ตอนที่ 9.3 (เล่มสอง)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เย่หนาน 3 

เย่หนานปล่อยหมอนสีขาวหิมะในอ้อมแขนแล้วเหม่อมองไปยังวิวนอกหน้าต่าง ผ่านไปสักพักจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง ขยับตัวลงจากเตียง สวมรองเท้าแตะ เดินค้ำกำแพงออกไปด้านนอกอย่างไร้เรี่ยวแรง หลังจากลากสังขารไปถึงห้องนั่งเล่นแล้วก็ก้มตัวลงค้นหาของกินใต้โต๊ะกาแฟ แต่ดูเหมือนของที่ซื้อมาเก็บไว้ตรงนี้จะถูกกินหมดแล้ว ขนาดช็อกโกแลตยังไม่เหลือสักแท่ง

เขาขยี้ผมดำยุ่งเหยิงของตัวเองด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนจะดึงลิ้นชักจนหลุดออกมาทั้งชั้นจากใต้โต๊ะกาแฟ แล้วเททุกอย่างลงบนโต๊ะเกิดเสียงดังเคร้งคร้าง ถุงใส่อาหารและกล่องยาที่ปนอยู่ในนั้นกระจายไปทั่วทุกทิศ โดยกล่องยาหนึ่งในนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะเอาไว้

เย่หนานเลิกคิ้ว เขาใช้นิ้วเรียวยาวคีบกล่องยานั้นขึ้นมาดูด้วยความสงสัย แล้วหรี่ตาเพ่งอ่านตัวอักษรที่เรียงติดกันอยู่ด้านบน ‘กินยานี้ทุกวัน วันละสามครั้ง ครั้งละสองเม็ด ถ้านายไม่กินยาตรงเวลาละก็ นายตายแน่ รอฉันมาเก็บศพนายคราวหน้าได้เลย!’

มันเป็นอักษรตัวบรรจงสวยสะอาดตา แถมยังวาดรูปมีดที่มีเลือดหยดต่อท้ายแทนคำข่มขู่ด้วย

เย่หนานอดยิ้มขึ้นมาแวบหนึ่งไม่ได้ เขาโยนกล่องยาที่ถือกลับลงไปบนโต๊ะกาแฟ แล้วหยิบอีกกล่องขึ้นมาพลิกดูต่อ ก็พบตัวอักษรที่เขียนแปะไว้เช่นกันตามคาด ‘ยาตัวนี้กินทุกวันก่อนอาหารวันละสองครั้ง ครั้งละสองเม็ด ยอมกินยาดี ๆ อย่าเอาร่างกายของตัวเองมาล้อเล่น แล้วก็อย่าปล่อยให้ฉันมีโอกาสเลือกหลุมฝังศพแทนนายล่ะ’

ยังคงเป็นลายมือที่สะอาดตาและสวยมาก มันถูกเขียนด้วยปากกาเช่นเคย แต่ที่ต่างออกไปก็คือ ใต้ตัวอักษรบรรทัดนี้วาดของที่ดูคล้ายกับป้ายหลุมศพเอาไว้ ทั้งยังกดเส้นหนัก ๆ วาดส้อมยักษ์ไว้บนป้ายหลุมศพด้วย

เย่หนานหัวเราะพรืด สะบัดมือโยนกล่องยากลับลงไปบนโต๊ะกาแฟแล้วส่ายหน้าเบา ๆ พึมพำกับตัวเองด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งขำว่า “ปากร้ายขึ้นทุกวันแล้ว ยัยตัวแสบเอ๊ย”

เขาย่อตัวลองพลิกห่อของกินบนโต๊ะกาแฟอีกรอบ แต่ก็ยังไม่เจออะไรที่พอกินได้เหมือนเดิม เย่หนานจึงค้ำมือไปบนโซฟาด้านหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืนด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันกายเดินเข้าไปดูในครัวต่อ

อาจเพราะรีบร้อนลุกขึ้นยืนเกินไป ยังไม่ทันจะได้ดูว่าในครัวมีอะไรบ้าง อาการวิงเวียนและอ่อนแรงเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำก็กำเริบจนเขาล้มลงบนโซฟาทันที ฟ้าดินหมุนไม่หยุด หัวใจเต้นรัวแรง แค่ครู่เดียวเหงื่อก็ชุ่มโชกไปทั้งตัว ต้องรออยู่พักใหญ่กว่าเรี่ยวแรงจะกลับคืนมา

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงกริ่งดังแว่วขึ้นมาที่หน้าประตู

เย่หนานถอนหายใจลากยาวออกมาด้วยความจนใจ ก่อนค่อย ๆ ประคองตัวลุกขึ้นมา เพราะบทเรียนเมื่อครู่เขาจึงพยายามเคลื่อนไหวให้ช้าที่สุด

ยังดีที่เสียงกริ่งดังอยู่สักพักก็ไม่ดังขึ้นมาอีก เจ้าของห้องก็เลยไม่ต้องรีบร้อนไปเปิดประตู

เย่หนานเกาะกำแพงขยับตัวไปทางประตูทีละนิด จนลำตัวพิงอยู่กับกำแพงข้างประตูนั่นละ ถึงตั้งท่าเอื้อมมือจะไปเปิดประตู แต่จู่ ๆ ชายหนุ่มกลับมองเห็นกุญแจพวงหนึ่งที่วางไว้บนตู้รองเท้าเสียก่อน

เป็นกุญแจที่กู้เฟิงวางทิ้งเอาไว้ เขาคืนกุญแจกลับมาแล้ว

เย่หนานเกาะกำแพงขยับตัวไปทีละนิด แล้วเอื้อมมือไปหยิบกุญแจพวงนั้นมา ทันทีที่สัมผัสโลหะแข็งทื่อนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยียบราวกับเป็นน้ำแข็ง

เขาเหม่อมองกุญแจในมืออย่างเลื่อนลอยจนกระทั่งเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้นอีกครั้ง เย่หนานถึงได้สติกลับมา แล้วรีบเอื้อมมือไปเปิดประตู

แต่เมื่อเห็นว่าคนที่มาเป็นอวี่ฉี เย่หนานจึงเบิกตากว้างขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “เธอกลับมาอีกทำไม ลืมของไว้ที่นี่เหรอ?”

อวี่ฉีก้มตัวลงถอดรองเท้า ก่อนเดินเท้าเปล่าอ้อมตัวเจ้าของห้องตรงไปยังห้องครัวพร้อมถุงพลาสติกใบใหญ่สองใบในมือ “ไม่ได้ลืมของไว้ แค่ไปได้สักพักแล้วจู่ ๆ ก็นึกถึงคำพูดของนายที่บอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน ฉันกลัวนายจะหิวตายอยู่ในบ้าน ถึงได้ตัดสินใจกลับมาช่วยชีวิตนายยังไงล่ะ”

หากเป็นก่อนหน้านี้ เย่หนานคงเถียงเธออย่างไม่ยอมลดราวาศอกไปแล้ว แต่รอจนอวี่ฉีเอาผักกะหล่ำสองหัวใหญ่มาวางแช่ไว้ในน้ำเสร็จ เธอก็ยังไม่ได้ยินเขาพูดอะไรสักคำ จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยความสงสัย

เย่หนานกำลังก้มหน้าพลางใช้มือเกาะผนังเดินอย่างเชื่องช้า หลังจากรู้สึกได้ว่าความเคลื่อนไหวในห้องครัวหยุดลง เขาก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง จนสบสายตาของอวี่ฉีที่มองมาพอดี เจ้าตัวเลยฉีกยิ้มมุมปากโดยอัตโนมัติ แต่มันดูอิดโรยสิ้นดี

“มีอะไรหรือ?” เขาถามเธอ

ยิ้มได้น่าเกลียดกว่าร้องไห้ซะอีก อวี่ฉีพูดในใจ แต่กลับไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อยที่นายพูดน้อยลงน่ะ”

เย่หนานตกตะลึง ก่อนจะขุดเรื่องขึ้นมาพูดต่ออย่างคล่องแคล่ว “เมื่อกี้น้ำตาลในเลือดต่ำน่ะ ตอนนี้ก็เลยยังเวียนหัวอยู่นิดหน่อย” เขาบ่นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงสำทับอย่างโมโหว่า “ฉันบอกแล้วไงว่าอาการน้ำตาลในเลือดต่ำอาจจะกำเริบขึ้นมาได้ สุดท้ายสัตว์เลือดเย็นแบบเธอก็ยังเห็นแก่ตัว ทิ้งคนป่วยไร้ที่พึ่งพิงอย่างฉันเอาไว้แล้วหนีไปคนเดียว” 

มองจากภายนอก คล้ายกับว่าเขาจะฟื้นตัวกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่อวี่ฉีกลับรู้สึกได้ว่า ก่อนหน้านี้เขาจะแค่ล้อเธอเล่นเฉย ๆ แต่ตอนนี้เขากำลังเล่นละครตบตาเธอโดยสมบูรณ์ต่างหาก

แต่ถึงเขาอยากจะทำเหมือนว่าไม่เป็นไร อุตส่าห์พยายามแสร้งแสดงออกมาจนเหมือนจริง เธอก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปเปิดโปงเขา จนทำให้บาดแผลที่เลือดไหลซิบ ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

เธอเช็ดน้ำบนมือออกด้วยท่าทางเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น แล้วหันหน้าไปพูดกับคนป่วยอย่างช้า ๆ ว่า “ให้ฉันชงน้ำผึ้งให้นายสักแก้วไหม?”

“ชงน้ำผึ้งอะไรเล่า มาช่วยประคองฉันหน่อย” เย่หนานเหลือบตามองเธอแวบหนึ่งอย่างอ่อนแรง “อีกเดี๋ยวถ้าฉันวูบไปกองอยู่บนพื้นขึ้นมา เธอจะอุ้มฉันไหวไหม?”

“ฉันอุ้มนายไม่ไหวหรอก คงได้แค่โทรไปเบอร์ 120 เท่านั้น”

“เธอนี่มันไม่ได้เรื่องเลย”

อวี่ฉีก้าวยาว ๆ ไปประคองแขนของเขาไว้ “ในกระเป๋าฉันมีลูกอมรสนมหลายเม็ด นายจะเอาไหม?”

เย่หนานทิ้งน้ำหนักกว่าครึ่งลงบนตัวเธออย่างไม่เกรงใจสักนิด หลังถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความสบายตัวแล้ว เขาก็เหลือบตามองเธออย่างเกียจคร้าน “มีแต่ลูกอมรสนม ไม่มีช็อกโกแลตเหรอ?”

“ในเวลาแบบนี้ อย่าเรื่องมากนักสิ สุขภาพต้องมาก่อนนะ”

เย่หนานส่ายหน้า “ก็ฉันเกลียดนมวัว”

อวี่ฉีไม่สามารถจัดการเขาได้ เธอจึงหันหน้าไปมองห้องนอนสลับกับโซฟา สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกโซฟาที่อยู่ใกล้กว่าแล้วพยุงเย่หนานเดินไปอย่างช้า ๆ

ไม่ง่ายเลยกว่าจะลากเขามาอยู่บนโซฟาได้ อวี่ฉีวิ่งเหยาะ ๆ ไปอุ้มหมอนกับผ้าห่มที่ห้องนอนออกมาคลุมตัวเขา เสร็จแล้วค่อยเดินไปที่ห้องครัว เพื่อผสมน้ำอุ่นกับน้ำผึ้งแก้วหนึ่งแล้วถือกลับไปยังห้องนั่งเล่น

เย่หนานห่อตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา แต่กลับยังรู้สึกหนาวจนแขนขาเย็นเฉียบอยู่ดี ทั้งที่มีเหงื่อไหลไม่หยุด เขากระชับผ้าห่มแนบแน่นจนแทบจะทำให้ตัวเองกลายเป็นดักแด้ยักษ์อยู่รอมร่อ

อวี่ฉีหยุดยืนตรงหน้าเขา เธอยื่นน้ำผึ้งในมือไปให้พร้อมกับใช้มืออีกข้างปัดเส้นผมบนหน้าผากที่เปียกชุ่มของชายหนุ่มออก ตามด้วยยื่นหลังมือทาบไปบนหน้าผากอีกฝ่าย

พอรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ส่งมายังหลังมือครู่หนึ่งแล้ว เธอก็ขมวดคิ้ว ก้มหน้ามองเขาด้วยความเป็นห่วง “ร้อนจี๋เลย นายน่าจะไข้ขึ้นสูงแล้วละ”

เย่หนานรับน้ำผึ้งไปดื่มหลายอึกโดยไม่พูดอะไร

หลังดื่มน้ำผึ้งลงท้องแล้ว น้ำตาลกลูโคสที่เพิ่มเข้ามาก็ซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า ๆ และค่อย ๆ บรรเทาอาการน้ำตาลในเลือดต่ำของเขาให้ดีขึ้น

ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเย่หนานก็รู้สึกได้ว่าแขนขากลับมาอุ่นอีกครั้ง เขาถึงค่อย ๆ คลายผ้าห่มที่ห่อตัวออกได้ แล้วก้มหน้ากุมท้องพลางบ่นงึมงำด้วยความทรมานว่า “ฉันหิวมากเลย…”

อวี่ฉีชักมือที่ทาบบนหน้าผากของเขากลับมา แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ นายยังร้องบ่นว่าหิวได้ ฉันละนับถือนายจริง ๆ” เธอเงียบไป แล้วพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “เทอโมมิเตอร์วัดไข้ล่ะ? นายเอาออกมาดูแล้วหรือยังว่ากี่องศา?”

เย่หนานทำท่าทางอึ้ง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเธอ

อวี่ฉีแค่เห็นสีหน้านี้ของเขาก็เข้าใจในทันที “ลืมแล้ว?”

เขาพยักหน้าเงียบ ๆ และแสดงความรู้สึกผิดที่นาน ๆ ครั้งจะมีออกมา

อวี่ฉีพ่ายแพ้แก่เขาโดยสมบูรณ์ เธอลองแตะรักแร้อีกฝ่ายผ่านเสื้อฮู้ดก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า เห็นชัด ๆ ว่าเทอร์โมมิเตอร์หายไปแล้ว เธอจึงอดมองเขาอย่างอ่อนอกอ่อนใจไม่ได้ “ฉันบอกให้นายหนีบเอาไว้ไม่ใช่หรือไง ตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”

เย่หนานดึงมือของเธอออกพลางมองเธอด้วยท่าทางแตกตื่น “ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน เธอไม่เคยได้ยินเหรอ? มาลูบแผงอกของผู้ชายตามใจชอบแบบนี้ได้ไง เป็นเรื่องที่ผู้หญิงดี ๆ เขาทำกันหรือไงฮะ?”

“นายมีแผงอกซะเมื่อไหร่? ฉันลูบเจอแต่กระดูกซี่โครง” อวี่ฉีถลึงตาใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย “งั้นนายคลำหาเอาเองก็แล้วกัน ดูซิว่าเทอร์โมมิเตอร์มันไปหล่นอยู่ตรงไหน”

“ไม่ว่าจะอ้าปากหรือปิดปากก็รู้จักแต่ลูบ ๆ คลำ ๆ เธอช่วยสำรวมหน่อยได้ไหมเนี่ย?” เย่หนานตอบโต้ไปตามที่คิด แต่ก็ยังยื่นมือไปกด ๆ บนเสื้อฮู้ดของตัวเอง แล้วก็คลำพบของชิ้นเล็ก ๆ ที่เป็นด้ามแข็งตรงช่วงเอวข้างซ้ายตามคาด ในตอนที่เย่หนานกำลังคิดจะหยิบมันออกมา ก็พบว่าอวี่ฉียังจ้องมองตนตาไม่กะพริบอยู่ เขาจึงรีบปล่อยมือทันที “ฉันจะเปิดเสื้อแล้ว เธอไม่รู้จักหันหน้าหลบบ้างรึไง?”

ทว่าอวี่ฉีเพียงแค่หลับตาลง “กี่องศา?”

หลังเสียงสวบสาบหยุดลง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงของเย่หนานก็ดังขึ้นมา โดยมีความไม่แยแสเจืออยู่ในน้ำเสียงของเขา “38.9 องศา ก็พอได้อยู่”

อวี่ฉีลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วแย่งเครื่องวัดอุณหภูมิมาดู 38.9 องศาจริง ๆ ด้วย เธอถลึงตาใส่เขาทันทีโดยไม่ต้องคิด “เกือบจะเป็นไข้สูงอยู่แล้ว นี่ยังเรียกว่าพอได้อีกเรอะ? ตกลงว่านี่เป็นร่างกายของนายหรือของฉันกันแน่ นายอยากตายหรือไงฮึ? ถ้าอยากให้ฉันจองหลุมศพให้ก็บอกมา!”

เย่หนานอึ้งไปพักหนึ่งเมื่อจู่ ๆ เธอก็โมโหใส่เขาอย่างเหนือความคาดหมาย จากนั้นเขาก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ยิ้มไปยิ้มมาจู่ ๆ สีหน้าของเขากลับค่อย ๆ เจื่อนลงอย่างไร้สาเหตุ สุดท้ายเขาก็มองดูแก้วในมือของตัวเองนิ่ง ๆ แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “จริง ๆ ตายแล้วก็ไม่เป็นอะไรหรอก ยังไงก็ไม่มีใครแคร์อยู่แล้ว”

หลังเหม่อลอยอยู่ครู่สั้น ๆ เย่หนานถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าอวี่ฉีเงียบไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เขาพูดจบ จึงแปลกใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย และพบว่าเธอกำลังยืนทำหน้าเย็นชาอยู่ตรงหน้าเขา เย่หนานถึงขั้นเห็นไฟโทสะเลือนรางอยู่ในดวงตาสีดำคู่สวยนั้นด้วยซ้ำ

เขาอึ้งงัน “เป็นอะไรไป?”

“เป็นอะไรไป? นายยังมีหน้ามาถามว่าฉันเป็นอะไรอีกงั้นเรอะ?” อวี่ฉีโกรธท่าทางงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวของเขาจนหัวเราะออกมา “ฉันยุ่งวุ่นวายเพื่อนายอยู่ที่นี่ เป็นเพราะว่าฉันว่างงานไม่มีอะไรทำสินะ? แค่แม่นายบอกว่านายป่วย แม่ของฉันก็รีบให้ฉันมาดูนายแล้ว ก็คือฉันยุ่งเรื่องคนอื่นมากไปงั้นสิ? พวกเราวิ่งวุ่นวนอยู่รอบตัวนาย นี่เรียกว่าไม่มีใครแคร์เหรอ? งั้นนายก็ตาย ๆ ไปเถอะ ฉันจะกลับไปเลือกหลุมฝังศพให้นายเดี๋ยวนี้ รับรองว่าฮวงจุ้ยดีที่สุดเลย”

“เฮ้ย หยางอวี่ฉี เธอมาตะคอกขึ้นเสียงใส่คนป่วยแบบนี้มันไม่ถูกต้อง…”

“ฉันขึ้นเสียงใส่นายแล้วจะทำไม? นายแน่จริงก็รีบลงหลุมไปเลยสิ! ถึงยังไงก็ไม่มีใครแคร์นายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!?”

เย่หนานรีบยกมือสองข้างทำท่ายอมแพ้ กระทั่งน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “โอเค ๆ ฉันพูดผิดไป ฉันผิดเอง ฉันขอโทษนะ ฉันมันเลว ข้าน้อยยกธงขาวยอมแพ้แล้ว ท่านชนะแล้ว…แบบนี้โอเคไหม?”

อวี่ฉีถลึงตาใส่ แล้วปัดมือทั้งสองข้างของเขาทิ้ง “ฉันขี้เกียจจะสนใจนายแล้ว” เอ่ยจบก็ไม่คิดจะมองเขาอีก หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

สายตาของเย่หนานรีบร้อนมองตามไป “เฮ้ ไม่เอาสิ เธอจะไปไหนน่ะ?”

อวี่ฉีไม่ได้หันหน้ากลับมา เธอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปต้มโจ๊ก”

เย่หนานได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อึ้งไป แล้วอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาเงยหน้ามองแผ่นหลังของเธอแล้วกล่าวว่า “หยางอวี่ฉี…”

“อะไรอีก?”

“ขอบคุณนะ” น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนโยนมาก ทั้งยังเจือด้วยความสุขที่แทบมองไม่เห็นเอาไว้ด้วย

——————————————————-