เย่หนาน 6
ภาพคนในกระจกมองหลังรถที่ยืนอยู่ริมถนนสวมเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่เรียบง่ายสีขาวและกางเกงสแล็กสีดำ ใบหน้าดูสุภาพเรียบร้อยมีการศึกษา รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางของผู้จัดการแซ่เย่คนนี้ช่างตรงกับสำนวนที่ว่า ตัวเป็นคน แต่การกระทำเหมือนสุนัขจริง ๆ
ทั่วทั้งบริษัทต่างรู้ดีว่า เย่หนานนั้นเป็นผู้จัดการทั่วไปแค่ในนาม คนที่ลงแรงทำงานจริงคือรองผู้จัดการที่ดูแลเงินเดือนของคณะกรรมการผู้บริหารต่างหาก คุณชายใหญ่เย่หนานท่านนี้ไม่เคยได้ใบปริญญาด้านธุรกิจมาก่อนด้วยซ้ำ เขาเรียนปริญญาตรีต่อโทสาขาวรรณกรรมสายเดียวมาตลอด ก็เหมือนกับประวัติศาสตร์และปรัชญาที่มีความสุนทรีย์ไม่เข้าพวก ใช้งานจริงในที่นี่ไม่ได้ ไร้ประโยชน์จนสมควรจะไปซื้อคฤหาสน์กลางป่าอยู่อย่างสันโดษ แล้วฝังหัวเอาไว้ในกองกระดาษโบราณนั่นแหละ
ตั้งแต่เข้าทำงานมาจนถึงวันนี้ นอกจากเซ็นเอกสารกับเข้าร่วมงานสำคัญแล้ว งานเดียวที่เขาเคยทำจริง ๆ ก็คือทำให้ที่ปรึกษาตัวเล็ก ๆ อย่างกู้เฟิงได้เลื่อนขั้นกลายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟที่ได้นำทีมใหญ่นั่นเอง
นอกจากนี้เขายังไม่เคยร่วมกลุ่มทำกิจกรรมกับคนอื่นในบริษัทมาก่อน ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ระหว่างเย่หนานที่ทำได้แค่จำชื่อและหน้าตาของพนักงานตำแหน่งสูงของบริษัท กับกู้เฟิงที่เข้ากับคนได้ง่าย เป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมน่าค้นหา มีอารมณ์ขัน อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสนุก แถมยังมีความสามารถในการดึงดูดผู้คนเป็นเลิศ หลังเลิกงานเขามักชวนลูกน้องออกไปกินข้าวร้องเพลงด้วยกัน จนแทบจะกลมกลืนนับถือเป็นพี่เป็นน้องกับพนักงานทั้งหมดไปแล้ว
ด้วยเหตุผลนี้เอง ตอนเช้าตรู่ของวันนี้ เมื่อกู้เฟิงนำการ์ดเชิญมาให้บรรดาเพื่อนร่วมงานอย่างเป็นทางการก่อนจะเข้างาน ทั้งบริษัทจึงคึกคักขึ้นมาราวกับกำลังจัดปาร์ตี้น้ำชา ทุกคนแทบจะผละจากโต๊ะทำงานของตัวเองมารุมล้อมอยู่รอบตัวกู้เฟิงกับหลินเหวินเหวิน ว่าที่สามีภรรยาในอนาคต โดยต่างอวยพรและหยอกล้อคู่รักจนเสียงดังเอะอะกันทั้งกลุ่ม
และเมื่อเย่หนานมาถึง เขาก็เห็นฉากนี้เข้าพอดี
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าผู้จัดการที่ไม่ได้มาทำงานทั้งวันอย่างเขากำลังยืนอยู่ตรงประตู ทุกคนยังคงส่งเสียงดังครื้นเครงกันต่อไป ทำให้ประตูตรงที่เขายืนอยู่นั้นยิ่งอ้างว้างมากขึ้น
เย่หนานไม่ได้ก้าวเข้าไป เขายืนอยู่ไกล ๆ ดูคนคู่นั้นที่กำลังยิ้มรับคำอวยพรจากทุกคนเงียบ ๆ
ตอนที่เขาเจอกู้เฟิงครั้งแรก อีกฝ่ายยังเป็นแค่นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ สดใสไม่ต่างจากแสงตะวัน แถมยังค่อนข้างขี้อาย ทุกครั้งที่พบหัวหน้าก็จะกล่าวด้วยท่าทางอ่อนโยนแต่หนักแน่นว่า ‘ผมจะตั้งใจทำงานครับ’
ช่างใสซื่อได้อย่างน่ารักน่าชัง
ภายในเวลาสามปีกว่า เย่หนานเห็นเขาก้มหน้าอย่างท้อใจก็แล้ว เคยเห็นท่าทางกระฉับกระเฉงและฮึกเหิมของอีกฝ่ายก็แล้ว เห็นเขาพูดจาฉะฉานต่อหน้าผู้คนและอดหลับอดนอนทำงานล่วงเวลาในตอนที่ไม่มีใครเห็นก็แล้ว อีกทั้งยังจำท่าทางยิ้มกว้างด้วยความดีใจและมีความสุขของเขาได้ และไม่เคยลืมสีหน้าเคร่งขรึมตอนอีกฝ่ายมาพิงบ่าตนเมื่อโพรเจกต์ล้มเหลวจนรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์นั้น เขาเฝ้ามองชายหนุ่มคนนี้เติบโตขึ้นในแต่ละวันแต่ละปีจนกระทั่งกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวที่สามารถเผชิญโลกเพียงลำพังได้สำเร็จ
เจ้านายกับลูกน้อง ผู้ชายกับผู้ชาย สถานะที่น่าอึดอัดแบบนี้ คนส่วนใหญ่มักจะรับไม่ได้หากพวกเขาต้องการอยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังยืนหยัดมาได้ถึงสามปีแล้ว กู้เฟิงเป็นคนรักที่ดีคนหนึ่ง เขาอายุน้อย หน้าตาดี อ่อนโยนและเอาใจใส่ เป็นคนมีเสน่ห์ ทั้งยังมีอารมณ์ขัน อยู่กับคนแบบนี้จะไม่ให้หวั่นไหวก็คงเป็นไปไม่ได้ เย่หนานเองจึงถลำลึกเข้าไปในห้วงความรู้สึกนี้โดยไม่รู้ตัว
เมื่อเดินมาถึงจุดที่เขาไม่สามารถปล่อยวางความรู้สึกนี้ลงได้ กู้เฟิงกลับตัดสินใจจะใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปด้วยการแต่งภรรยาและมีลูก โดยไม่ลังเลที่จะเลือกตัดความสัมพันธ์อย่างหนักแน่นมั่นคง ความเด็ดขาดที่เย่หนานเคยชื่นชมที่สุดในวันวานนั้น ได้กลับกลายมาเป็นความโหดร้ายในวันนี้แทน
ความจริงเขารู้ดีว่ากู้เฟิงต้องจากตัวเองไปสักวัน เพียงแต่พยายามจะไม่ไปคิดถึงมันเท่านั้น และเมื่อรอจนกระทั่งวันนี้มาถึงจริง ๆ แม้ในแง่ของความรู้สึกจะยอมรับไม่ได้อย่างไรก็ตาม แต่ในด้านเหตุผล เขากลับเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร ต่อให้จะทุ่มเทกำลังไปแย่งกลับมาตามที่อวี่ฉีบอก แต่ข้อความที่เขาส่งไปเมื่อคืนกลับแลกมาด้วยคำปฏิเสธที่หนักแน่นยิ่งกว่าเดิม แถมเช้านี้พอลากสังขารที่ป่วยมาทำงาน กลับต้องมาเห็นฉากนี้เข้าอีก…นั่นสินะ อย่างที่คิดเอาไว้เลย เขาไม่เหลือความหวังอีกต่อไปแล้ว
เย่หนานพยายามควบคุมตัวเองแล้ว แต่ก็มิอาจเก็บสีหน้าได้อยู่ดี ตอนนี้หน้าของเขาจึงดูไม่ได้สุด ๆ ชายหนุ่มไม่กล้ามองต่ออีก ได้แต่ก้มลงลูบปลายจมูกเพื่อปิดบังความรู้สึก แล้วเดินไปยังห้องผู้จัดการอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้คน
แต่ไม่ว่าจะพยายามหลบไปให้ไกลแค่ไหน ก็ยังหนีความอึดอัดไม่พ้นอยู่ดี
มีพนักงานหูตาไวคนหนึ่งเหลือบเห็นเขา จึงร้องทักด้วยความกระตือรือร้นมาแต่ไกลว่า “สวัสดีครับผู้จัดการ!”
เสียงทักทายนี้เหมือนกับการโยนหินลงไปในทะเลสาบที่นิ่งสงบ พริบตาเดียวก็ทำให้เกิดเสียงทักทายตามมาชุดใหญ่
เย่หนานจำต้องหยุดฝีเท้า ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม เสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็ฝืนยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างยากลำบาก ก่อนหันหน้าไปผงกหัวให้พนักงานในเชิงตอบรับด้วยรอยยิ้มที่หลอกทั้งตัวเองและคนอื่น
การหันไปนี้ทำให้เขาประสานสายตากับกู้เฟิงที่มองมาพอดี ทั้งยังมองเห็นความเสียใจและความรู้สึกทนไม่ได้ที่ปกปิดเอาไว้เป็นอย่างดีในแววตานั้นด้วย
เย่หนานมองดวงตาแสนคุ้นเคยคู่นั้นโดยมีกลุ่มคนที่คึกคักคั่นกลางเอาไว้ พลันก็รู้สึกว่าลำคอของตัวเองตีบตันไปหมด
ตอนนี้เขาคือแฟนของคนอื่น ยืนส่งยิ้มอยู่ข้างกายคนอื่น อีกไม่นานหลังจากนี้ก็จะกุมมือผู้หญิงคนนั้น พาเธอก้าวเข้าไปในโถงแต่งงานทีละก้าว มีลูกสาวลูกชาย กุมมือกันไปจนแก่เฒ่า เขาจะเป็นสามีที่อ่อนโยนและดูแลเอาใจใส่ เป็นพ่อที่น่าเคารพนับถือ เขาจะมีครอบครัวสุขสันต์ เพียงแต่ความสุขนั้นดันไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับตนทั้งนั้น
พนักงานคนหนึ่งที่ปกติก็มักจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษฉวยโอกาสถามขึ้นมา “วันแต่งงานของผู้อำนวยการกู้กับที่ปรึกษาหลิน คุณผู้จัดการก็จะไปร่วมงานใช่ไหมครับ?”
ในสายตาของทุกคน กู้เฟิงคือคนที่เย่หนานผลักดันขึ้นมากับมือ แม้ว่าปกติแล้วคนทั้งสองจะไม่ค่อยได้พูดคุยกันในบริษัท แต่มาลองคิดดูแล้ว ความสัมพันธ์ก็ไม่น่าจะแย่ ดังนั้นพนักงานคนนี้ถึงได้กล้าถามออกมาตามปกติ
เย่หนานอ้าปาก แต่กลับพบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออกสักคำ ทำได้แค่พยักหน้าอย่างขอไปที เขาหันขวับก้าวเร็ว ๆ เข้าไปในห้องทำงาน แล้วปิดประตูลงอย่างลน ๆ สกัดกั้นเสียงดังเซ็งแซ่ครื้นเครงทั้งหมดไว้ด้านนอกประตู
ห้องทำงานของผู้จัดการกั้นเสียงได้ดีมาก ทันทีที่ประตูปิดลง ด้านในและด้านนอกก็ราวกับเป็นโลกคนละใบ ไม่มีเสียงความวุ่นวายใด ๆ เล็ดลอดเข้ามาอีก แต่มันทำให้ห้องอันว่างเปล่านี้เงียบสงัดไม่ต่างจากสุสาน
เย่หนานนั่งลงที่หน้าโต๊ะทำงานอย่างอ่อนล้า ขยับมือข้างหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ส่วนอีกข้างยกขึ้นกุมหน้าผาก แล้วค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองสงบลงได้บ้างเล็กน้อย ทว่าโทรศัพท์มือถือที่หล่นอยู่บนโต๊ะเมื่อครู่กลับสั่นขึ้นมา
เย่หนานนวดขมับอย่างอ่อนล้า ยืดตัวขึ้นมาพร้อมกับปัดหน้าจอมือถือ
เป็นข้อความเข้าใหม่ ชื่อของคนที่ส่งมาก็คือ ‘ยัยตัวแสบ’
กู้เฟิงชอบใช้วีแชทส่งข้อความเสียงเพราะมันทั้งถูกและสะดวกรวดเร็ว แต่เย่หนานกับหยางอวี่ฉียังคงชอบส่ง SMS อยู่ เหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะรู้สึกว่ามันมั่นคงและไม่วุ่นวายดี อีกส่วนหนึ่งคือพวกเขาเป็นคนที่ไม่ใส่ใจเรื่องเงินทองเหมือนกัน กับอีแค่ค่าส่ง SMS ครั้งละหนึ่งเหมา พวกเขาไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก
เย่หนานขยับนิ้วแตะเปิดข้อความอ่านอย่างจนใจ ‘หยิบยาในถุงกระดาษออกมาตอนนี้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย อย่าผัดเวลาคิดว่าอีกเดี๋ยวค่อยกิน ไม่งั้นนายต้องลืมกินแน่ ๆ’
เย่หนานส่ายหน้าเบา ๆ แต่ก็ยอมให้เลขานุการรินน้ำอุ่นแก้วหนึ่งเข้ามาให้ แล้วฉวยถุงกระดาษนั้นขึ้นเพื่อหยิบยาด้านในออกมากินทีละเม็ด
เลขานุการวางแก้วน้ำลงแล้วก็ไม่ได้จากไปทันที เธอยิ้มตาหยีพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “คืนนี้ผู้อำนวยการกู้เชิญทุกคนไปกินข้าวแล้วก็ร้องคาราโอเกะฉลองกัน ทุกคนให้ฉันเข้ามาถามว่าผู้จัดการเย่จะไปด้วยกันไหมคะ”
อารมณ์ที่เพิ่งจะดีขึ้นมาเล็กน้อยของเย่หนานพลันดิ่งลงเหวอีกครั้ง นิ้วเรียวยาวบีบแก้วแน่นขึ้น จากนั้นจึงเงยหน้าช้า ๆ ยิ้มบางเบาโดยกดเก็บอารมณ์ไว้ในอก พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองสงบนิ่งและผ่อนคลายที่สุด “ผมคงไม่ไปหรอก พวกคุณไปสนุกกันเถอะ”
เลขานุการพลันชะงัก แล้วเอ่ยแซวว่า “ผู้จัดการเย่นัดเดตกับแฟนเอาไว้ใช่ไหมคะ?”
เย่หนานกำลังจะปฏิเสธไปโดยไม่ต้องคิด แต่จู่ ๆ กลับระลึกขึ้นมาได้ว่าไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอีกแล้วนี่นะ เพราะต่อให้กู้เฟิงได้ยินก็คงไม่ใส่ใจ
เขาก้มหน้าลงนิ่งเงียบ คิดถึงประโยคที่เธอพูดไว้เมื่อคืนขึ้นมาได้ ‘วันต่อมาก็ลากหนุ่มสักคนที่หล่อกว่าเขา นิสัยดีกว่าเขา มีดีกว่าเขา และตัวสูงกว่าเขา ไปเดินสวีตผ่านหน้าเขาสักสามสิบรอบ!****’
ตอนนั้นที่ได้ยินอวี่ฉีพูด เขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางทำเรื่องพรรค์นั้นแน่ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าถ้าทำตามที่เธอบอก บางทีอาจไม่ต้องรู้สึกทรมานใจแบบตอนนี้อีกก็ได้ ภายใต้อารมณ์หลากหลายที่ซับซ้อน เย่หนานได้ยินเสียงตัวเองดังขึ้นในห้องทำงาน มันสงบเยือกเย็นราวกับพูดเรื่องทั่วไปไม่มีอะไรเป็นพิเศษ “ไม่ใช่แฟนหรอก เป็นคู่หมั้นน่ะ”
สิ้นเสียง เลขานุการก็อึ้งไปทันที
เรื่องที่เขาหมั้นกับหยางอวี่ฉีเป็นเรื่องเมื่อหลายปีที่แล้ว และเขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อน ดังนั้นพวกพนักงานจึงเข้าใจว่าเขาโสดมาโดยตลอด ไม่มีแม้แต่แฟนสาวสักคน ทว่าใครเล่าจะรู้ว่าผู้จัดการที่โสดมาหลายปี อยู่ดี ๆ ก็ดันมีคู่หมั้นโผล่ออกมา จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกัน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่พอได้ปล่อยข่าวนี้ออกไปแล้วเย่หนานก็รู้สึกสุขใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กน้อย มองไปทางเลขานุการสาว “ทำไม ไม่เชื่อเหรอ?”
“เปล่าค่ะ เปล่า” เลขานุการรีบร้อนปฏิเสธ เธอเงียบไปครู่หนึ่งก็อดถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ไม่ได้ “คู่หมั้นของผู้จัดการเย่จะต้องเป็นคนที่โดดเด่นเหมาะสมกับคุณมากแน่เลยใช่ไหมคะ?”
เย่หนานชะงักไป จากนั้นก็ยิ้มน้อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “เธอเป็นคนที่เจ๋งมาก ทั้งสวยทั้งมีความสามารถ พวกเราถือว่าโตมาด้วยกันเลยละ” ระหว่างพูดเขาก็มองดูถุงกระดาษที่อยู่ข้างมือ น้ำเสียงที่ใช้จึงเริ่มฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ “บางครั้งก็รู้สึกว่ายัยตัวแสบคนนี้ปากเสียเกินไปจริง ๆ แต่บางทีเธอกลับทำให้รู้สึกว่า…” เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก “อยู่ด้วยแล้วสบายใจมาก ๆ ละมั้ง”
“คนเรารักกันก็ต้องปะทะฝีปากกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา คู่ที่รักกันดีก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ” เลขานุการกล่าวพร้อมกับยิ้มจนตาหยี “ผู้จัดการเย่โชคดีจังนะคะ”
เย่หนานก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน พลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
คำพูดพวกนั้นเมื่อครู่มีส่วนหนึ่งที่ปั้นแต่งขึ้นมา แต่อีกส่วนหนึ่งก็ออกมาจากใจจริง ๆ
เขาอยู่กับกู้เฟิงมาสามปี แต่กับหยางอวี่ฉีนั้นได้เจอกันครั้งแรกตอนอายุสามขวบ จากนั้นก็ทะเลาะเล่นหัวโตมาด้วยกัน เธอเคยแย่งของของเขาไป แต่ก็เคยทะเลาะกับคนอื่นเพื่อเขา เคยโดดเรียนไปทำเรื่องเกเรเล่นพิเรนทร์ด้วยกัน และเคยปลอบประโลมให้กำลังใจกันในยามที่โศกเศร้าอ่อนแอ
พูดได้เลยว่าตั้งแต่ตัวเขาจำความได้ ผู้หญิงที่ชื่อหยางอวี่ฉีคนนี้ก็ยึดครองส่วนหนึ่งในความทรงจำของเขาไปไม่น้อย
เขามองดูเธอตั้งแต่เป็นแค่ยัยตัวแสบที่ซนเหมือนลูกลิงจนกระทั่งเติบโตเป็น ‘นางฟ้า’ จากปากคนนอก ได้เห็นเธอตั้งแต่ตอนเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่กอดเข่าร้องไห้ด้วยความน้อยใจจนเติบโตมาเป็นสาวสตรองในปัจจุบัน ที่ต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมาก็ยังสามารถใส่รองเท้าส้นสูงสิบเซนติเมตรแล้วกัดฟันต้านทานมันเอาไว้ได้อยู่ดี
เธอคือเด็กผู้หญิงที่เคยบอกเขาสมัยอยู่ชั้นอนุบาลว่า ‘ต่อไปนี้ฉันจะปกป้องนายเอง’ ตั้งแต่ชั้นประถมมาจนถึงเรียนมหาวิทยาลัยก็ช่วยเขาทำการบ้านมาโดยตลอด เป็นผู้หญิงที่กุมมือเขาเมื่อคืนนี้แล้วเอ่ยขึ้นว่า ‘มีฉันอยู่ตรงนี้นะ’ …ตอนนี้มานึกย้อนดูแล้ว เขายังติดค้างเธออยู่มากจริง ๆ
กู้เฟิงเลือกที่จะเป็นสามีที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้น บางทีตัวเขาเองก็ควรเริ่มลงมือทำหน้าที่และรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคู่หมั้นแล้วเช่นกัน เพื่อทดแทนสิ่งที่ติดค้างเธอมาตลอดหลายปีนี้
เขาเอาแต่ใจตัวเองมานานยี่สิบกว่าปีแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองต่อไปได้อีก
ชีวิตไม่ได้มีแค่ความรักอย่างเดียว แต่มันยังมีสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ด้วย
เย่หนานไม่รู้ว่าตัวเองผ่านวันที่อึมครึมนี้มาได้อย่างไร ใบหน้าของกู้เฟิงกับหยางอวี่ฉีหมุนเวียนอยู่ในหัวสมองของเขา ภาพแห่งความดีใจ ขุ่นเคือง โศกเศร้า ความสุข รวมถึงน้ำเสียงกับสีหน้าตอนยิ้มปรากฏขึ้นมาทีละภาพ สดใหม่กระจ่างชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
จนกระทั่งอวี่ฉีโทรมาบอกว่าอยู่ชั้นล่างแล้ว เขาถึงหลุดจากภวังค์ หยิบถุงกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาแล้วรีบเดินออกไปนอกประตู
เพียงแต่เมื่อผลักประตูเปิดออก เย่หนานก็อึ้งไป
ทั้งที่เลยเวลาเลิกงานไปแล้ว ทว่าคนส่วนใหญ่ต่างยังไม่ได้รีบร้อนกลับ พวกเขากำลังยืนออกันเป็นกลุ่มส่งเสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวเบียดกันอยู่ตรงประตู ต่างกำลังถกเถียงกันว่าคืนนี้จะไปร้องเพลงที่ไหนกันดี
เย่หนานยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอยกลับเข้าไปในห้องทำงาน ปิดประตูลงพูดกับอวี่ฉีที่อยู่ในสายว่า “ฉันยังมีงานที่ยังทำไม่เสร็จอีกนิดหน่อย เธอจะขึ้นมาข้างบนก่อนไหม?”
เย่หนานรู้สึกโชคดีที่อวี่ฉีไม่เคืองตน แถมยังตอบรับอย่างแฮปปี้ เขาจึงถอนหายใจโล่งอก โดยไม่รู้ว่าที่จริงแล้วอวี่ฉีไปทำงานแค่ครึ่งวันเช้าเท่านั้น ส่วนช่วงบ่ายเธอลางานทั้งหมด
หากยึดตามความคืบหน้าของเส้นเรื่องโดยทั่วไปแล้ว อวี่ฉีคาดเดาไว้ว่าเย่หนานอาจเกิดความคิดที่จะ ‘พาแฟนสาวมาควงอวดยั่วโมโหต่อหน้า’ ขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นเธอจึงลางานแล้วตั้งใจใช้เวลาครึ่งวันกลับไปเตรียมตัวที่บ้านโดยเฉพาะ และรอที่จะใช้โอกาสนี้ทำหน้าที่เป็นสาวสวยสุดเพอร์เฟกต์ทวงจุดยืนคืนแทนเย่หนาน
ถึงแม้ว่าบ้านตระกูลหยางจะไม่ได้ทำธุรกิจการค้าเหมือนบ้านตระกูลเย่ แต่พ่อและแม่ของเธอต่างเป็นข้าราชการตำแหน่งใหญ่โตทั้งคู่ ทรัพย์สินในครอบครัวจึงมีไม่น้อย การจะปรากฏตัวและสร้างจุดยืนต่อหน้ากลุ่มพนักงานบริษัทตัวน้อยที่ไม่เคยมีประสบการณ์พบคนใหญ่คนโตมาก่อน จึงยังถือว่าเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
ถึงแม้ว่ากระเป๋าและเสื้อผ้าของเธอจะไม่ได้มีราคาสูงไปเสียทุกชิ้น แต่ปกติหยางอวี่ฉีก็ซื้อของหรูหราเอาไว้ไม่น้อย เมื่อกลับไปลองค้นดูที่บ้านเธอจึงเจอตัวที่ใช้ได้หลายตัวทีเดียว อวี่ฉีตัดสินใจเลือกตัวที่ดูหรูหราและระยิบระยับทิ่มตาคนที่สุดออกมาสองสามชิ้นแล้วจัดให้เข้าชุดกันแบบง่าย ๆ ปิดท้ายด้วยแต่งหน้าอย่างประณีต เท่านี้ก็พอใช้ได้แล้ว
อวี่ฉีย่อมเข้าใจดีว่าพวกคนรวยกับตระกูลผู้ดีที่แท้จริงจะไม่ห้อยของหรูหราฟุ่มเฟือยขนาดนี้เอาไว้บนตัว พวกผู้ดีนั้นมีตำแหน่งและสถานะที่เพียงพอแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องโอ้อวดอีก พวกเขามักจะซื้อเสื้อผ้าที่ใส่สบายเป็นหลัก จนบางครั้งมองไม่ออกเลยว่าเป็นของแบรนด์เนมที่ความจริงแล้วมีราคาถึงขั้นทำให้คนตกใจจนกัดลิ้นตายได้
แต่ในเมื่อจุดประสงค์ที่จะเอาไปใช้ไม่เหมือนกัน วิธีการก็ย่อมต้องแตกต่างกันด้วย
การจะจัดการคนธรรมดาทั่วไปนั้นไม่สามารถใส่พวกของเรียบหรูที่มองไม่ออกว่าราคาแพงได้ ดังนั้นอวี่ฉีจึงเลือกใช้วิธีเบสิกไร้รสนิยมสุด ๆ แบบนี้แทน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อภารกิจมันบังคับนี่นา
ใส่ของหรูหราเต็มตัว จะให้ไปขับรถยี่ห้อบ้าน ๆ คันเดิมก็คงไม่เหมาะ หลังแต่งหน้าเสร็จอวี่ฉีจึงขับรถตรงไปหาเพื่อนสาวซึ่งเป็นเศรษฐีใหม่คนหนึ่ง แล้วใช้เหตุผลว่า ‘จีบผู้ชายต้องใช้รถหรู’ ยืมรถสปอร์ตคันหนึ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งซื้อมา แล้วขับตรงไปถึงใต้ตึกบริษัทของเย่หนาน
——————————————————————————–