เย่หนาน 5
“หิวแล้วเหรอ?” อวี่ฉีวางรีโมตลง หันหน้าไปมองเขา “ฉันไปอุ่นโจ๊กให้เอาไหม?”
เย่หนานไม่ได้ถามเธอว่าเพราะอะไรถึงไม่กลับ และไม่ได้ถามด้วยว่าดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังรอเขาอยู่ที่ห้องนั่งเล่นอีก
เขาเดินมาตรงหน้าโซฟาทีละก้าว ๆ อย่างเงียบงันผิดวิสัย สองมือสอดเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง ศีรษะก้มต่ำ เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงปรกระหน้าผากจึงบดบังใบหน้าของอีกฝ่ายไปเกือบครึ่ง เห็นเพียงปลายจมูกโด่งถูกแสงจากหน้าจอโทรทัศน์ไร้เสียงฉาบทา ทั้งร่างจึงเหมือนกลายเป็นเงามืดอันเปล่าเปลี่ยว
อวี่ฉีมองเขาด้วยความฉงน ขณะกำลังคิดว่าควรจะพูดอะไรหน่อยดีหรือไม่ เย่หนานกลับหมุนตัวมานั่งลงบนโซฟาในตำแหน่งที่ใกล้เธอมากจนไหล่แทบจะสัมผัสกัน
ความใกล้ชิดนี้ทำให้ความอบอุ่นของร่างกายถูกส่งต่อไปยังคนที่อยู่เคียงข้างบางเบา นำพาความหนาวเย็นยามค่ำคืนให้จากไป ภายในห้องนั่งเล่นอันว่างเปล่ามีคนสองคนนั่งเคียงไหล่กันราวกับสัตว์ป่าหลงทางกลางทุ่งหญ้ารกร้างที่กำลังมอบความอบอุ่นให้กันและกัน
ใช่ว่าอวี่ฉีจะไม่รู้จักความรัก เธอรู้ดีเกินไปด้วยซ้ำว่าในสถานการณ์แบบนี้ควรต้องทำอย่างไร การพูดจ้อเป็นต่อยหอยเอาแต่ถามเขาไม่หยุดว่าจะกินยาไหม อยากให้ช่วยหยิบเสื้อกันหนาวให้สักตัวหรือเปล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด ไม่อย่างนั้นบรรยากาศดี ๆ จะหายไปหมด
เธอค่อย ๆ เก็บมือข้างที่แต่เดิมคิดจะยื่นรีโมตไปให้เขากลับมา แล้วหันหน้าออก คล้ายกับเพ่งความสนใจมาจับจ้องมองโทรทัศน์ไร้เสียงเงียบ ๆ ต่อ แต่ความจริงจุดโฟกัสทั้งหมดกลับยังคงอยู่บนร่างของคนข้างกาย
เย่หนานเขม้นมองโต๊ะกาแฟนิ่ง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลันหลับตาให้ขนตายาวลงมาบดบังสายตาทั้งหมดเอาไว้
อวี่ฉีหันไปมองเขา ยังมองได้ไม่ทันถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ เย่หนานก็เอนศีรษะมาพิงบนไหล่ของเธอเบา ๆ แล้ว
คิ้วเรียวยาวได้รูปของเขาขมวดมุ่น เม้มมุมปากเล็กน้อย ไม่มีท่าทางยิ้มน้อย ๆ อย่างในตอนกลางวันนั่นอีกเลย น้ำเสียงที่ใช้ก็ติดจะแหบพร่าเนื่องจากเป็นไข้สูง “ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่อยากขอพิงหน่อย แค่แป๊บเดียวเท่านั้น”
ในค่ำคืนที่ความมืดมิดสามารถบดบังได้ทุกสิ่งนั้นมีเสน่ห์บางอย่างที่จับต้องไม่ได้ซ่อนเร้นอยู่ ทำให้คนกล้าถอดหน้ากากที่สวมใส่มานานลงได้ในยามอ่อนล้าจนแทบขยับตัวไม่ไหว
หน้าผากของเย่หนานทาบอยู่ตรงผิวอุ่น ๆ เหนือกระดูกไหปลาร้าของเธอ เส้นผมสีดำยุ่งเหยิงกระทบถูกหลังคอของอวี่ฉีจนรู้สึกจักจี้เล็กน้อย
อวี่ฉีขยับเบา ๆ ยืดตัวขึ้นเพื่อให้เขาได้พิงอย่างสบาย ๆ และเป็นการเพิ่มความใกล้ชิดเข้าไปอีกนิด
“ซื้อห้องใหญ่เกินไปหน่อย” เย่หนานหลับตาพิงอยู่บนไหล่ของเธอนิ่ง ๆ ริมฝีปากที่ค่อนข้างแห้งผากขยับเอ่ยคำ ไม่รู้ว่าพูดกับเธอหรือกับตัวเองอยู่กันแน่ เสียงของเขาจึงเบามาก “อยู่คนเดียว เหงาเป็นบ้าเลย”
อวี่ฉีเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน “นายเลี้ยงหมาสักตัวได้นะ รับรองว่าคึกคักขึ้นเยอะเลย”
“มันหนวกหูเกินไป”
“งั้นก็เลี้ยงแมวสักตัวสิ”
“เปลืองแรงสุด ๆ เลี้ยงไม่ไหวหรอก”
อวี่ฉีอดขำขึ้นมาไม่ได้ เธอกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และใช้น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนกล่าวคำพูดที่สวนทางกับน้ำเสียงว่า “ทำไมนายถึงเอาใจยากแบบนี้ฮึ? มันไม่ได้หนวกหูเกินไปหรือเปลืองแรงอะไรหรอก แต่นายขี้เกียจเกินไปเองมากกว่ามั้ง”
“ฉันเป็นขนาดนี้แล้ว เธอยังจะหัวเราะเยาะฉันอีกเหรอ?” เย่หนานลืมตาขึ้น เหลือบตามองเธออย่างอ่อนแรง “เธอยังมีความเห็นใจกันบ้างไหมฮึ?”
อวี่ฉีรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ยังก้มมองเขาแล้วจงใจถามกลับ “เป็นอะไรยังไงนะ?”
ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง ก่อนเบนสายตาไปทางอื่น เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นแตะหน้าผากของตัวเองแล้วใช้น้ำเสียงเนือย ๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงตอบเธอว่า “ก็ไข้ขึ้นจนเป็นแบบนี้ไง”
อวี่ฉียกมือมาทับมือที่เย่หนานวางไว้บนหน้าผากตัวเองทั้งรอยยิ้ม ปลอบเขาเบา ๆ โดยมีนัยแอบแฝง “ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยู่ที่นี่ทั้งคน ไม่มีทางเกิดเรื่องกับนายแน่”
เย่หนานหลับตาลงโดยไม่พูดอะไร ทว่าในใจกลับปวดจี๊ดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เขารู้สึกปวดหนึบและอึดอัดตรงหน้าอกอย่างรุนแรง นานทีเดียวกว่าอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น
เขายกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าเกลียด “เธออยู่ที่นี่ก็โอเคแล้วงั้นเหรอ ตอนอยู่มหา’ลัย เธอเรียนหมอมารึไง?”
อวี่ฉีหัวเราะเบา ๆ กุมมือเขามาวางไว้ที่หัวเข่าของเธอเอง “ฉันไม่เก่งวิทย์ เรียนหมอไหวซะที่ไหนเล่า”
เย่หนานเหยียดยิ้มมุมปาก ขยับศีรษะที่พิงอยู่บนไหล่ของเธอแผ่วเบา “เวียนหัวจัง”
น้ำกับยาล้วนวางเอาไว้บนโต๊ะกาแฟ แค่เอื้อมมือไปก็หยิบถึงแล้ว ทว่าคนที่นอนพิงไหล่เธอกลับไม่มีท่าทีจะขยับตัวสักนิด อวี่ฉีจึงได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็นไปด้วย
“งั้นทำยังไงดีล่ะ ฉันไม่ใช่หมอซะด้วยสิ”
“เธอบอกเองไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แค่มีเธออยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว?”
อวี่ฉีหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าไปสบตากับเย่หนาน น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนราวกับขนนกปัดผ่านข้างหูของเขาไป “งั้นฉันจูบนายสักหน่อยดีไหม เผื่อจะทำให้นายหายเวียนหัวได้”
เย่หนานตกใจขึ้นมาทันที เขารีบร้อนผละออกจากไหล่ของเธอแล้วยื่นมือไปหยิบน้ำกับยา ก้มหน้าลงเหมือนต้องการจะปิดบังอารมณ์ของตัวเอง แล้วเอ่ยอย่างค่อนข้างลนลานว่า “เธอไม่กลัวติดไข้รึไง?” หลังพูดจบ เขาก็หันหน้ามาวางมาดพร้อมใช้น้ำเสียงสั่งสอนเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เต็มเสียงว่า “แล้วก็นะ เป็นเด็กผู้หญิงก็ควรจะสำรวมหน่อย พูดจาแบบนี้ได้ยังไงกัน?”
อวี่ฉียิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไร พลางเอนหลังพิงโซฟาอย่างเกียจคร้านมองดูคนที่ลนลานอยู่ไม่สุข “ฉันจะไปอุ่นโจ๊กสักหน่อย นายกินเสร็จแล้วก็นอนอีกสักตื่นนะ พรุ่งนี้ไข้คงลดแล้วละ”
เย่หนานมองเธอด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนแวบหนึ่ง แล้วค่อย ๆ หลบสายตาหนีพร้อมขานรับว่า “อืม” เสียงเบา
อวี่ฉียิ้มแล้วลุกเดินไปทางห้องครัว ขณะที่อ้อมผ่านข้างตัวอีกฝ่ายก็อาศัยข้อได้เปรียบเรื่องความสูงยื่นมือมาขยี้ผมสีดำที่ยุ่งเหยิงของเขาทีหนึ่ง พลางใช้น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เด็กดี”
เย่หนานอึ้งไป รีบเบี่ยงหัวหลบ “นี่ อย่ามาฉวยโอกาสทำตัวรุ่มร่ามนะ”
หลังผ่านไปราวสิบนาที เย่หนานก็ได้ประคองโจ๊กชามหนึ่งในมือ เขาค่อย ๆ ละเลียดกินพร้อมกับมองสำรวจคนที่อยู่ข้างตัวเงียบ ๆ ไปพลาง “หยางอวี่ฉี”
เธอถือรีโมตกดเพิ่มเสียงทีวีเล็กน้อย แล้วตอบกลับด้วยท่าทางไม่ค่อยใส่ใจว่า “มีอะไร?”
“วันนี้เธออ่อนโยนจนดูไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ”
“เพราะวันนี้นายก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่สมกับเป็นนายเลยเหมือนกัน”
เย่หนานแพ้ศึกนี้ราบคาบ เขาก้มหน้ากินโจ๊กไปอีกหลายคำกว่าจะคิดหาวิธีตอบโต้ออก “เป็นเพราะว่าคนป่วยทุกคนจะอารมณ์อ่อนไหวง่ายไงล่ะ”
อวี่ฉียิ้มบาง ๆ “ใช่สิ เพราะงั้นฉันถึงต้องมีน้ำใจดูแลคนป่วยมากเป็นพิเศษ ฉันน่ะเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมขั้นพื้นฐานในการเคารพผู้อาวุโส รักเด็ก และเอื้อเฟื้อที่นั่งแก่สตรีมีครรภ์เชียวนะ” เอ่ยจบเธอก็หาวออกมาเบา ๆ “ดึกมากแล้ว นายกินโจ๊กเสร็จก็กินยาแล้วไปนอนซะ คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่แหละ”
เย่หนานเงยหน้าขึ้นมองดูแผ่นหลังของเธอที่เดินไปทางห้องนอนแขก หัวใจที่แกว่งไกวอยู่กลางอากาศและหาที่ลงไม่ได้นั้นค่อย ๆ ไต่ระดับลงมาอย่างเชื่องช้า
ถึงแม้จะมีผนังกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง แต่เขาก็รู้สึกสบายใจแล้วที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในห้องที่กว้างใหญ่นี้คนเดียวอีกต่อไป
วันต่อมา แสงยามเช้าตรู่ส่องทะลุผ่านหน้าต่างอาบไล้ลงบนใบหน้าให้ความรู้สึกอุ่นสบาย
อวี่ฉีตื่นขึ้นมาแล้วก็อดหาวหวอดหนึ่งไม่ได้ จากนั้นจึงก้าวลงจากเตียงอย่างเนิบช้า แล้วจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยไปพลาง ๆ ระหว่างเดินออกนอกประตู
ใครจะรู้ว่าพอเปิดประตูออกมา เธอกลับเห็นเย่หนานในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวสะอาดสะอ้านกำลังนั่งทาเนยอยู่ข้างโต๊ะกินข้าว
หลังได้ยินเสียงดังแล้ว เขาก็เงยหน้ามองมาพร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ แถมโบกขนมปังในมือไปทางเธอด้วยท่าทางภูมิใจ “เมื่อเช้ากว่าจะขุดมันออกมาจากในตู้เย็นได้น่ะลำบากแทบตาย ฉันเหลือไว้ให้เธอแผ่นหนึ่งด้วยนะ”อวี่ฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินยิ้มเข้าไปก้มลงกัดขนมปังแผ่นที่ทาเนยเรียบร้อยในมือของเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็คาบขนมปังหันตัวเดินจากไปทันที ในขณะที่เย่หนานยังเบิกตามองเธออย่างอึ้ง ๆ อยู่
เย่หนานช็อกอยู่นานมากกว่าจะได้สติกลับมา “ฉันไม่ได้หมายถึงขนมปังแผ่นนี้ ของเธออยู่บนจานนั่นต่างหากเล่า!”
อวี่ฉีอมยิ้มพลางนั่งลงที่หน้าโต๊ะ แล้วกลืนขนมปังในปากลงท้องไป “ฉันรู้ แต่ฉันขี้เกียจทาเนย ในเมื่อแผ่นนี้ของนายทาเนยเอาไว้แล้ว ก็ถือว่าเป็นค่าดูแลนายเมื่อวานแล้วกัน” เธอส่งรอยยิ้มยิงฟันให้เขาไปทีหนึ่ง “ไม่ต้องขอบคุณ” เอ่ยจบก็ยื่นนิ้วเรียวผลักจานที่มีขนมปังไร้เนยของตัวเองไปตรงหน้าเขาเบา ๆ
เย่หนานถูกดักทางจนไปต่อไม่ถูก เขาจึงทำได้เพียงก้มหน้าลงอย่างยอมรับชะตากรรม ทาเนยใหม่ด้วยความกลัดกลุ้มใจ
อวี่ฉีกัดขนมปังอีกคำ สายตาคล้ายจะเหลือบมองเขาอย่างไม่ตั้งใจนัก “ไข้ลดแล้วเหรอ? จะไปทำงานเร็วขนาดนี้เชียว ไม่ขอลาอีกสักสองสามวันล่ะ?”
เย่หนานชะงักมือที่กำลังทาเนย “ด้านบนไม่ตรง ด้านล่างก็จะเอนเอียง [1] ฉันจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้พวกเขาไม่ได้หรอกนะ”
ช่างเป็นข้ออ้างที่พูดได้ไม่เต็มปากเสียจริง ๆ
แต่อวี่ฉีก็ขี้เกียจจะเปิดโปงเขาเหมือนเดิม จึงได้แต่มองอีกฝ่ายแวบหนึ่งแทน “ฉันก็จะไปทำงานพอดี ให้ไปส่งไหม?”
เย่หนานยิ้มตอบเป็นเชิงว่าตกลง เขายกมือโยนกุญแจพวงหนึ่งมาตรงหน้าเธอด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย “อย่าลืมมารับฉันหลังเลิกงานด้วย ตอนเย็นฉันอยากกินโจ๊กใส่ไข่เยี่ยวม้า แต่ถ้าใส่เนื้อเยอะ ๆ จะดีที่สุดเลย”
อวี่ฉีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ใช้นิ้วชี้เกี่ยวกุญแจพวงนั้นขึ้นมาแกว่ง แล้วปรายตามองเขา “กุญแจห้องเหรอ?”
เย่หนานก้มหน้าทาเนยต่อ ส่งเสียง “อืม” เบาๆ ด้วยท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ทั้งคู่จัดการอาหารเช้าที่เรียบง่ายมื้อนี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นอวี่ฉีก็หาถุงกระดาษมาใส่ยาเม็ดกับยาแคปซูล ก่อนยัดมันใส่ในมือเย่หนานแล้วลากอีกฝ่ายออกจากประตูเพื่อไปขึ้นรถของเธอ
หลังผ่านการขับรถราวยี่สิบนาที อวี่ฉีก็ส่งเขาลงที่ข้างทาง เธอหันหน้าไปยิ้มให้ “อย่าลืมกินยานะ ฉันไปก่อนละ ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉัน”
เย่หนานเองก็ยิ้มส่งให้เช่นกัน “อืม ขับรถดี ๆ นะ” เขาชะงัก สักพักก็เสริมขึ้นอีกประโยค “ห้ามทำโอทีนะ ถ้าเลยหกโมงเย็นแล้วเธอยังไม่มารับฉัน เธอตายแน่”
อวี่ฉีมองเขายิ้ม ๆ โดยไม่ได้ตอบโต้อะไร แล้วขับรถฝุ่นตลบจากไป
[1] 上梁不正下歪หมายถึง หากผู้อาวุโสหรือหัวหน้าทำตัวไม่ดี ลูกน้องหรือผู้เยาว์ก็จะเอาเป็นแบบอย่างและพลอยทำตัวไม่ดีตามไปด้วย
————————-