ตอนที่ 9.4 (เล่มสอง)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เย่หนาน 4

หลังดื่มน้ำผึ้งลงท้องจนหมดแก้ว เย่หนานก็นั่งพักต่ออยู่ครู่หนึ่งถึงลุกขึ้นยืนช้า ๆ เดินโซเซไปยังห้องนอน โดยมือข้างหนึ่งโอบผ้าห่มที่คลุมตัว ส่วนอีกมือหนึ่งถือหมอนเอาไว้

อวี่ฉียืนกอดอกอยู่ในห้องครัว เมื่อเห็นท่าทางที่พร้อมล้มวูบลงไปทุกเมื่อของเย่หนาน เธอก็ได้แต่ส่ายหน้า ก่อนเอื้อมมือไปหรี่ไฟบนเตาให้เบาลง ก้าวยาว ๆ เดินไปดึงหมอนที่เขาใช้แขนหนีบไว้พลางเลิกคิ้วขึ้น “ต้องการให้ช่วยประคองไหมคะ ท่านผู้เฒ่า?”

ก่อนหน้านี้เย่หนานเพิ่งจะถูกเธอด่าไปยกหนึ่ง จึงยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างจนถึงตอนนี้ เดิมทีเขาคิดว่าจะพูดขอบคุณอวี่ฉีอย่างจริงใจสักคำ แต่พอได้ยินเธอพูดล้อเล่นกับตัวเองแบบนี้ก็โล่งใจขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มรีบยกมือพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ว่า “มานี่เลย มาๆ ปู่จะล้มอยู่แล้ว ยังไม่รู้จักมาประคองอีก”

อวี่ฉีก้าวไปหาเขาพร้อมรอยยิ้มที่กลั้นไม่อยู่เช่นกัน ตอนแรกเธอคิดจะประคองแขนให้อีกฝ่าย แต่ปรากฏว่าเจ้าชายชราคนนี้ดันยกแขนมาพาดลงบนไหล่ของเธอเอง แล้วทิ้งน้ำหนักกว่าครึ่งลงมาแบบไม่ห่วงใยกันเลยสักนิด แถมยังทิ้งท้ายด้วยการชี้นิ้วบอกทางอย่างลำพองใจว่า “ไปกันเถอะ แม่สาวน้อย”

อวี่ฉีถลึงตาใส่เขาอย่างขำ ๆ เธอสลับหมอนไปถืออีกฝั่ง แล้วกุมมือที่วางไว้บนไหล่ของเธอเอาไว้ ค่อย ๆ ลากเขาไปที่เตียงในห้องนอน จัดการวางหมอนและคลี่ผ้าห่มคลุมอีกฝ่ายทั้งตัวอย่างคล่องแคล่ว “ยอมนอนดี ๆ เถอะ นอนสักงีบให้เหงื่อออก จะได้ไม่ทรมาน”

เย่หนานขดตัวซุกคางอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวหิมะ จนเหลือแค่หน้าผากขาวซีดและสันจมูกโด่งเท่านั้นที่โผล่ออกมา เส้นผมสีดำที่ยุ่งเหยิงกระจายตัวอยู่บนหมอนด้านหลังศีรษะ ใบหน้าซึ่งแต่เดิมกระจ่างตาคล้ายจะเล็กลงไปเท่าตัว ดูแล้วเหมือนสุนัขตัวโตที่น่าสงสาร “ก็ยังรู้สึกทรมานอยู่ดีนั่นแหละ…”

เสียงของเขาเบามากจนฟังได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก อวี่ฉีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พลางเหลือบตามองไปทางเขา “นายพูดว่าอะไรนะ?”

เขาส่ายหน้าแล้วหลับตาทั้งสองข้างลง “ไม่มีอะไร” เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อทั้งที่ยังหลับตาอยู่ “ขอถามเธออย่างหนึ่งได้ไหม?”

“ถ้าฉันบอกว่า ‘ไม่ได้’ ล่ะ?”

“ไม่อนุญาต”

“งั้นนายก็ถามมาเถอะ”

เย่หนานค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย “ถ้าหากมีวันหนึ่งเธอถูกคนอื่นทิ้ง เธอจะทำยังไงเหรอ?”

เห็นชัด ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องของตัวเองอยู่ แต่อวี่ฉีกลับไม่สามารถแสดงออกว่ารู้ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดนี้ได้ จึงทำได้เพียงหรี่ตามองเขาแล้วถามเสียงเย็นว่า “นายหมายความว่าวันหนึ่งนายอาจจะทิ้งฉันงั้นเหรอ?”

เย่หนานอึ้งไปในทันที แล้วเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของตัวเอง เขาจึงรีบยิ้มพร้อมกับพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่บอกว่าถ้าหาก…ถ้าหากน่ะ”

อวี่ฉีมองประเมินเขาเงียบ ๆ

เห็นได้ชัดว่าเรื่องระหว่างเขากับกู้เฟิงยังถูกปิดเป็นความลับเอาไว้ ไม่ว่าจะเพื่อนสนิท พ่อแม่ หรือว่าคู่หมั้น ก็ต่างไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นบางทีนี่อาจเป็นโอกาสให้เธอปลูกฝังความคิดเชิงบวกเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เขาก็ได้

หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวี่ฉีก็บิดตัวนั่งลงตรงขอบเตียงแล้วพูดรัว ๆ ใส่เขาทันที “ถ้ามีคนกล้าทิ้งฉันละก็ ฉันจะเอาเบอร์มือถือของมันไปโพสต์ลงในเน็ต แล้วเขียนตัวอักษรสีแดงเบ้อเริ่มเทิ่มเน้นตัวหนา ๆ ไว้ข้าง ๆ ว่า ‘ผมยังซิงอยู่ ต้องการเปิดประสบการณ์ด่วน ๆ ไม่ต้องจ่ายเงิน สนใจก็โทรมาได้เลย’ แล้ววันต่อมาค่อยลากผู้ชายสักคนที่หล่อกว่ามัน นิสัยดีกว่ามัน มีค่ากว่ามัน และตัวสูงกว่ามัน ไปเดินสวีตผ่านหน้าเจ้านั่นสักสามสิบรอบ พอระบายอารมณ์เสร็จแล้วก็โละมันออกจากสมองทันที หันหน้าไปเปิดใจรับรักครั้งใหม่ พยายามมีความสุขให้มากกว่าไอ้คนเฮงซวยนั่นสักร้อยเท่า”

ริมฝีปากของเย่หนานที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มเผยอขึ้นน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ปิดลงอย่างพูดไม่ออก

อวี่ฉีมองดูเขา “มีอะไรจะพูดก็พูดมาสิ หรือนายไม่เห็นด้วยกับวิธีจัดการของฉัน?”

เย่หนานพลันรู้สึกว่าหน้าอกที่เจ็บจนอึดอัดก่อนหน้านี้โล่งขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ถึงจะยังเหลืออาการปวดหนึบจาง ๆ แต่สุดท้ายเขาก็หันไปมองเธอแล้วยิ้มออกมาได้ “ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเธอรักคนคนนั้นมาก เธอก็คงทำเรื่องพวกนี้ไม่ลงหรอก” เสียงของเขาเบามากจนเหมือนกำลังพูดกับเธอและตัวเองไปด้วย

อวี่ฉีไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองดูเขาแล้วลอบถอนใจเท่านั้น

เย่หนานคนนี้อะไรก็ดีไปหมด มีจุดเดียวที่แย่คือเขาโหดร้ายกับตัวเองเกินไป แต่กลับใจอ่อนมาก ๆ กับคนอื่น คนแบบเขา ต่อให้ถูกทิ้งแล้วก็ยังทำใจไปทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้ เมื่อไม่มีทางบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้ก็เลยจบด้วยการทำร้ายตัวเอง

เธอเบือนสายตาไปมองนอกหน้าต่างเล็กน้อย ก่อนจะลดเสียงลงพูดต่อ ถึงแม้ว่าจะกำลังพูดไอเดียของตัวเอง แต่ก็คล้ายกับกำลังลอบปลอบใจคนที่กำลังนั่งซึมอยู่ตอนนี้ไปด้วย “ถ้างั้นก็อวยพรให้เขา อวยพรให้เขาจากใจจริง แล้วปล่อยให้เขาได้มีความสุข อย่าผูกมัดตัวเองอยู่ที่เดิม”

เย่หนานได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ดึงสายตากลับมาจ้องมองเพดานอย่างเหม่อลอยอีกครั้ง จนผ่านไปพักใหญ่ถึงค่อย ๆ หลับตาให้แพขนตาทาบทับลงใต้ตาที่ดำคล้ำนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูอ้างว้างกว่าที่เคย

จากนั้นไม่นานเขาก็ขยับปากเอ่ยอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง “จะยิ้มแล้วอวยพรให้เขาได้ยังไงกัน…ทำไม่ได้หรอก…”

ถ้าคนที่พูดประโยคนี้เป็นคนอื่น บางทีเธออาจจะพูดแนะนำให้อีกฝ่ายออกเดินทางไปเที่ยวรอบโลกสักรอบ ไปทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ไปเปลี่ยนอารมณ์ จากนั้นก็ลืมคนคนนั้นซะ แต่เธอทำแบบนั้นกับเย่หนานไม่ได้ เพราะเขาถลำลึกเกินไป ต่อให้เอาโลกที่กว้างใหญ่กว่าเดิมมาวางไว้ตรงหน้าเขา เขาก็จะยังกำมือของคนที่ไม่ได้เป็นของเขาแล้วเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอยู่ดี

อวี่ฉีรู้สึกจนปัญญา เธอทำได้แค่กัดฟันพูดออกไปว่า “งั้นก็เหลือวิธีเดียวแล้ว คือไปลากตัวเขากลับมา”

เย่หนานตกตะลึง ลืมตาขึ้นมองเธอ “เอากลับมาได้เหรอ?”

“เอากลับมาได้ไหม ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าแค่ลองก็ยังไม่เคยลองดู งั้นก็คงไม่มีวันสมหวังไปตลอดกาล ถ้าแย่งกลับมาได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็สามารถตัดใจได้แบบไม่ค้างคา แล้วใช้ชีวิตต่อไป”

สิ่งที่อวี่ฉีพูดนั้นออกมาจากใจจริง แต่เธอรู้แก่ใจดีว่าวาสนาระหว่างเย่หนานกับกู้เฟิงได้จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว ต่อให้เย่หนานจะทำตามที่ตัวเธอบอก เขาก็จะพบแต่ความพ่ายแพ้เท่านั้น บางทีการทำแบบนี้อาจจะดูโหดร้ายเกินไป แต่มันทำให้เย่หนานลืมตาเผชิญหน้ากับความจริงได้ว่า เรื่องระหว่างเขากับกู้เฟิงนั้นไม่มีวันหวนคืนได้อีกแล้ว

ต้องรื้อทิ้งก่อนถึงจะสร้างขึ้นได้ใหม่ และมีแต่ต้องเจ็บจนถึงที่สุดก่อนเท่านั้นถึงจะตัดใจปล่อยมือได้

ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่า คนหนึ่งเจ็บแทบเป็นแทบตาย แต่ในความทรงจำดันมีแต่เรื่องดี ๆ ที่อีกฝ่ายเคยมีให้กัน จนหลุดออกจากการย้อนคิดถึงวนไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งไม่ได้ แล้วสุดท้ายก็ได้แต่รอคอยไปทั้งชีวิตโดยไม่อาจตัดใจได้เลย

อวี่ฉีต้องการทำลายความเป็นไปได้นี้ทิ้งให้หมด เธอจึงต้องให้เขาเอาหัวพุ่งชนจนเลือดไหล ชนจนกว่าตาจะสว่างได้เอง

เธอมองสีหน้าที่กำลังครุ่นคิดของเย่หนานแล้วลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “นายหลับสักตื่นเถอะ ฉันจะไปดูว่าโจ๊กได้ที่แล้วรึยัง” เอ่ยจบ เธอก็หันกายเดินออกไปจากห้อง ทั้งยังใส่ใจปิดประตูลงด้วย

เย่หนานจ้องประตูห้องที่ปิดลงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ เบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง

ก้อนเมฆสีขาวม้วนกระจายตัวอยู่เป็นระยะท่ามกลางท้องฟ้าสีครามกระจ่างใส

พวกมันช่างโชคดีจริง ๆ ที่ไม่มีวันรับรู้ได้ถึงความสุข ความทุกข์ ความรู้สึกดีใจและโศกเศร้า ไม่เหมือนกับมนุษย์…

มอง ๆ ไป เย่หนานก็เลื่อนสายตาไปยังตู้ตรงหัวเตียง แล้วหยุดอยู่บนโทรศัพท์มือถือของตัวเอง จากนั้นก็ไม่สามารถย้ายสายตาไปไหนได้อีก

สักพักเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง หยิบโทรศัพท์มากำเอาไว้ในมือแล้วก้มหน้าคิด ก่อนกดเปิดเข้าไปในเมนูหน้าข้อความ แต่เพิ่งจะขยับนิ้วมือเรียวยาวได้ไม่ทันไรก็กลับชะงักหยุดลงเสียก่อน

เขาจ้องหน้าจอที่กำลังส่องแสงอยู่นานโดยไม่พูดอะไร ถึงค่อยยื่นมือออกไปเคาะอักษรทีละตัวอย่างลังเล ‘ผมไม่ไปดูในอีเมลหรอกนะ ถ้าคุณต้องการจะเลิกกับผม ก็มาบอกผมด้วยตัวเอง’

ไม่ได้ ดูแข็งกร้าวเกินไป

เย่หนานขมวดคิ้ว แล้วลบข้อความหลายบรรทัดนี้ทิ้งไป ก่อนเริ่มพิมพ์ตัวอักษรใหม่ ‘ผมไข้ขึ้นนิดหน่อย รู้สึกแย่มาก แต่คุณไม่อยู่’

ก็ยังไม่โอเค ดูขี้แพ้เกินไป เหมือนกำลังขอร้องเลย

เย่หนานนวดหว่างคิ้ว แล้วยกมือโยนโทรศัพท์ไปที่ด้านหนึ่งอย่างอ่อนแรง หลังจากเหม่อลอยได้ไม่นาน เขาก็กลับลงไปนอนบนเตียงใหม่

เขาใช้เรี่ยวแรงเท่าที่มีไปกับการควบคุมอารมณ์จนหมดแล้ว แต่การต้องอยู่ตัวคนเดียวในห้องแคบ ๆ นั้นทำให้เขาหยุดคิดถึงคนคนนั้นไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ดังนั้นถึงจะรู้ว่าไม่ควรแสดงท่าทางแปลก ๆ ต่อหน้าอวี่ฉี แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามแบบนั้นออกไป

เขาเคยอ่านไดอารี่ของลูกน้องผู้หญิงของตัวเองมาก่อน ในนั้นมีตัวอักษรประโยคสั้น ๆ เขียนไว้ว่า ‘คิดถึงใจจะขาดจนอ้างว้างไปถึงกระดูก’ ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าเธอคนนั้นบรรยายได้โอเวอร์สุด ๆ แต่ตอนนี้กลับพอจะเข้าใจได้แล้ว

สุดท้ายเย่หนานก็ยังไม่ได้เข้าไปดูอีเมลฉบับนั้น ได้แต่ส่งข้อความที่ลบ ๆ แก้ ๆ อยู่หลายรอบไปให้กู้เฟิงแทน

ผ่านไปราว ๆ สามนาที โทรศัพท์ก็สั่น หน้าจออัตโนมัติส่องแสงสว่างที่ชวนให้ใจเย็นเยียบขึ้นมา เย่หนานยื่นมือไปหยิบแล้วกดเปิดดูข้อความ

ตัวอักษรสีดำในจอให้ความรู้สึกเย็นจัดราวกับน้ำแข็ง มันเหมือนกับความรู้สึกที่ได้ตายไปแล้วจนไม่เหลือความอบอุ่นใด ๆ อีก

บางทีคงเป็นเพราะไม่ต้องไปเจอหน้ากันตรง ๆ ข้อความของคนคนนั้นถึงได้ดูมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน แสดงชัดถึงความสุขุมและหนักแน่น

‘วันแต่งงานของผมกับหลินเหวินเหวินกำหนดไว้ปลายเดือนนี้ หลังแต่งงานแล้วผมจะตั้งใจใช้ชีวิตอยู่กับเธอให้ดี เป็นสามีที่มีความรับผิดชอบ คุณรักษาตัวด้วยนะ ไม่ต้องรอผม ผมมันไม่คู่ควร’

ตัวอักษรสั้น ๆ ไม่กี่บรรทัด เย่หนานกลับอ่านอยู่นานมาก จนกระทั่งประตูห้องถูกเคาะเบา ๆ สามครั้ง

เขาหลับตาลง มุมปากค่อย ๆ ยกขึ้นในองศาประหลาดจนดูน่าเกลียด ถึงแม้ว่าจะพยายามเสแสร้งแค่ไหน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนล้าอย่างถึงที่สุดอยู่ดี “เข้ามาได้”

อวี่ฉีได้ยินเสียงจากอีกด้านของประตูก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ชักจะไม่เข้าท่าแล้ว ด้วยเหตุนี้ หลังจากเปิดประตูเธอจึงไม่ได้เดินเข้าไป แต่ยืนถามอยู่ที่ประตูแทน “โจ๊กต้มเสร็จแล้ว นายจะกินเลยไหม?”

เย่หนานก้มหน้าลงวางโทรศัพท์ไว้ด้านข้าง หลังจากเงียบไปได้ครู่หนึ่งเขาก็ส่ายหน้า “ไม่หิวแล้ว”

อวี่ฉีไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอถอยออกไปก้าวหนึ่งแล้วปิดประตูลงอีกครั้ง

ในเวลาแบบนี้ถ้าทะเล่อทะล่าเข้าไป ก็เท่ากับเป็นการบีบบังคับให้เย่หนานต้องฝืนทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นการกระทำที่โหดร้ายมาก

ทว่าต่อให้เรื่องจะกลายเป็นแบบนี้แล้ว อวี่ฉีก็ยังไม่คิดจะจากไป เพราะตอนนี้สถานการณ์ของเย่หนานแย่มาก ขืนทิ้งอีกฝ่ายไว้ที่นี่คนเดียว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะฆ่าตัวตายก่อนเวลา เธอไม่อาจที่จะลองเสี่ยงแบบนั้นได้

นาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังเดินเลยเลขสิบเอ็ดไปแล้ว เข็มนาทีชี้อยู่บนเลขหกอย่างเงียบงัน ในระหว่างที่เข็มวินาทีก็เดินติ๊กต็อก ๆ หมุนวนไปอย่างเชื่องช้า 

เย่หนานที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ในห้องนอนลืมตาขึ้นมาจ้องมองเพดานห้องอย่างมึนงงครู่หนึ่ง ตอนนี้เขาตาสว่างจนไม่รู้จะสว่างยังไงได้อีก ไม่หลงเหลือความง่วงสักกระผีกเดียว

ภายในห้องที่ว่างเปล่านี้มีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง ห้องรับแขกด้านนอกก็ไม่มีเสียงอะไรแล้ว เงียบสงัดจนเหมือนกับสุสานที่รกร้างและว่างเปล่า

อวี่ฉีคงกลับไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ในบ้านที่กว้างใหญ่จึงเหลือตัวเขาเพียงคนเดียว

เย่หนานเหยียดมุมปาก กระตุกรอยยิ้มไม่น่ามองออกมา หลังจากยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตัวเอง เขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พยายามลากร่างกายอ่อนปวกเปียกลงจากเตียง เกาะกำแพงเคลื่อนตัวไปทางประตูทีละก้าว ๆ แล้วเปิดมันออก

เดิมทีแค่อยากเดินไปหยิบยาที่ใต้โต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่นมากิน ใครจะรู้ว่าพอเปิดประตูออกไป ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่ห้องรับแขกว่างเปล่าที่เย็นเยียบและมืดสนิทตามที่คิดไว้ในคราแรก นั่นทำให้เย่หนานตกตะลึงจนต้องหยุดฝีเท้าลงอัตโนมัติ

ภาพยนตร์ที่เขาไม่รู้จักกำลังฉายอยู่บนจอแบบไม่เปิดเสียง แสงจากทีวีส่องกระจายไปยังมุมเล็ก ๆ ของห้องนั่งเล่นสะท้อนให้เห็นเงาร่างที่คุ้นตาบนโซฟา

เป็นอวี่ฉีนั่นเอง

 

 

 ————————-