เฉินมู่ไป๋1
เมื่อลืมตาขึ้นมา เธอก็อยู่ในห้องของท่านหญิงห้องหนึ่งที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามเจริญตา ผสานกับควันจาง ๆ ที่ลอยอ้อยอิ่งอย่างเงียบเชียบเหนือกระถางธูปหัวสัตว์
ทั้งที่อยู่ในช่วงฤดูร้อน แต่ประตูหน้าต่างของห้องนอนนี้กลับปิดสนิททุกบาน จึงระบายไอร้อนออกไปไม่ได้ ลมเย็นด้านนอกก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน พานทำให้คนที่อยู่ด้านในรู้สึกแน่นหน้าอกไปหมด
อวี่ฉีแหงนหน้ามองคานห้องอยู่นานมาก แต่กลับไม่เห็นแม้แต่ครึ่งเงาคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองครักษ์เงาอะไรนั่นเลย
ใช่แล้ว…เป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้ของเธอก็คือ องครักษ์เงา ที่ปกติไม่ว่าอยู่ในนิยายเรื่องไหนก็มักจะถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังและปรากฏตัวให้เห็นได้บ่อย ๆ ในนิยายที่ผู้หญิงมีฐานะสูงส่งกว่าผู้ชาย
ร่างกายที่เธอสวมบทบาทอยู่ในตอนนี้มีแซ่เฉิน เป็นบุตรสาวของเฉินเซียง อัครมหาเสนาบดีที่มีอำนาจค้ำฟ้าในราชวงศ์ปัจจุบัน หรือถ้าพูดให้ชัดกว่านี้อีกสักนิด บิดาของร่างนี้ก็คือขบถตัวร้ายผู้วางแผนจะช่วงชิงบัลลังก์มาเนิ่นนาน เฉินอวี่ฉีที่เป็นบุตรสาวจึงถูกวางบทบาทให้เป็นหนึ่งในตัวร้ายไปโดยปริยาย
แล้วตอนนี้เฉินเซียงเริ่มแผนการก่อการกบฏถึงขั้นไหนแล้วน่ะหรือ?
เขาในตอนนี้ยังไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสีขุนนางผู้จงรักภักดี ยังไม่ได้ฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือกระทั่งสมคบคิดกระทำเรื่องชั่วช้าเพื่อต้องการช่วงชิงบัลลังก์แต่อย่างใด ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงร่างแผนการเท่านั้น กระนั้น ต่อให้ยังไม่ทันเริ่มชิงบัลลังก์ ความผิดนี้ก็มากพอที่จะถูกลากตัวไปตัดหัวที่ลานประหารอยู่ดี
ในขณะที่เฉินเซียงเดินทำตัวกร่างราวกับปูนั้น คนผู้เดียวที่กล้าท้าทายตัวร้ายหลักอย่างเขาก็คือแม่ทัพเซียวชิงผู้มีอำนาจในแดนเหนือ พระเอกในนิยายต้นฉบับนั่นเอง บุคลิกของเซียวชิงนั้นราวกับถอดแบบมาจากผู้บัญชาการระดับสูงผู้จงรักภักดีในอุดมคติ เขาเข้าใจเพียงการซื่อสัตย์ภักดีต่อกษัตริย์และชาติบ้านเมือง ไม่มีความคิดที่จะก้มหัวให้แก่ผู้ทรงอำนาจอื่นเลยแม้แต่น้อย
ส่วนเฉินเซียงนั้น ถึงแม้เขาจะห่มหนังของตัวร้ายเอาไว้ แต่กลับไม่ได้เป็นคนอำมหิตหรือเก่งกาจเจ้าเล่ห์เพทุบายแต่อย่างใด ความจริงแล้วหัวสมองของเขาไม่ค่อยมีไหวพริบเท่าไรนัก ในขณะที่เซียวชิงไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งและคอยขัดแข้งขัดขาจนน่าหงุดหงิดนั้น เขาถึงกับต้องใช้เวลาตั้งหลายปีดีดักกว่าจะคิดแผนร้ายเอาคืนออก
ทว่าแผนที่คิดได้กลับเป็นเพียงการส่งบุตรีคนเดียวของตนไปตบแต่งกับอีกฝ่าย เพื่อหวังที่จะให้เด็กหนุ่มที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับตนกลายมาเป็นลูกเขย และหลังจากนั้นจะได้ดึงอำนาจทหารทางเหนือที่อีกฝ่ายควบคุมมาอยู่ในกำมือตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จ
แน่นอนว่าพระเอกเซียวชิงไม่มีทางยอม เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้ตกหลุมรักนางเอกที่แฝงตัวเป็นชายลอบเข้ามาในกองทหารมาสักพักใหญ่แล้ว ไหนเลยจะอยากสู่ขอบุตรสาวขุนนางขบถมาตบแต่งเป็นภรรยาได้อีก? แต่ถึงแม่ทัพหนุ่มผู้นี้จะไม่ยินยอมอย่างไรเขาก็ไม่อาจฝืนประกาศิตของเฉินเซียงได้ เป็ดแมนดาริน[1] ที่น่าสงสารคู่นี้จึงถูกบังคับให้แยกจากอย่างโหดร้าย จวบจนหลังเฉินเซียงก่อการกบฏ เซียวชิงจึงยกทัพเข้าเมืองหลวงมากวาดล้าง และอาศัยโอกาสนี้สลัดภรรยาที่ชังน้ำหน้ากันได้อย่างไม่เป็นที่ครหา และตบแต่งนางเอกเป็นภรรยาแทน
ส่วนเรื่องที่ว่าบุตรสาวคนเดียวของอัครมหาเสนาบดีมีองครักษ์เงามาคุ้มครองส่วนตัวได้อย่างไร? ความจริงแล้วนี่เป็นการตัดสินใจแบบกะทันหันของบิดาที่ชอบทำอะไรส่งเดชอย่างเฉินเซียงเพียงเท่านั้น
ในฐานะที่เขาเป็นขุนนางกบฏผู้ถูกชิงชังมากที่สุดของราชวงศ์ปัจจุบัน ในหนึ่งปีเฉินเซียงโดนไล่ล่าหมายเอาชีวิตจากเหล่าผู้จงรักภักดีต่อบ้านเมืองและแผ่นดินจนเหนื่อยล้าสายตัวแทบขาด สมาชิกที่มีตำแหน่งสำคัญมากมายในตระกูลเฉินบ้างถูกจับมัด บ้างถูกเข่นฆ่าจนตกตาย เฉินเซียงถูกผู้คนจากหลายฝ่ายรุมล้อมหวังลอบสังหารไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดเขาก็ไม่ทนอีกต่อไป
หลังจากนั้นเฉินเซียงก็ได้ทุ่มเทเวลาหลายปีในการฝึกฝนองครักษ์เงาจำนวนมาก และส่งองครักษ์เหล่านี้ให้แก่ฮูหยินเอก อนุภรรยา และบุตรธิดาที่ถือกำเนิดจากฮูหยินเอกอย่างละหนึ่งคน เพื่อคุ้มครองพวกเขาตลอดสิบสองชั่วยามได้สำเร็จ
ตอนนี้เนื้อเรื่องได้ดำเนินมาถึงฉากที่เฉินเซียงบีบบังคับให้เซียวชิงจำต้องมาสู่ขอบุตรสาวของตนเองแล้ว ทว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่แค่เซียวชิงเท่านั้นที่ไม่ยินยอม กระทั่งคุณหนูใหญ่สกุลเฉินเองก็คัดค้านหัวชนฝาเช่นกัน ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมตบแต่งกับแม่ทัพที่ทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อและในหัวมีแต่เรื่องตีรันฟันแทงโดยเด็ดขาด
ถึงแม้เฉินเซียงจะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่เขาก็ยังสรรหาวิธีสั่งสอนบุตรสาวของตนได้อยู่ดี ทั้งยังเป็นวิธีที่เรียกได้ว่าหยาบช้าเสียด้วย
นั่นก็คือ หากเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็จะขังเจ้าไว้จนกว่าเจ้าจะจำยอมเอง
สาวใช้ประจำตัวทุกคนถูกไล่ออกจากห้อง ข้าวของจำเป็นต่าง ๆ ถูกริบไปหมดสิ้น กระทั่งอาหารเลิศรสที่เคยได้ลิ้มลองก็ยังถูกสับเปลี่ยนเป็นเพียงข้าวต้มกับหมั่นโถวเพื่อประทังชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น
นอกจากประตูหน้าต่างที่ล้วนปิดสนิทแล้ว ยังมีผู้คุมร่างกำยำหลายคนคอยยืนเฝ้าประจำตามจุดต่าง ๆ อีก เรียกได้ว่าต่อให้อยากจะหนีงานแต่งหรือหนีตามคนรักสักเพียงไหน ก็ไม่เหลือทางให้หลุดรอดเลยแม้แต่ทางเดียว
หากอวี่ฉีไม่ได้มาที่นี่และรับช่วงต่อจากเจ้าของร่างนี้พอดี บางทีคุณหนูใหญ่สกุลเฉินอาจจะยืนหยัดอดทนต่อไปได้อีกไม่กี่วัน และยอมจำนนแก่บิดาในท้ายที่สุดก็เป็นได้
อวี่ฉีมาถึงโลกนี้ได้สองชั่วยามแล้ว มองหาอยู่นานก็ยังไม่พบองครักษ์เงาในตำนาน ‘เฉินมู่ไป๋’ ของคุณหนูใหญ่เฉินเสียที
‘มู่ไป๋’ เป็นชื่อที่คุณหนูเฉินคนเก่าเป็นผู้ตั้งให้ ชื่อเดิมของเขาคือหมายเลขเก้า ซึ่งเป็นเพียงชื่อที่ใช้ระบุตัวเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายแฝงใด ๆ
หากอิงตามต้นฉบับนิยาย นิสัยเฉินมู่ไป๋นั้นก็สมกับที่ถูกเฉินเซียงฝึกมาจริง ๆ นอกจากจะไม่ละเอียดอ่อนพอ ๆ กันแล้ว ก็ดีแต่ใช้กำลังจนพานทำให้ลูกน้องของพระเอกตีตัวออกห่างเพื่อเอาตัวรอด ไม่รู้จักใช้สมองเช่นเดียวกับเฉินเซียงผู้เป็นนายใหญ่ราวกับแกะ วัน ๆ ได้แต่ทำตามคำสั่งของคุณหนูเฉินที่มีใจมุ่งร้ายตลอดเวลา ยังดีที่มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี แต่กลับไม่รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์โดยสิ้นเชิง
หน้าที่ของอวี่ฉีในครั้งนี้คือการไม่ไปสร้างปัญหาให้กับคู่พระ-นาง ปล่อยให้พวกเขาสองคนรับรู้ถึงตัวตนของกันและกันเอาเอง แล้วถือโอกาสทำให้องครักษ์เงาแสนหัวแข็งคนนี้ชอบเธอให้ได้
คิดมาถึงตรงนี้ เธอก็ทำคอให้โล่ง ก่อนจะร้องเรียกเสียงต่ำ “เฉินมู่ไป๋”
สิ้นเสียงได้ไม่ทันไรก็มีเงาดำหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าไป พริบตาต่อมาก็ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเธออย่างเงียบงัน
คนตรงหน้าเธอเป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี ผิวคล้ำเล็กน้อย หน้าตาไม่ถือว่าหล่อเหลา อย่างมากที่สุดก็จัดได้เพียงน่ามองเท่านั้น ทว่าเด็กคนนี้กลับมีดวงตาที่ชวนให้ผู้พบเห็นยากจะลืมเลือน นัยน์ตาสีดำคู่นั้นดูเข้มกว่าคนทั่วไป ดำสนิทราวกับบึงน้ำหมึกข้นคลั่ก กอปรกับขนตาหนาที่งอนยาวโดยธรรมชาติแล้ว ก็ยิ่งทำให้ดวงตาคู่นั้นดูลึกล้ำขึ้นไปอีก
อวี่ฉีที่นั่งอยู่บนเตียงเบนหน้ามองประเมินองครักษ์ของตนเองเงียบ ๆ อีกฝ่ายอยู่ในชุดสีดำเรียบง่าย ผูกผ้ารัดเอวแน่นหนาจนเผยให้เห็นเอวสอบสมวัย เรือนผมยาวสีดำสนิทถูกรวบสูงและมัดด้วยเชือกรัดผมสีดำอย่างเรียบร้อย ดูน่ามองสะอาดตา ทั้งยังให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉง ไม่ต่างอะไรกับคมกระบี่ที่ถูกชักออกมาจากฝัก
อาจเป็นเพราะถูกจับจ้องนานเกินไป เฉินมู่ไป๋ที่แต่เดิมก้มศีรษะอยู่แล้วจึงกดศีรษะตนเองให้ต่ำลงยิ่งขึ้น จนแทบจะซุกใบหน้าเข้ากับทรวงอกอยู่รอมร่อ
อวี่ฉีอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ใช่ว่าจะเคยพบข้าครั้งแรกเสียหน่อย เหตุใดเจ้าต้องทำท่าทางเคร่งเครียดเช่นนี้เล่า?”
หลังพูดหยอกล้อออกไปแล้ว อวี่ฉีก็รู้สึกว่าไม่น่าพูดยังจะดีเสียกว่า เพราะตอนนี้มันทำให้เฉินมู่ไป๋ผู้ไม่เคยถูกใครเย้าแหย่มาก่อนยิ่งกดศีรษะต่ำลงไปอีกขั้น จนเหลือไว้เพียงกลุ่มผมสีดำสนิทด้านหลังศีรษะให้เธอเห็นเท่านั้น
คุณหนูเฉินคนเดิมนับเป็นเจ้านายที่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง แม้จะไม่ได้มีไหวพริบมากเท่าไร ทว่าก็รู้จักตีสองหน้าใช้มารยาตบตาเป็น เพียงแต่ในนิยายต้นฉบับ การเสแสร้งของเธอล้วนมีใว้สำหรับสร้างปัญหาให้แก่แม่ทัพเซียวเท่านั้น ไม่มีเวลามาให้ความสนใจองครักษ์เงาข้างกายที่ทั้งเงียบขรึมและน่าเบื่อผู้นี้แม้แต่น้อย
อวี่ฉีมองเฉินมู่ไป๋อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระตุกมุมปากขึ้นมา “เลิกนั่งทึ่มทื่อแล้วไปรินน้ำให้ข้าซะ”
หลังรับคำสั่ง องครักษ์หนุ่มก็คล้ายจะถอนหายใจโล่งอกแล้วรีบลุกพรวดหันตัวไปรินน้ำชาเย็นชืดถ้วยหนึ่งแล้วยกเดินมาหาเธอทันที เขาขยับแขนแข็งทื่อตั้งตรงยื่นถ้วยชามาเบื้องหน้าผู้เป็นนาย พร้อมกล่าวเสียงทุ้มต่ำไร้อารมณ์ความรู้สึกใด ๆ อย่างกับผีดิบอายุแปดร้อยปีไม่มีผิด “น้ำ คุณหนู”
มิน่าเล่า คุณหนูใหญ่แห่งสกุลเฉินคนเดิมถึงไม่ชอบองครักษ์เงาผู้นี้ เก็บตัว เงียบขรึม ไม่ยอมพูดยอมจาก็แย่แล้ว นี่กระทั่งรินน้ำสักถ้วยยังเป็นขนาดนี้ หากได้รับความโปรดปรานสิถึงจะแปลก
อวี่ฉีลอบส่ายหน้าอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ายามจ้องมองเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ เช่นเดิม “เจ้ายืนไกลถึงเพียงนั้น ต้องการให้ข้าลุกขึ้นไปรับเองงั้นหรือ?”
ทันใดนั้นเฉินมู่ไป๋ก็รีบขยับขาไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างหวาดหวั่น ท่าทางราวกับหนุ่มน้อยแสนบริสุทธิ์ที่จำต้องเข้าใกล้ปีศาจเฒ่าอายุพันปี เขายื่นน้ำชามาตรงหน้าเธอ ก่อนจะกล่าวประโยคเดิมซ้ำอีกรอบโดยไม่ผ่านสมองว่า “น้ำ คุณหนู”
ณ เวลานี้ อวี่ฉีขัดหน้าตัวเองจนหนาขั้นสุดพร้อมรับมือแล้ว เธอโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างไร้ซึ่งความเอียงอายใด ๆ เตรียมจะแตะมืออีกฝ่ายเพื่อจิบน้ำสักอึก
ทว่าดูเหมือนเธอจะประเมินความหน้าบางของเขาต่ำเกินไป เพราะยังไม่ทันที่ริมฝีปากของเธอจะสัมผัสกับขอบถ้วย เฉินมู่ไป๋ก็พลันถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งราวกับเห็นผี มือที่กุมถ้วยชาไว้จึงถูกชักกลับไปในชั่วพริบตาด้วยเช่นกัน
อวี่ฉีเกือบหน้าทิ่มเพราะอีกฝ่ายหดมือกลับกะทันหัน หลังจากยืดตัวกลับมานั่งตรงได้ เธอก็มองเขาอย่างขุ่นเคือง “เจ้าจะถอยไปไกลขนาดนั้นเพื่อสิ่งใด? ท่าทางข้าเหมือนกับจะกินเจ้านักรึ?”
เฉินมู่ไป๋ซื่อสัตย์เกินคาด เด็กหนุ่มก้มหน้าส่ายศีรษะเงียบ ๆ ประหนึ่งว่าเมื่อครู่เขาเข้าใจว่าเธอกำลังถามเขาอยู่จริง ๆ
อวี่ฉีไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เธอไม่รู้จะตำหนิอีกฝ่ายอย่างไรแล้วจริง ๆ จึงได้แต่กดเสียงให้ต่ำลงเพื่อวางมาดคุณหนูใหญ่ “มานี่”
องค์รักษ์หนุ่มไม่กล้าต่อต้าน จึงทำได้เพียงเดินทีละก้าวมาหยุดเบื้องหน้าเธอ สีหน้าของเฉินมู่ไป๋นั้นไร้อารมณ์ ทว่าร่างกายกลับแข็งเกร็งไปทั้งตัวคล้ายกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ก็ไม่ปาน
“ยามที่ปัดป้องคมมีดคมกระบี่ไม่เห็นเจ้าจะกดดันถึงเพียงนี้” อวี่ฉีมองเฉินมู่ไป๋ไม่วางตา ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างจนใจ รับน้ำชาจากมืออีกฝ่ายมาจิบคำหนึ่งด้วยท่าทางสง่างาม ก่อนจะสุ่มหัวข้อถามขึ้นมาว่า “หลายปีมานี้ ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเป็นเช่นไร?”
หากอิงการดำเนินเรื่องในนิยายโดยทั่วไปแล้ว ต่อให้จะจริงหรือเท็จ ยามคนถามคำถามแบบนี้ย่อมต้องได้รับคำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ความเมตตาที่คุณหนูมีต่อข้าน้อยนั้นหนักแน่นดั่งขุนเขา ข้าน้อยนั้นยอมปีนภูเขาใบมีดหรือกระทั่งแหวกว่ายกลางทะเลเพลิงเพื่อคุณหนูได้เสมอขอรับ’ เป็นปกติ
แต่เจ้าก้อนหินอย่างเฉินมู่ไป๋กลับไม่รู้วิธีการพูดจาให้เข้าหูคนเอาเสียเลย หลังจากเขาเงียบไปครู่สั้น ๆ สุดท้ายก็ได้แต่ตอบคำถามเธอออกมาทื่อ ๆ ว่า “ก็พอใช้ได้ขอรับ”
อวี่ฉีถึงกับตะลึงงันไปเลยทีเดียว เธอต้องสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ ถึงจะพอกลืนชาเย็นชืดอึกนั้นลงคอไปได้อย่างยากลำบาก
ถึงแม้ว่าเฉินมู่ไป๋จะเปลี่ยนบทกะทันหัน แต่อวี่ฉีก็ยังต้องดึงดันแสดงต่อไป “ใช่ ถึงจะไม่นับว่าดี แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่ไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ท่านพ่อสั่งงดอาหารข้าจนข้าจะหิวตายอยู่แล้ว เจ้ากับข้านั้นเป็นนายบ่าวกันมาตั้งหลายปี ใจคอเจ้าจะไม่ยอมช่วยข้าสักเรื่องเลยหรือ?”
เจตนาของเธอคือต้องการจะเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายพาตนหนีออกไป แต่ใครจะรู้ว่าเฉินมู่ไป๋กลับไม่เข้าใจความหมายแฝงนัยของเธอเลยแม้แต่เศษเสี้ยว กลับไปให้ความสนใจเพียงคำพูดที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรของเธอแทน
“คุณหนูไม่มีทางหิวตายแน่นอนขอรับ” เขาเอ่ยด้วยแววตาแข็งทื่อดุจไม้กระดาน “อีกเดี๋ยวโจ๊กกับหมั่นโถวจะถูกยกเข้ามาแล้ว”
อวี่ฉีกัดฟัน จ้องเขาเขม็งอยู่นานมากกว่าจะเค้นคำพูดลอดไรฟันออกมาได้ “ข้ากลืนโจ๊กกับหมั่นโถวไม่ลง เข้าใจหรือไม่? ตอนนี้แค่ได้กลิ่นโจ๊ก ข้าก็คลื่นเหียน…นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ?”
เธอเห็นองครักษ์เงาของตนควักเอาบางอย่างที่มีขนาดเท่ากำปั้นออกมา จากนั้นก็ค่อย ๆ แกะกระดาษซับมันที่ห่อสิ่งนั้นไว้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ จนสุดท้ายก็เผยให้เห็นขนมไส้สับปะรดด้านในที่ถูกบี้จนเสียรูปไปแล้ว
เนื่องจากเฉินมู่ไป๋แกะห่อกระดาษได้ค่อนข้างทุลักทุเลจนเผลอทำให้ขนมที่เดิมโดนบี้จนดูไม่ได้อยู่แล้วบุบเพิ่มไปอีกหนึ่งมุม ตอนนี้เขาจึงเอาแต่ก้มศีรษะไม่ยอมมองหน้าเธอสักแวบเดียว
อวี่ฉีจ้องอยู่สักพักก็รับขนมชื้นนั้นมา ก่อนจะมองประเมินเด็กหนุ่มตรงหน้าใหม่อย่างประหลาดใจ “ให้ข้ารึ?”
เฉินมู่ไป๋ผงกหัวไม่พูดไม่จา เขาทำหน้านิ่งมองขนมที่มีสภาพอเนจอนาถจนดูไม่ได้ในมือของเธอ แม้ท่าทางภายนอกจะดูใจเย็น แต่ติ่งหูกลับเจือสีแดงจาง ๆ ที่หากไม่สังเกตก็แทบมองไม่เห็น
“เอ่อ…” อวี่ฉีเริ่มจะตามสถานการณ์ไม่ทันแล้ว เธอจึงทำได้เพียงกล่าวออกไปตามจิตใต้สำนึกว่า “ขอบคุณ”
สิ้นเสียงของเธอ ติ่งหูของเฉินมู่ไป๋ที่เดิมทีแดงอยู่แล้ว ก็ยิ่งแดงจนลามไปทั้งลำคอ เขาถอยเท้าไปด้านหลังก้าวหนึ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก ท่าทางเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับอสูรร้ายอยู่อย่างไรอย่างนั้น
อวี่ฉีจำใจบิขนมเสี้ยวหนึ่งใส่ปาก ก่อนกลอกตาขึ้นมองเขา พลางถามหยั่งเชิงว่า “ขนมนี่ซื้อมาให้ข้าโดยเฉพาะงั้นหรือ?”
แล้วเขาก็พยักหน้าอย่างเหนือความคาดหมาย
อวี่ฉีอึ้งไป จากนั้นก็อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง สถานการณ์ของเธอในตอนนี้ช่างคล้ายกับคนที่กำลังรอหมั่นโถวอยู่ดี ๆ แต่กลับได้ซาลาเปาไส้เนื้อมาแทน
หญิงสาวยิ้มจนคิ้วกับดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว “แล้วเหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่มอบให้ข้าเล่า”
เฉินมู่ไป๋ก้มหน้า แล้วใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำยากคาดเดาอารมณ์ตอบกลับ “คุณหนูไม่ได้บอกว่าหิว”
อวี่ฉีชะงัก ก่อนมิวายเปิดปากถามต่อ “เช่นนั้นหากข้าปิดปากเงียบไม่พูดว่าหิวเล่า? เจ้าจะทำเช่นไร? จะรอให้มันขึ้นราเลยหรือ?”
เฉินมู่ไป๋ส่ายศีรษะ “ข้าน้อยจะกินมันเองขอรับ”
เฉินมู่ไป๋ นายชนะแล้ว ชนะได้อย่างงดงามเลยด้วย
[1] เป็ดแมนดาริน เป็นสัตว์แทนความรักของจีน