ลมกระโชกแรง เมฆดำจับตัวกันเป็นก้อน คลื่นลูกใหญ่ซัดในทะเล ระหว่างเมฆดำและทะเลมีเรือเดินสมุทรกำลังแล่นไปอย่างยากลำบาก ใบเรือถูกลมพัดกระโชกจนขาด กะลาสีเรือผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นกำลังดึงไม้พายอย่างยากลำบาก ถูกคลื่นซัดขึ้นซัดลง มีบางคนถูกคลื่นลมซัดตกลงไปในทะเล ยังไม่ทันได้ช่วยก็ถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดลงไปก้นทะเลลึก ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ยังคงดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ขยับใบพัดต่อไป หากไม่ทำอะไรเลยเรือก็จะถูกคลื่นซัดจนแตก
เหล่าชายฉกรรจ์ที่ไม่ใส่เสื้อพยายามช่วยกันอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมทิศทางของหัวเรือให้หัวเรือหันหน้าเข้าหาคลื่น เรือมู่หลานลำมหึมาฝ่าคลื่นยักษ์ของทะเลมาได้ หัวเรือฝ่าคลื่นทะเลลอยสูงขึ้นมีเสียงเหมือนกับว่าไม้กำลังจะหัก ชายหนุ่มที่ถือหางเสือถูกมัดไว้ที่ท้ายเรือปล่อยให้คลื่นน้ำเย็นซัดเข้าที่ร่างกายอย่างเต็มแรง เขาพ่นน้ำที่พึ่งกลืนเข้าไป ตะโกนท่ามกลางทะเลเสียงดังว่า มาสิ มาเลย ข้าไม่กลัวพระเจ้าหรอกนะ”
อวิ๋นเยี่ยบรรยายถึงความยากลำบากในทะเลด้วยภาษาที่เหมือนกับบทกวี ใช้มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาแล้วพูดต่อว่า “คลื่นค่อยๆ สงบลง เมฆดำทะมึนก็ลอยออกไปไกลแล้วเช่นกัน ชายที่ถือหางเสือผู้นั้นยังคงจับหางเสือไว้แน่น เหมือนกับว่ายังคงต่อสู้กับคลื่นอยู่ กัปตันเรือเดินมาอยู่ข้างๆ เขาแล้วบอกให้เขาไปพักผ่อนได้แล้ว เขาไม่ขยับ กัปตันเรือได้แต่ถอนหายใจ แล้วเอามือไปอังที่จมูกก็พบว่าเขาได้ตายไปแล้วแต่ว่ามือยังคงจับหางเสือไม่ยอมปล่อย ไม่รู้จะทำอย่างไร กัปตันเรือจึงต้องปลดหางเสือเก่าออกแล้วเอาอันใหม่ใส่เข้าไปแทน ใช้ผ้าห่อร่างกายของเขาและหางเสือไว้ให้แน่น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็ส่งพวกเขาลงสู่ทะเลด้วยกัน คนบนเรือทั้งหมดยืนขึ้นเพื่อส่งเขาจากไป มีคนร้องเพลงขึ้นมา ข้าจำได้เพียงหนึ่งประโยค นั่นก็คือ ‘ขอให้สวรรค์โปรดคุ้มครองเด็กชายผู้แสนขมขื่นของข้า ขอให้สวรรค์โปรดคุ้มครองเด็กชายผู้แสนขมขื่นของข้า…’”
อวิ๋นเยี่ยร้องเพลงที่ซีถงเคยร้องด้วยเสียงต่ำ ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้เบาๆ ใครร้องไห้มากที่สุดในที่แห่งนี้กัน คำตอบจะเห็นได้จากตอนนี้ที่ชุดลายหงส์ของฮองเฮาได้เปียกไปหมดแล้ว
“เวลาเล่าอาจจะดูน่าขัน เผชิญกับความยากลำบากอย่างมากมายเพียงเพื่อหาเสบียงให้แก่ผู้ประสบภัย เพื่อเป็นการประหยัดเสบียงอาหาร ชายเหล่านั้นพากันกินสาหร่ายทะเลทุกวัน
ข้าเป็นคนกินจุพวกเจ้าก็รู้ ข้าถูกอาจารย์ตามใจตั้งแต่เด็กจนเสียนิสัย อาหารเคี้ยวยังไม่ทันละเอียดก็กลืนลงไปเสียแล้ว ข้าเพียงทำตามความคิดของตัวเองโดยการนำสาหร่ายทะเลมาแปรรูปใหม่ จนค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดว่าจริงๆ แล้วสาหร่ายทะเลนั้นมีรสชาติดีเยี่ยม ดังนั้นข้าจึงได้นำสาหร่ายทะเลกลับมาเป็นจำนวนมากเพื่อเตรียมจะขายในฉางอัน นำเงินที่ได้มาซื้อเสื้อผ้าใหม่และอาวุธไปเปลี่ยนให้แก่เหล่าทหาร พากันไปดื่มบ้างในยามว่าง แล้วยังมีเงินไปซื้อเสื้อผ้าให้แก่ภรรยาที่บ้านหรือซื้อริบบิ้นราคาห้าเหรียญสวยๆ ให้แก่ลูกสาวก็พอแล้ว
เมื่อครู่เกาหยางหัวเราะข้าที่ถูกปลาตกใส่หัวจนเป็นลมไป นั่นไม่ใช่เรื่องตลกแต่เป็นเรื่องจริง โชคดีที่เป็นปลาตัวเล็กตกใส่หัวข้า เพราะว่าหลังจากที่ข้าตื่นขึ้นมาก็ได้พบว่ามีฉลามตัวหนึ่งน้ำหนักหนึ่งถึงสองร้อยกิโลตกลงมาข้างๆ ข้าจนเนื้อเละไปหมดเหลือเพียงแค่ฟันเท่านั้นที่พาดอยู่บนขาของข้า”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยก็ปาดน้ำตาของเขาอีกครั้ง น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด เขาพูดเสียงดังว่า “ข้าถูกตามใจจนนิสัยเสีย ถึงแม้ว่าจะติดตามอาจารย์ไปทุกที่แต่ก็ไม่เคยต้องมาลำบาก ข้าเคยไปที่ทะเลทรายฉ่าวหยวนก็ถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพทหาร เหล่าแม่ทัพ แล้วยังมีคนรับใช้คอยปรนนิบัติอย่างครบครัน แม้ว่าชีวิตที่ฉ่าวหยวนจะยากลำบากไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับทุกข์ทรมาน แต่ครั้งนี้ข้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว”
จู่ๆ คำพูดของอวิ๋นเยี่ยก็เหมือนกับแก๊สน้ำตาอีกครั้ง จั่งซุนน้ำตาไหล มองไปที่อวิ๋นเยี่ยด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าสร้อย แม่บ้านหยางร้องไห้เสียงดังขึ้นมา โหวเหลียนเอ๋อร์ก็ลืมเรื่องที่จะฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ยแล้วตอนนี้เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด
ไม่เสียแรงที่เป็นพันธมิตรในการทำกิจการที่ดี หลี่เค่อร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อวิ๋นเยี่ย เจ้าอย่าเสียใจไป ข้าจะซื้อสาหร่ายทะเลเจ้าห้าร้อยกิโล หนึ่งกิโลต่อหนึ่งร้อยเหรียญคงไม่น้อยเกินไป รีบส่งไปที่บ้านข้าเดี๋ยวนี้ ต่อไปนี้ข้าจะกินสาหร่ายทุกวัน เงินที่ได้มาก็เอาไปแบ่งให้พวกทหารเสียหน่อย”
ความเห็นอกเห็นใจทำให้คนตาบอด โดยเฉพาะในเวลาที่ยังไม่ได้สติ สาหร่ายทะเลหลายหมื่นกิโลถูกขายออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่อวิ๋นเยี่ยไม่อนุญาตให้พวกนางซื้อมากเกินไป มิเช่นนั้นสาหร่ายแสนกิโลจะไม่เพียงพอให้พวกนางแบ่งกัน
หลานหลิงดึงขากางเกงของอวิ๋นเยี่ย อีกมือหนึ่งถือถุงเงินของตัวเองแล้วพูดว่า “พี่อวิ๋นเยี่ย ข้าก็มีเงิน ข้าอยากซื้อ เงินพวกนี้เอาไปให้ลูกสาวของเหล่าทหารซื้อริบบิ้นสวยๆ ริบบิ้นราคาห้าเหรียญนั้นไม่สวยหรอก”
“ฝันไปเถอะ อย่าคิดใช้เงินไม่กี่เหรียญมาซื้อข้า ข้าเห็นเจ้าเอาอัญมณีสองเม็ดใส่ลงไป เจ้าคิดว่าเงินเพียงแค่นี้จะเลี่ยงไม่ให้เจ้าไปรับโทษที่สำนักศึกษาได้อย่างนั้นหรือ ข้าจะหาอาจารย์ที่ดุที่สุดให้เจ้า แบบที่ไม่กลัวสายเลือดกษัตริย์ ตีฝ่ามือของเจ้าทุกวันหากเจ้าทำการบ้านไม่เสร็จ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนหรือไม่กินข้าว อย่างไรทุกวันเจ้าก็ต้องโดนตี ในสำนักศึกษาไม่มีอาจารย์คนไหนจะมารับผิดแทนเจ้าได้”
หลานหลิงร้องไห้เสียงดัง เพียงครู่เดียวก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้หันมามอง
“หลานหลิงเจ้าเป็นเด็กดีมาก เจ้าอายุยังน้อย เงินพวกนี้เจ้าก็เป็นคนหาเอง เจ้าไม่ต้องซื้อสาหร่ายทะเล หากเจ้าชอบก็มากินที่บ้านข้า” อวิ๋นเยี่ยรีบคืนถุงเงินให้นาง แล้วทำท่าทางเป็นคนดีปลอบใจนาง
“เจ้ารังแกข้า ท่านแม่ อวิ๋นเยี่ยรังแกข้า” หลานหลิงรีบอธิบายอย่างจริงจัง ตัวเองไม่ได้อยากซื้อสาหร่ายทะเลตั้งแต่แรก เพียงแค่อยากให้อวิ๋นเยี่ยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กดีเพื่อที่จะไม่ต้องไปรับโทษที่สำนักศึกษา ใครจะไปรู้ว่าจะถูกเขามองออกแล้วยังโดนขู่อีกด้วย เหล่าผู้อาวุโสยังคงคิดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนดีที่ไม่ให้ตัวเองควักเงิน มองดูเหล่าผู้อาวุโสมองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยความเอ็นดู ก็รู้ว่าตัวเองนั้นถูกเข้าใจผิดจนไม่สามารถจะบอกให้ใครรู้ได้ ดังนั้นจึงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ
อวิ๋นเยี่ยและหลี่เค่อเดินออกมาจากวังหลังอย่างเบาสบาย หลี่เค่อพูดให้อวิ๋นเยี่ยฟังไม่หยุดว่ามีองค์ชายซื้อสาหร่ายไปหนึ่งพันกิโล จวิ้นอ๋องซื้อไปห้าร้อยกว่ากิโล จวนองค์หญิงซื้อไปห้าร้อยกิโลและจวนขุนนางซื้อไปห้าร้อยกิโล…
“อย่าลืมเพิ่มจำนวนที่เจ้ารับปากว่าจะซื้ออีกห้าร้อยกิโล” อวิ๋นเยี่ยเช็ดตาที่กำลังแสบร้อน เขาควรจะเลือกขิงอ่อนไม่ใช่ขิงแก่ ตอนนี้แสบตาจนทนไม่ไหวแล้ว
“อวิ๋นเยี่ย ข้าแค่พูดเพื่อเปิดประเด็นให้เจ้า เจ้าคงไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยซื้อด้วยหรอกนะ” หลี่เค่อรีบบอกปัดทันที เขาคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังแสวงหาประโยชน์จากการขูดเลือดขูดเนื้อ
“ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ที่ข้าทำก็เพราะหวังดีต่อเจ้า เจ้าเป็นคนพูดคนแรกว่าจะซื้อ แต่สุดท้ายที่บ้านกลับไม่มีสาหร่ายแม้แต่กิโลเดียว จะให้คนอื่นมองเจ้าอย่างไร หากถูกมองเป็นคนทรยศเจ้าจะรับไหวหรือ” เมื่อได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดก็รู้สึกเหมือนตื่นจากฝันทันที หันไปคำนับอวิ๋นเยี่ย ไม่มีทางที่สหายจะหลอกตัวเอง เพียงแต่ว่าสาหร่ายห้าร้อยกิโลจะกินอย่างไรให้หมด นี่คือปัญหาโลกแตก
หลี่ซื่อหมินกำลังจิบชาอย่างช้าๆ ในห้องโถง สมาชิกตระกูลหลี่ทุกคนกำลังพูดคุยกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปกับอวิ๋นเยี่ย เขาเป็นถึงท่านโหวอย่างไรก็ต้องเห็นแก่หน้าเขาบ้าง ให้ทุกบ้านซื้อสาหร่ายสองถึงสามกิโลขึ้นไปก็ถือว่าช่วยสุดๆ แล้ว คราวนี้จะแกล้งอวิ๋นเยี่ยดูบ้าง ถือว่าเอาคืนที่หลอกให้ฮ่องเต้กินตั๊กแตน
รอนานแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา หลี่เต้าจงพูดขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท หรือว่าอวิ๋นเยี่ยเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงทาน้ำมันที่พื้นให้ตัวเองลื่นล้มหัวฟาดพื้นตายไปแล้ว”
หลี่ซื่อหมินส่ายหัว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ไอ้เจ้านี่น่ะมีความสามารถอยู่ไม่น้อย การหลบหนีไม่ใช่นิสัยของเขา ตอนนี้ข้ากำลังคิดว่าเขายังมีวิธีบางอย่างที่ยังไม่ได้นำออกมา อีกสักครู่ไม่ว่าอาหารที่เขาทำออกมาจะอร่อยแค่ไหน พวกเจ้าก็แค่กินเข้าไป แต่หากพูดเรื่องขายสาหร่ายทะเล ก็บอกไปเหมือนเดิมว่าไม่ซื้อ ดูสิว่าเขาจะยังมีวิธีอะไรอีก ข้าอยากรู้นัก เกมในวันนี้ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะพลิกกระดานกลับมาได้ รอให้เขายอมแพ้แล้วพวกเราค่อยซื้อสาหร่ายทะเลกลับไปกินก็ยังไม่สาย”
มองดูพระอาทิตย์เริ่มจะตกดินแล้ว สีหน้าของหลี่ซื่อหมินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาลุกขึ้นมาแล้วพูดกับหลี่เซี่ยวกงว่า “มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น อวิ๋นเยี่ยต้องหาทางอื่นแล้วแน่ๆ เซี่ยวกง อวิ๋นเยี่ยไปที่หลังตำหนักของเจ้าได้หรือไม่”
หลี่เซี่ยวกงสีหน้าเปลี่ยนไป พูดขึ้นมาเสียงดังว่า “แย่แล้วไอ้หมอนั่นกับหวยเหรินเป็นเพื่อนสนิทกัน เขาไปที่ตำหนักหลังหลายครั้งแล้ว หากเขาต้องการจะไปก็จะไม่มีใครห้าม ฮูหยินของข้าก็ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นหลานชาย ไม่เคยสงสัยในตัวเขาเลย”
หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่บนเก้าอี้ยิ้มแหยๆ แล้วพูดกับผู้คนตระกูลหลี่ว่า “ดูแล้วพวกเราคงจะต้องกินสาหร่ายทะเลไปสักพัก อวิ๋นเยี่ยชนะแล้ว พวกเราไม่รอบคอบเอง”
ทั้งห้องมีเพียงแค่หลี่ซื่อหมิน หลี่เซี่ยวกง และหลี่เต้าจงเท่านั้นที่เข้าใจ คนอื่นๆ ยังคงมองหน้ากันด้วยความมึนงง แต่สามคนนั้นหมดอารมณ์ที่จะพูดต่อแล้ว
อวิ๋นเยี่ยล้างหน้าแล้วใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ ซับที่ดวงตา รู้สึกว่าตาเริ่มกลับมาสดใสเหมือนเก่าแล้ว เขาเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า เห็นผู้คนในห้องต่างพากันจับจ้องมาที่เขา ทำเอาอวิ๋นเยี่ยขนลุกไปหมด
หลี่ซื่อหมินยิ้มแหยๆ แล้วถามว่า “อวิ๋นเยี่ย ฮองเฮาซื้อสาหร่ายทะเลไปเท่าไหร่ พอที่จะให้คนในวังหลวงกินได้ทั้งปีหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างระมัดระวังว่า “ฮองเฮาต้องการซื้อห้าพันกิโล แต่กระหม่อมบอกว่าสองพันห้าร้อยกิโลก็พอสำหรับให้คนในวังหลวงกินได้หนึ่งปีแล้ว ที่กระหม่อมเอามาเป็นสาหร่ายตากแห้ง หากนำไปแช่น้ำก็จะหนักขึ้นห้าพันกว่ากิโล ดังนั้นสองพันห้าร้อยกิโลถือว่าเพียงพอสำหรับวังหลวงแล้วขอรับ”
“บอกราคาเรามา เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าขายได้เป็นเงินจำนวนมากมาย” หลี่ซื่อหมินจิบน้ำเพื่อให้อารมณ์ที่บ้าคลั่งของเขาสงบลง พยายามถามด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวล
“ไม่แพงเท่าไหร่ขอรับ กระหม่อมไม่กล้าเพิ่มราคา”
“ไม่ค่อยแพงคือราคาเท่าไหร่” หลี่ซื่อหมินถามอย่างรีบร้อน เขาไม่สนใจว่าเสียเงินไปเท่าไหร่ เพียงแค่อยากรู้ว่าการหลอกลวงของอวิ๋นเยี่ยนั้นทำเงินไปได้เท่าไหร่ ตัวเองเสียเปรียบไปมากแค่ไหน
“หนึ่งกิโลต่อหนึ่งร้อยเหรียญเป็นราคาที่เหมาะสมแล้วขอรับ” อวิ๋นเยี่ยดึงขอบประตูไว้ หากคนเหล่านี้มีปฏิกิริยาแปลกๆ ตัวเองจะได้ปิดประตูหนีได้ทัน คนโง่หลังจากที่ถูกหลอกก็จะรู้สึกโกรธมากเป็นธรรมดา
หลี่ซื่อหมินนั่งลงอย่างเงียบๆ หลี่เต้าจงพึ่งจะดื่มชาเข้าไปก็ต้องสำลักออกมา เขาสำลักอยู่นานจากนั้นก็ถามออกมาว่า “ตอนที่เจ้ารับสาหร่ายทะเลมาจากทะเล สาหร่ายกิโลกรัมละเท่าไหร่”
“องค์ชายโฮ่ว ของแบบนี้เมื่ออยู่ในทะเลไม่สามารถประเมินค่าได้ พวกชาวประมงขายให้ข้าเป็นกองๆ จะให้เงินพวกเขาเท่าไหร่ก็ได้ แต่ว่าค่าขนส่งนั้นเสียไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
หลี่ซื่อหมินและหลี่เซียวกงมองหน้ากันจากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง วันนี้ช่างเป็นวันที่สนุกเสียจริง ตอนนี้ปรมาจารย์ที่เก่งกาจหลายคนที่คิดว่าตัวเองจะชนะก็ถูกอวิ๋นเยี่ยคว่ำกระดานจนได้ ซ้ำยังชนะโดยไม่มีข้อกังขา ตอนนี้คนในตระกูลที่พึ่งจะเข้าใจก็พากันหัวเราะดังลั่น ทำเอาสาวๆ ที่อยู่ตำหนักหลังต้องส่งให้สาวใช้มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น