ตอนที่ 12.2 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เฉินมู่ไป๋

2

คุณหนูผู้ร่ำรวยที่เติบโตมาท่ามกลางอาภรณ์งดงามและอาหารเลิศรส กลับต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากโดยมีเพียงโจ๊กกับหมั่นโถวประทังชีวิตมาสองวัน อวี่ฉีในตอนนี้จึงหิวโซจนเข้าขั้นน่าเวทนา ถึงแม้ขนมไส้สับปะรดจะหวานเลี่ยนสักแค่ไหน เธอก็ยังสามารถกลืนมันลงไปพร้อมกับน้ำชาเย็นชืดได้ในพริบตาเดียว กระทั่งเศษขนมก็ยังไม่มีเหลือ

เฉินมู่ไป๋ที่ยืนแข็งทื่อเป็นเสาไม้นั้น เมื่อเห็นเธอกินจนหมดแล้วก็ควักขนมห่อกระดาษซับน้ำมันอีกชิ้นออกมาจากในอกเสื้อ ก่อนจะค่อย ๆ แกะมันอย่างเงอะงะอีกครั้ง แล้วยื่นมาตรงหน้าเธอ

เจ้าเด็กโง่คนนี้ไม่รู้ว่าตื่นเต้นจนเกินไปหรือว่าฝึกกระบี่มากไปจนสมองเพี้ยนไปแล้วกันแน่ แค่ยื่นขนมให้ชิ้นเดียว ถึงกับต้องเล่นใหญ่ประหนึ่งกำลังถือกระบี่ฟาดฟันศัตรูอย่างไรอย่างนั้น ท่วงท่าของเขาทั้งรวดเร็ว ดุดัน และแม่นยำ เคราะห์ดีที่อวี่ฉีใจเย็นกว่าคนทั่วไปมาก เธอจึงยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ตกใจจนหงายหลังล้มไปเสียก่อน

ขนมในมือของเฉินมู่ไป๋คือขนมฝูหลิง[1] ที่ยุบบิดเบี้ยวเหมือนถูกใครทุบเช่นเคย เพิ่มเติมคือมีเศษขนมแตกกระจายอยู่รอบด้านอีกด้วย

อวี่ฉีมองเขาด้วยสายตาแปลกใจก่อนจะเอื้อมมือไปรับมา “ในเมื่อยังมีอีก ไยเมื่อครู่เจ้าถึงไม่นำออกมาพร้อมกันเล่า?”

องครักษ์หนุ่มก้มหน้าลงอีกครั้ง พร้อมกล่าวเสียงราบเรียบว่า “หากกินไม่หมด มันจะสิ้นเปลืองขอรับ”

อวี่ฉีชะงักไปครู่หนึ่งถึงเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายพูด เขาต้องการสื่อว่าหากเธอกินขนมไส้สับปะรดชิ้นแรกไม่หมด เช่นนั้นการที่จะนำออกมาทีเดียวสองชิ้นย่อมสิ้นเปลืองอย่างแน่แท้

จริง ๆ เลย สกุลเฉินหักเงินเดือนนายมากนักรึไง ทำไมถึงงกได้ขนาดนี้ฮึ?

อวี่ฉีคิดพลางกัดขนมฝูหลิงไปคำหนึ่ง แล้วจู่ ๆ ก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหรี่ตามองไปทางคนที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่ “แล้วหากข้ากินชิ้นนี้หมดเช่นกัน เจ้าจะหยิบเอาชิ้นที่สามสี่ออกมาให้ข้าอีกหรือไม่”

เฉินมู่ไป๋เผลอเงยหน้ามองเธอทั้งสีหน้าอึ้งงัน ดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทคู่นั้นเบิกกว้างกว่าปกติเล็กน้อย มองไปแล้วช่างคล้ายกับสุนัขโง่เขลาตัวน้อยที่กำลังแอบแทะกระดูก แต่ดันถูกเจ้านายจับได้

มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเธอเดาถูก แถมยังถูกเต็มประตูเสียด้วย เด็กคนนี้ช่างซื่อจริง ๆ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนชอบโกหกมดเท็จ ในใจคิดอะไรก็เขียนอยู่บนใบหน้าหมดแล้ว

อวี่ฉีกระแอมเพื่อกลั้นขำ ก่อนจะเอ่ยปากถามต่อ “เจ้าซ่อนขนมไว้ในอกเสื้อกี่ชิ้นกันแน่ ทั้ง ๆ ที่ท้องของเจ้าดูแล้วก็ยังเรียบแบนอยู่ชัด ๆ เจ้าทำได้อย่างไรกัน”

เมื่อรู้ว่าถูกมองออกแล้ว เฉินมู่ไป๋ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมือกางนิ้วแกร่งเรียวยาวทั้งห้าออกมาแสดงความซื่อสัตย์อย่างเปี่ยมล้น ครั้นเห็นผู้เป็นนายเข้าใจแล้ว ก็ค่อย ๆ หุบมือเก็บกลับไปข้างลำตัว

“ห้าชิ้น? เจ้านี่มันเก่งกาจจริง ๆ !”

รอยยิ้มของอวี่ฉียังไม่ทันคลี่ออกมาอย่างเต็มที่ ขนมฟูหลิงกับกระดาษที่ใช้ห่อขนมไส้สับปะรดก็ถูกเด็กหนุ่มเอื้อมมือมาแย่งไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เธอเห็นเพียงภาพเบลอวูบผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมาร่างเฉินมู่ไป๋ก็หายไปจากตรงหน้าเธอแล้ว

หลังจากองครักษ์เงาหายไปได้ไม่ทันไรก็มีคนเดินเข้ามาจากด้านนอกโดยไม่กล่าวขออนุญาต ด้วยท่าทางราวกับมองไม่เห็นเจ้าของห้องอย่างไรอย่างนั้น คนผู้นั้นไม่แม้แต่คำนับทำความเคารพ เพียงเดินมาวางถาดใส่โจ๊กชามหนึ่งและหมั่นโถวขาว ๆ สองลูกไว้บนโต๊ะเตี้ยข้างกายเธอแล้วหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่พูดไม่จาใด ๆ ทั้งสิ้น

อวี่ฉีมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจว่าที่เฉินมู่ไป๋แย่งขนมจากมือเธอไปเมื่อครู่นั้นเป็นเพราะต้องการช่วยปกปิดเรื่องที่เธอแอบกินขนมนั่นเอง ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าเด็กที่ดูซื้อบื้อผู้นี้ เมื่อถึงเวลาคับขันขึ้นมาจริง ๆ กลับหัวไวกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็ขำพรืดออกมา “เขาไปแล้ว เจ้าออกมาเถิด”

สิ้นคำก็มีสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านข้างกายจนทำให้ผมของเธอปลิวสยาย ก่อนค่อย ๆ ร่วงลงมาคลอเคลียบ่า ครั้นมองไปอีกที เฉินมู่ไป๋ก็ปรากฏตัวยืนอยู่ข้างกายแล้ว เขาแบมือประคองขนมฝูหลิงสีขาวที่เหลือครึ่งชิ้นยื่นมาทางเธออย่างมั่นคง

อวี่ฉีเอื้อมมือไปรับขนมแล้วมองเขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ข้าไม่อยากกินทั้งโจ๊กทั้งหมั่นโถวที่คนพวกนั้นนำมาส่งแล้ว แต่วางไว้ตรงนั้นก็สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ สู้ให้เจ้ากินแทนข้าให้หมดดีหรือไม่” พูดจบ เธอก็หรี่ตาลงพร้อมกับลูบคาง “แบบนี้ก็ถือได้ว่าเจ้าปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ข้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนั้น”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘สิ้นเปลือง’ สองคำนี้แล้ว เฉินมู่ไป๋ก็รับคำอย่างไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ สองมือยื่นไปยกชามโจ๊กบนโต๊ะขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ทว่าเมื่อเห็นเขายกชามโจ๊กขึ้นมาแล้วทำท่าจะหายตัวไปในชั่วอึดใจอีกครั้ง อวี่ฉีก็รีบร้องห้าม “กินตรงนั้นนั่นแหละ จะไปนั่งกินบนหลังคาหรือหลบอยู่หลังตู้ก็ไม่สะดวกทั้งนั้น ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีข้ากับเจ้าแค่สองคน ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกฎระเบียบมากนักหรอก”

เฉินมู่ไป๋เป็นองครักษ์เงาที่ถูกฝึกฝนมาให้เชื่อฟังนายเป็นพิเศษ เขาแทบจะสลักคำว่าซื่อสัตย์ภักดีสี่คำนี้ไว้ลึกถึงไขกระดูก เมื่อเจ้านายพูดว่าหนึ่ง เขาไม่มีทางกล้าบ่ายเบี่ยงพูดเป็นหนึ่งจุดหนึ่งได้อย่างแน่นอน 

ด้วยเหตุนี้เขาจึงหยุดอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ยืนตัวตรงประหนึ่งเสาไม้ แล้วยกโจ๊กชามนั้นกรอกใส่ปาก

“เจ้ากินช้า ๆ ก็ได้ ข้าไม่ได้ถือแส้มาหวดเจ้าเสียหน่อย จะรีบร้อนไปทำไม”

เมื่อได้ยินที่เธอพูด เฉินมู่ไป๋จึงหยุดมือ ก่อนจะขยับชามโจ๊กที่เอียงอยู่ให้กลับมาตั้งตรงอีกครั้ง แล้วลงมือตักโจ๊กใส่ปากไปคำโต เข้าปากคำหนึ่งก็หยุดไปสักพักถึงค่อยเริ่มตักคำใหม่ใส่ปากอีกครั้ง

อวี่ฉีมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ อย่างจนปัญญา ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออกกะทันหัน เธอจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างมีนัยแอบแฝงออกมา “เห็นเจ้ากินอย่างออกรสถึงเพียงนี้ ข้าก็นึกอยากกินดูบ้างแล้วสิ” 

คนที่กำลังกินโจ๊กชะงักกึก ชามกระเบื้องบดบังใบหน้าของเขาไปกว่าครึ่ง จึงเผยให้เห็นเพียงดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทที่กำลังจับจ้องเธอนิ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดตัดสินใจว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นเพียงการหยอกล้อเขาเล่นหรือจริงจังอยู่กันแน่

อวี่ฉีรีบตีสีหน้าจริงจังออกมาทันที “จริง ๆ นะ เจ้าทำให้ข้าอยากอาหารขึ้นมาแล้ว”

เฉินมู่ไป๋เป็นผู้ติดตามที่เชื่อฟังอย่างถึงที่สุดตามที่ข้อมูลเคยบอกไว้จริง ๆ ด้วยเหตุนี้หลังเธอพูดจบ เขาก็ค่อย ๆ ยื่นชามโจ๊กให้เธอ ถึงแม้จะมีท่าทางอิดออดและสองจิตสองใจไปบ้างอยู่ครู่หนึ่งก็ตาม “ข้าน้อยกินไปแล้ว”

“อืม ข้าเห็นแล้ว” อวี่ฉีรู้สึกตลก เธอชูขนมในมือขึ้นมา “ข้าไม่มีมือจะถือชามแล้ว เจ้าป้อนให้ข้าคำหนึ่ง”

คนถูกวานให้ช่วยถึงกับตกตะลึงจนหน้าแข็งทื่อ ก่อนจะลองเอ่ยดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อหนีออกจากสถานการณ์ในตอนนี้ “ข้าน้อยจะไปยกมาให้คุณหนูอีกชาม…” คราวก่อนแผนจับมืออีกฝ่ายระหว่างดื่มชาก็ล้มเหลวไปแล้ว อวี่ฉีไม่อยากล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สอง เธอจึงกล่าวอย่างดุดันว่า “กว่าจะรอเจ้ายกมา ป่านนั้นข้าก็ไม่อยากกินแล้ว และอีกอย่าง ข้าไม่ได้ให้เจ้ามารับกระบี่แทนข้าเสียหน่อย เจ้าจะมัวยืดเวลาไปเพื่ออะไร” กล่าวอย่างตรงไปตรงมาจบ เธอก็ไม่คิดรอให้เขามาบริการตนอีกต่อไป หญิงสาวโน้มตัวไปหา แล้วจับมืออีกฝ่ายพร้อมกินโจ๊กไปคำหนึ่งด้วยตนเอง

ทว่าเธอยังไม่ทันจะได้ดื่มด่ำกับความสำเร็จ เฉินมู่ไป๋ก็พลันหดมือกลับ ก่อนจะชะงักค้างกลางอากาศเพราะเกรงกลัวคำสั่ง จึงส่งผลให้โจ๊กที่เหลืออยู่น้อยนิดกระฉอกออกมากระเซ็นใส่ปกคอเสื้อของเธอจนเลอะไปทั้งแถบตามคาด

อวี่ฉียังไม่ทันกล่าวสักประโยค อีกฝ่ายก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงไปก่อนแล้ว เขายืดแผ่นหลังขึ้นมาเงียบ ๆ แต่กลับก้มศีรษะลงต่ำตั้งท่ารอรับการลงโทษจากเธอ

แม้ว่าเฉินมู่ไป๋จะเงอะงะไปบ้าง แต่การพูดน้อยนั้นเป็นจุดเด่นที่ทำให้คนชอบเขาได้จริง ๆ

คนที่เงียบขรึมพูดน้อย บางครั้งเวลาทำอะไรผิดพลาดคนก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน อวี่ฉีไม่คิดโมโหเขากับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วจึงยิ่งไม่มีทางโกรธเคืองอีกฝ่ายได้ เพียงแค่รู้สึกจนใจเล็กน้อยเท่านั้น

เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วอวี่ฉีก็อดรู้สึกขำไม่ได้ เธอจับปกเสื้อของตัวเองสะบัดเบา ๆ พร้อมกับโบกมืออีกข้าง “ไม่เป็นไร ข้าผิดเอง มันไม่ใช่ความผิดเจ้า ช่วยไปหยิบชุดให้ข้าทีสิ ประเดี๋ยวข้าจะผลัดเปลี่ยนชุดเสียหน่อย” 

เฉินมู่ไป๋เงยหน้าขึ้นมองเธอแวบหนึ่งก่อนตอบ “ขอรับ” เสียงต่ำ ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี เงาร่างของเขาก็หายวับไปจากเบื้องหน้าของเธอแล้ว

อวี่ฉีใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเมล็ดข้าวกับน้ำโจ๊กที่เปื้อนอยู่บนปกเสื้อ จนกระทั่งเช็ดไปได้พอสมควรแล้ว เฉินมู่ไป๋ก็ยังไม่กลับมา

เธอเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อย หากยึดตามความเร็วของเขา การที่อีกฝ่ายจะหายตัวแล้วกลับมาหาเธออีกครั้งในพริบตาก็นับเป็นเรื่องปกติ แต่เขาหายไปนานขนาดนี้ ต่อให้คนธรรมดาที่ไม่เป็นวรยุทธ์ก็สมควรกลับมาได้แล้วหลังจากรอไปอีกสักพัก

อวี่ฉีก็ตัดสินใจลุกขึ้นตามหาคนหาย

ระหว่างเดินอยู่ ก็มีเสียงดังแว่วมาให้ได้ยินราง ๆ หญิงสาวหันไปมองตามเสียงนั้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว จวบจนสายตาจดลงตรงร่างผอมสูงร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกองหีบไม้สีเข้มขนาดเท่าครึ่งตัวคน

หีบใบหนึ่งถูกเปิดอ้าเผยให้เห็นชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนในแต่ละวันพับซ้อนทับอยู่ในนั้นอย่างเป็นระเบียบ ส่วนเฉินมู่ไป๋นั้นตอนนี้กำลังยืนหันหลังให้เธอ ในมือถือเสื้อคลุมสีฟ้าครามปักลายดอกไม้นิ่ง ๆ ไม่รู้ว่ากำลังเหม่อลอยอะไรอยู่

อวี่ฉีมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงค่อยเดินไปหาเขาอย่างเชื่องช้า “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่รึ?”

เฉินมู่ไป๋เหมือนจะตกใจเสียงถามของเธอจนหลุดจากภวังค์ เขาหมุนตัวมาทางเธอในทันที พร้อมลุกลี้ลุกลนซ่อนเสื้อในมือเอาไว้ด้านหลัง ก่อนจะก้มศีรษะลงต่ำเม้มปากเงียบสนิท

ยิ่งเธอก้าวไปใกล้ เขาก็ยิ่งเกร็งร่างมากขึ้น ระดับความแข็งทื่อเทียบได้กับผีดิบที่นอนอยู่ในโลงศพมาเป็นพันปีเลยทีเดียว

ในที่สุดอวี่ฉีก็มายืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย หลังจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เขย่งปลายเท้าขึ้นอย่างเนิบช้า แล้วจับบ่าของเขาเอาไว้มั่น

ร่างกายของเฉินมู่ไป๋พลันสั่นเทิ้มขึ้นมาในทันที ไม่ต่างอะไรกับสุนัขตัวโตที่รู้ตัวว่ามีชนักติดหลังอยู่ องครักษ์หนุ่มผู้นี้ก้มหน้าลงจนแทบจะซุกไปกับอกตัวเอง ทำตัวเหมือนกำลังถูกปืนใหญ่ที่จุดชนวนแล้วจ่อยิงอยู่อย่างไรอย่างนั้น 

ปฏิกิริยานี้ทำให้อวี่ฉีแทบจะหลุดหัวเราะ เธอพยายามอย่างลำบากยากเย็นกว่าจะกลั้นขำได้ จากนั้นเธอก็ออกแรงมือเบา ๆ เพื่อให้เขาหมุนตัวเผยของที่ซ่อนอยู่ด้านหลังโดยไม่คิดจะอ้อมไปมองให้เสียเวลา

หากมองในแง่พละกำลังระหว่างเธอกับเขาที่ต่างกันลิบลับแล้ว ขอแค่เฉินมู่ไป๋ดึงดันฝืนแรงสักหน่อย เธอก็ไม่มีทางขยับตัวของเขาได้อย่างแน่นอน ทว่านี่เธอเพียงแค่ออกแรงดันเบา ๆ เท่านั้น อีกฝ่ายกลับหมุนตัวตามแรงโดยไม่มีการต่อต้านใด ๆ เว้นแต่ดวงตาสีดำสนิทที่เขียนอักษรตัวโต ๆ ไว้ว่า ‘ข้าตายแน่’ อยู่บนนั้น

รอจนเขาหมุนกลับไปทั้งร่างแล้ว อวี่ฉีจึงค่อยเห็นเสื้อคลุมสีฟ้าปักลายดอกไม้ที่อีกฝ่ายกำไว้ในมือ ซึ่งไม่รู้ว่ามันขาดจนเป็นรูได้อย่างไร แต่เธอก็เดาว่ามันคงถูกดึงขาดเนื่องจากเจ้าเด็กโง่ผู้นี้มีพละกำลังสูงส่ง แต่ไม่รู้จักควบคุมอย่างแน่นอน

นี่เป็นเรื่องใหญ่จนถึงกับต้องแสดงท่าทางเคร่งเครียดเช่นนี้เลยรึ

อวี่ฉีลองออกแรงดึงเสื้อคลุมตัวนั้นดู ทว่ามันกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด จึงออกแรงดึงอีกรอบ ในที่สุดก็ได้มาอยู่ในมือ หญิงสาวตั้งท่าจะเงยหน้าคลี่ยิ้มล้อเลียนอีกฝ่ายสักสามสี่ประโยค กลับเห็นเพียงภาพเบลอวูบผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมาคนที่เดิมอยู่หน้ากองหีบก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย

อวี่ฉีกลั้นขำสุดชีวิต ก่อนจงใจทำหน้าขรึมพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “เฉินมู่ไป๋ ออกมา!”

แล้วเขาก็ปรากฏตัวตรงหน้ากองหีบโดยไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ในทันที

อวี่ฉียกเสื้อที่ขาดจนเป็นรูขึ้นมาพร้อมมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ดีเหลือเกิน เฉินมู่ไป๋ วรยุทธ์ของเจ้านั้นชักจะเก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสินะ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็ทำลายเสื้อคลุมของข้าไปสองตัวแล้ว ก้าวหน้าขึ้นไม่เบา”

องครักษ์หนุ่มยังคงเอาแต่เงียบ ทว่าติ่งหูกลับซับสีเลือดเป็นแถบขึ้นมาจาง ๆ พร้อมแสดงสีหน้าราวกับอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

หากจะจับงูก็ต้องฟาดที่หัวใจ หากจะรับมือใครก็ต้องกุมจุดอ่อนของคนผู้นั้นไว้ให้ดี

อวี่ฉีโยนเสื้อคลุมตัวนั้นกลับลงไปในหีบลวก ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “พูดมา เจ้าจะจัดการอย่างไร”

เฉินมู่ไป๋เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับเสียงราบเรียบ “ข้าน้อยจะชดใช้ให้ขอรับ”

เขายังคงซื่อตรงอย่างถึงที่สุดจริง ๆ หลังจากได้ยินคำตอบนั้น อวี่ฉีก็เอ่ยเสนอสิ่งที่ต้องการด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “ไม่จำเป็นต้องชดใช้ เจ้าแค่ต้องช่วยข้าเรื่องหนึ่งเท่านั้น”

เฉินมู่ไป๋ชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย

อวี่ฉีระบายยิ้มน้อย ๆ “จงพาข้าหนีตามไปกับเจ้า”

[1] 茯苓糕 ขนมที่มีลักษณะเหมือนขนมโก๋สอดไส้ถั่วแดงกวน