆ ที่ต้องอยู่ในห้องว่างเปล่าและเงียบเหงานี้คนเดียว จึงทนไม่ไหวเอ่ยปากเรียกเธอเอาไว้ “หยางอวี่ฉี…”

อวี่ฉีชะงักฝีเท้า เธอก้มมองดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปมองเขา “มีอะไรเหรอ?”

เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “ฉันไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน ถ้าเธอทิ้งฉันเอาไว้คนเดียว ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวฉันอาจจะเป็นลมล้มพับเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำก็ได้นะ”

รอยยิ้มของเขาสดใสมาก คำพูดก็ฟังดูเหมือนล้อเล่นอยู่ อวี่ฉีจึงไม่คิดอะไรมากอีก เพียงยิ้มแล้วมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปนอกประตูทันที

เย่หนานมองดูเธอที่จากไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออกแล้วปิดลงดังแว่วมา รอยยิ้มที่มุมปากก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นซีดเซียวเหงาหงอย

เขาก้มดูนามบัตรร้านอาหารเดลิเวอรี่ปึกนั้น ส่ายหน้ายิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทิ้งตัวหงายหลังนอนลงบนเตียง พลางชูมือขึ้นบิดขี้เกียจ นามบัตรที่พิมพ์เบอร์โทรศัพท์ร้านอาหารเดลิเวอรี่เอาไว้ก็พลันกระจายว่อนอยู่เต็มเตียง

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร จู่ ๆ เขาก็พลิกตัวไปด้านข้างแล้วขดตัวถูหน้าบนหมอน ก่อนเอามือข้างหนึ่งกุมท้องไว้ พลางร้องครางเสียงต่ำว่า “หิวจังเลย…”

ในตอนนั้นเอง ด้านนอกพลันมีเสียงกุญแจเปิดประตู เสียงกุกกัก ๆ ดังชัดเป็นพิเศษภายในห้องอันเงียบสงัด

เย่หนานตกตะลึง เขาหันหน้าไปมองทางประตู ก่อนลองถามหยั่งเชิงดู “อาเฟิง?”

ไม่มีใครตอบ แต่หลังจากผ่านไปสักพัก เงาร่างสูงเพรียวก็เดินก้มหน้าเข้ามาในห้องเงียบ ๆ พร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ในมือ เป็นกู้เฟิงนั่นเอง

เขาไม่กล้ามองเย่หนาน ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเอ่ยทักทายสักคำด้วยซ้ำ ได้แต่เปิดตู้เสื้อผ้าออกอย่างแผ่วเบา แล้วเก็บเสื้อผ้าของตัวเองออกมาทีละตัวยัดใส่ลงในกระเป๋าเดินทาง

ในตอนที่กู้เฟิงเดินเข้ามาในห้อง เย่หนานก็ปล่อยมือที่กุมท้องลงโดยอัตโนมัติ แล้วประคองร่างลุกขึ้นมานั่งอย่างช้า ๆ ใบหน้าไม่เหลือรอยยิ้มเหมือนยามปกติอีกแล้ว น้ำเสียงก็เย็นลงโดยไม่รู้ตัว “คุณกำลังทำอะไร คุณจะย้ายออกเหรอ?”

กู้เฟิงชะงักมือไป แต่ก็ไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่ก้มดูเนกไทที่อยู่ในมือ นั่นเป็นเนกไทที่เย่หนานซื้อให้เขาในวันเกิดปีที่แล้ว มันทำให้กู้เฟิงไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากพูดอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง เขาควรอธิบายกับเย่หนานอย่างไรดีว่าอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ตัวเองจะแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนแล้ว

เย่หนานไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เอาแต่มองดูแผ่นหลังของอีกฝ่ายเงียบ ๆ ใบหน้าของเขาขาวซีดไร้ความรู้สึกราวกับภูตผี แต่กู้เฟิงกลับมองไม่เห็น

สุดท้ายกู้เฟิงก็วางเนกไทเส้นนั้นกลับเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ย่อตัวลงค่อย ๆ รูดซิปกระเป๋าเดินทาง พร้อมบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ “เมื่อวานนี้ผมส่งอีเมลให้คุณฉบับหนึ่ง ทุกเรื่องที่ผมต้องการจะบอกอยู่ในอีเมลฉบับนั้นทั้งหมด” เขาลากกระเป๋าเดินออกไปด้านนอกประตู ก่อนชะงักเล็กน้อยในตอนที่กำลังจะออกจากห้อง กู้เฟิงกล่าวเสียงเบาราวกับกระซิบออกมาว่า “อาหนาน ขอโทษนะ”

สิ้นเสียง เขาก็เดินออกไปข้างนอกโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

เย่หนานมองไปทางประตูห้องด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้ความรู้สึก ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายค่อย ๆ ห่างไกลออกไป ได้ยินเสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบา ได้ยินสรรพเสียงภายในห้องที่ว่างเปล่านี้เมื่อมันกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

ต่อให้สมองจะช้าแค่ไหน ยังไงก็เข้าใจได้อยู่ดีว่าตัวเองถูกทิ้งแล้ว แต่เย่หนานไม่ได้ร้องไห้ เขายังคงยิ้มออกมา ถึงแม้จะยิ้มได้น่าเกลียดมากก็ตามที

กู้เฟิงลืมปิดประตูตู้เสื้อผ้า กระจกบานใหญ่ที่ติดอยู่บนบานประตูตู้นั้นสะท้อนแสงจนให้ความรู้สึกเย็นเยียบไม่ต่างกับน้ำแข็ง มันกำลังสะท้อนใบหน้าซีดขาวที่หดหู่ของเขาในยามนี้

เย่หนานค่อย ๆ หันหน้าไปมองดูตัวเองในกระจก แล้วกระตุกริมฝีปาก พร้อมถามตัวเองเสียงเบาว่า “ทำไมถึงไม่หิวแล้วล่ะ?” พูดจบเขาก็ยิ้มขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ งอตัวลง ขดร่างทั้งร่างจนกลายเป็นก้อนกลม ๆ

——————-

ห่างออกไปสิบกว่ากิโลเมตร อวี่ฉีนั่งอยู่ในรถยนต์ หมวดคิ้วหรี่ตาลงมองดูไฟแดงที่อยู่ไม่ไกล พลางใช้นิ้วชี้เรียวยาวเคาะลงบนพวงมาลัย

ผ่านไปสักพัก ไฟเขียวก็สว่างขึ้นมา เธอเหยียบคันเร่งค่อย ๆ เคลื่อนไปด้านหน้าตามรถคันอื่น แต่ในตอนที่กำลังผ่านสี่แยกไปนั้นเธอก็คล้ายกับตัดสินใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหักหวงมาลัยไปด้านหนึ่งอย่างฉับพลัน เลี้ยวรถกลับ ขับมุ่งไปทางบ้านของเย่หนาน

 

——————————————————-