[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 14 รอยยิ้มปีศาจ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

คำพูดที่ไม่จำเป็นพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ขอแค่ทำแล้วมีความสุขก็พอแล้ว หลี่ซื่อหมินหัวเราะและพาจั่งซุนที่กำลังงุนงงกลับวังไปด้วย องค์ชาย ท่านชาย และเหล่าขุนนางต่างก็พาภรรยาตัวเองที่ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยกลับบ้าน นี่คือเกมของเหล่าผู้ชาย แพ้แล้วก็ต้องยอมรับ ผู้คนตระกลูหลี่มีคุณธรรมในการพนัน พวกเขาไม่ได้ตำหนิภรรยาที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยต่อหน้าผู้อื่น ฮ่องเต้บอกว่านี่คือสิ่งที่สง่างาม ภายหลังยังต้องพัฒนาให้มากกว่านี้อีก เหล่าองค์ชายก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ภูเขาและแม่น้ำมักจะมาบรรจบกันเสมอ พวกเขาทั้งหมดอาศัยรวมกันอยู่ร่วมในฉางอัน อย่างไรก็ต้องเจอกัน 

 

 

หลี่ไท่ตามอวิ๋นเยี่ยกลับไปที่สำนักศึกษา ตอนที่นั่งอยู่บนรถม้าเขาก็เอาแต่ถามอวิ๋นเยี่ยว่าทำไมอวิ๋นเยี่ยต้องร้องไห้เสียใจเพียงเพราะสาหร่ายไม่กี่พันกิโล หากต้องการเงินจริงๆ ก็แค่ขายสาหร่าย เงินไม่กี่พันเหรียญไม่เห็นต้องทุ่มเทขนาดนี้ ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ยิ่งไปกว่านั้นการทำแบบนี้ทำให้เสียหน้า คนอย่างหลี่ไท่เป็นคนที่เป็นห่วงเรื่องหน้าตาที่สุด 

 

 

“เพราะเป็นกฎ กฎนั้นสำคัญมาก ชิงเชวี่ย พวกเราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน จะคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้ หากจะทำเรื่องดีๆ สักเรื่อง ก็ต้องพยายามทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสมอ ให้มีผู้ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด นี่คือพื้นฐานของการทำความดีที่คงอยู่ตลอดมา สาหร่ายจะต้องได้รับการยอมรับจากชาวฉางอัน วิธีที่เร็วที่สุดก็คือทำให้ราชวงศ์ยอมรับเสียก่อน ของแบบนี้ไม่ได้ซื้อขายแค่ปีเดียว จากนี้ไปสาหร่ายทะเลจะถูกส่งไปที่เมืองใหญ่อย่างฉางอัน ลั่วหยาง และหยางโจวทุกปี นี่คือกิจการ เราต้องใส่ใจมันให้มากๆ เพื่อจะได้ค่อยๆ เติบโตเป็นต้นไม้สูงตระหง่าน การเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ดีจะนำมาซึ่งประโยชน์มากมายแก่เรา ผู้คนริมทะเลก็จะได้รับผลประโยชน์เพราะสาหร่าย ชาวจงหยวนก็จะมีผักไว้บริโภคมากขึ้น ในอนาคตประเทศก็จะได้เก็บภาษีราคาสูงจากมันด้วย ดังนั้นข้าจะไม่ยอมถอดต้นกล้า ข้ายอมให้ทุกคนค่อยๆ ยอมรับ แต่จะไม่ใช้วิธีเจ้าเล่ห์ ชิงเชวี่ย เจ้าจงจำไว้ ต่อจากนี้หากเจ้าค้นพบกิจการใหม่ เจ้าอย่าได้ไปขัด อย่างน้อยก็อย่าทำให้มันเสียหาย ตัวหนอนที่ยังไม่แปลงร่างเป็นผีเสื้อ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะดีหรือร้าย” 

 

 

การที่หลี่ไท่ไม่เห็นด้วยกับอวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นเรื่องปกติ “หากหนอนไม่กลายเป็นผีเสื้อแต่กลายเป็นแมลงวันแทนล่ะ ข้าเลี้ยงหนอนมาไม่รู้กี่ตัว สุดท้ายก็โตมาเป็นแมลงวันหมด กลายเป็นหายนะ เช่นนี้ก็ไม่ได้อะไรเลยน่ะสิ” 

 

 

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของเจ้า ข้ามีสติปัญญามากพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เจ้ายังมีสติปัญญาไม่พอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะเลี้ยงออกมาเป็นแมลงวันซะส่วนใหญ่” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่เคยปิดบังความคิดของตัวเองกับหลี่ไท่ คิดอะไรก็พูดเช่นนั้น ไม่เคยพิถีพิถันวิธีการพูด หลี่ไท่เองก็ชินแล้ว ดังนั้นเวลาอยู่กับอวิ๋นเยี่ยเขาก็ไม่ได้สำรวมอะไรมากมาย 

 

 

รถม้าไม่ได้ไปที่สำนักศึกษา แต่เลี้ยวไปทางแม่น้ำป้า กองทัพเรือของหลิ่งหนานประจำการอยู่ที่นั่น เมื่อเข้าไปในค่ายทหารคนติดตามของหลี่ไท่ก็ถูกกักให้อยู่นอกประตูค่าย นี่คือกฎ อวิ๋นเยี่ยได้ลงนามออกเอกสารคำสั่งให้หลี่ไท่เข้าไปในค่ายทหาร นี่ก็เป็นกฎเช่นกัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในค่ายทหาร หลิวเหรินย่วนไม่ต้องการให้ละเว้นกระบวนการเหล่านี้ 

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้จะมาดูอะไรนอกจากพาหลี่ไท่ไปดูเหล่าทาสที่ไม่มีลิ้น นับว่าพวกเขายังมีความเป็นคนอยู่ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยก็ยังรู้จักทำความเคารพ แล้วยังรู้จักขอบคุณพวกคนผิวเหลืองที่ดีต่อตัวเอง 

 

 

ทั้งหมดสามร้อยสามสิบสี่คน นี่คือจำนวนของคนที่มีชีวิตรอดมาจนถึงฉางอัน มีบางคนที่ระหว่างเดินทางที่ร่างกายประสบความทรมานอย่างรุนแรงจึงค่อยๆ ทยอยตายไป 

 

 

อวิ๋นเยี่ยตรวจดูปากของพวกเขาอย่างละเอียด มั่นใจว่าพวกเขาทุกคนไม่มีลิ้น พูดกับเซี่ยวชังเซิงที่อยู่ด้านหลังว่า “บอกพวกเขาว่า หากมีใครรู้ตัวหนังสือ ข้าอยากจะจ้างพวกเขาทำงานเกี่ยวกับหนังสือ” 

 

 

เซี่ยวชังเซิงถ่ายทอดคำพูดของอวิ๋นเยี่ยให้กับคนพวกนั้นอย่างเสียงดัง แต่ไม่มีใครก้าวออกมา ก็จริง ชาวต้าสือคงไม่ให้คนรู้หนังสือขึ้นเรือหรอก 

 

 

ไม่มีใครก้าวออกมา มีแต่คนส่ายหัว อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าแล้วพูดกับเซี่ยวชังเซิงว่า “เซี่ยวชังเซิง ตอนนี้เจ้ามีหนึ่งตัวเลือก เจ้าจะได้กลายเป็นขุนนางอันดับหกของราชสำนักแล้ว หลังจากนี้มีโอกาสสูงที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เจ้าถูกลิขิตให้มีชีวิตที่ไม่มีใครรับรู้การมีตัวตนของเจ้า แต่เจ้าก็ยังมีลูกและภรรยาที่น่ารัก ทั้งชีวิตของเจ้าจะอยู่ภายใต้การดูแลของราชสำนัก คำพูดที่เจ้าพูดกับผู้อื่น ทุกเรื่องจะถูกบันทึกไว้ คิดให้ดีแล้วค่อยตอบข้า ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน” 

 

 

“ท่านโหว ไปรับฮวาเหนียงมาเถิด ข้าขอเพียงเท่านี้ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงสิ่งอื่นอีก ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อจะได้เป็นขุนนางมาครึ่งชีวิต อย่าว่าแต่หลังจากนี้จะไม่ได้พบกันเลย ต่อให้เอาข้าไปขังคุกขอแค่ยังใส่เครื่องแบบของขุนนาง ขอแค่ลูกหลานข้ารุ่นต่อๆ ไปได้เข้ารับราชการ ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไร” 

 

 

หลี่ไท่มองอวิ๋นเยี่ยและเซี่ยวชังเซิงที่กำลังสนทนากันอย่างประหลาดใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นอวิ๋นเยี่ยสั่งให้คนนำเงินให้เซี่ยวชังเซิงสองร้อยเหรียญ ให้เขาไปใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินที่ฉางอันเป็นเวลาหนึ่งเดือน จึงได้ถามขึ้นมา “อวิ๋นเยี่ย เรื่องราวในวันนี้ต้องสำคัญมากเป็นแน่ ทั้งข้าและเจ้าต่างก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะแต่งตั้งขุนนาง แต่ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ดูมั่นใจเป็นอย่างมาก หรือว่าเจ้าได้รับอนุญาตจากท่านพ่อของข้าแล้ว” 

 

 

มองดูเซี่ยวชังเซิงที่เดินจากไป อวิ๋นเยี่ยส่ายหัว ชี้ไปที่เหล่าทาสแล้วพูดกับหลี่ไท่ว่า “มีความลับบางเรื่องที่ต้องให้คนพวกนี้ไปทำ เซี่ยวชังเซิงเป็นช่องทางเดียวที่จะสื่อสารกับพวกเขาได้ เว้นแต่ราชวงศ์จะมีตัวเลือกที่น่าเชื่อถือกว่านี้ ข้าก็จะไม่ใช้เขา ตระกูลเจ้ามีคนที่มีความสามารถในการใช้ภาษานี้หรือไม่” 

 

 

หลี่ไท่ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มี อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยได้ยินว่ามี คนไม่สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้เช่นคนพวกนี้มาทำเรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าสรุปคือเรื่องอะไร” 

 

 

“ข้าบังเอิญค้นพบปีศาจ เมื่อมีของสิ่งนี้ เมืองอันเข้มแข็งรุ่งเรืองทั้งหมดจะกลายเป็นซากปรักหักพัง เจ้าจะเรียกว่าเทพสายฟ้าก็ได้ คือเทพสายฟ้าที่คนสามารถควบคุมได้ ข้าลองสร้างขึ้นมาบ้างแล้ว แต่พลังของมันควรจะยิ่งใหญ่กว่านี้ สิ่งเหล่านี้เจ้าจะต้องไปศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ว่าให้ผู้อื่นช่วยหรือจะศึกษาด้วยตัวเองก็ได้ทั้งนั้น ข้าจะยุ่งกับสิ่งนี้อีกไม่ได้” 

 

 

หลี่ไท่หน้าซีด เขานึกถึงวันที่เห็นอวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนยอดตำหนักไท่จี๋ที่มีสายฟ้าแลบอยู่รอบตัว อวิ๋นเยี่ยดูเหมือนเทพเจ้าที่ลงมาบนโลกมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงได้ส่งเสริมเจตจำนงของเขาในการค้นหาสมบัติจากเมืองที่ยังไม่มีใครรู้จักเหล่านั้น 

 

 

“ผู้คนสามารถมีพลังของพระเจ้าได้เหรอ” หลี่ไท่มองดูรอบตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงได้ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง 

 

 

“ชิงเชวี่ย เมื่อเจ้าไปวัดลัทธิเต๋าแล้วจะรู้เอง เทพเจ้าที่แท้จริงก็คือมนุษย์ บรรพบุรุษของเจ้าอย่างเล่าจื๊อตอนแรกก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เพียงแต่ว่าต่อมาถูกคนรุ่นหลังวางไว้บนแท่นบูชา ทำให้มีพลังอำนาจต่างๆ ที่น่าเหลือเชื่อ พลังอำนาจของเทพเจ้านั้นแท้ที่จริงแล้วได้รับมาจากมนุษย์ ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าแค่คนเดียว บางทีบนโลกใบนี้อาจมีเจ้าเพียงคนเดียวที่เข้าใจ รอเจ้าเรียนรู้ลึกซึ้งกว่านี้ ก็จะเริ่มมีเรื่องที่ต้องกังวลมากมายยิ่งขึ้น หลังจากที่เจ้าตามหามันไม่หยุดหย่อน เจ้าจะได้พบความประหลาดที่ว่าเทพและสัตว์ประหลาดทั้งหลายต้องใช้ความรู้ทางกายภาพจึงจะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้” 

 

 

หลี่ไท่เป็นคนที่ใกล้เคียงกับคนสมัยใหม่มากที่สุดในต้าถัง จากการร่ำเรียนมาตลอดหลายปี เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้พบความลับของเทพเจ้าด้วยตัวเอง ตอนนี้ได้ยินว่าตัวเองสามารถควบคุมพลังของพระเจ้าได้ก็ดีใจจนสั่นไปทั้งตัว 

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถมีพลังเหล่านี้ได้ หลี่ไท่เข้าใจดี เขาเองก็เข้าใจดี หากเขาทำเรื่องนี้เอง ก็เหมือนกับการไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งนี้ไม่สำคัญอะไร เขาแค่อยากรู้ว่าเทพเจ้ามีพลังแบบไหนกันแน่ 

 

 

องครักษ์ตระกูลอวิ๋นสองคนช่วยกันยก**บที่ถูกขี้ผึ้งปิดไว้สนิทขึ้นจากเรือ หลังจากที่ตรวจสอบว่าปิดสนิทดีแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็หยิบกุญแจออกมาจากคอเสื้อแล้วไข**บเปิดออกอย่างระมัดระวัง เห็นเพียงไม้ไผ่กระบอกใหญ่ที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันที่ยังคงแห้งสนิทอยู่ก็โล่งใจ นี่คือดินปืนที่เขาทำเองบนเรือ และยังทรงพลังที่สุด 

 

 

เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ก็ลากหลี่ไท่มาเป็นพยาน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังฉางอัน อวิ๋นเยี่ยยืนยันที่จะให้รถม้าลากดินปืนอยู่ห่างๆ จากเขา องครักษ์ที่อยู่รอบๆ ก็ต้องไม่เกินสามคน เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็ต้องหยุดตรวจหนึ่งครั้งเพื่อดูสถานการณ์ เดินๆ หยุดๆ จนฟ้ามืดกว่าจะเข้าวัง อวิ๋นเยี่ยวาง**บไว้ในที่โล่ง ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าใกล้ หลี่ไท่ขอให้หัวหน้าทหารยามยกระดับการป้องกันเป็นพิเศษ 

 

 

เมื่อหลี่ซื่อหมิ่นกินข้าวเย็นเสร็จ เตรียมตัวจะพักผ่อนเดินเล่นในสวนดอกไม้ ได้ยินคนใช้รายงานว่าเว่ยอ๋อง หลานเถียนโหวขอเข้าเฝ้า แต่กลับไม่ไปที่ห้องนอนของเขา รออยู่หน้าตำหนักไม่เข้ามา เด็กสองคนนี้หัดมีมารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 

 

 

หลี่ซื่อหมินออกมาข้างนอกอย่างไม่รอช้า เห็นอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่นั่งกอดเข่าข้างกันอยู่บนบันได ทั้งสองจ้องไปที่**บใบเดียว รอบๆ **บยังมีองครักษ์ถือดาบอยู่รอบๆ หัวหน้าทหารยามก็สวมชุดเกราะเต็มยศยืนคุมอยู่ข้างๆ ชักจะมากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นสมบัติหายากแค่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องลำบากทุกคนขนาดนี้ 

 

 

มือไขว้หลังแล้วกระแอมเล็กน้อย เมื่ออวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ได้ยินการเคลื่อนไหวก็รีบลุกขึ้นต้อนรับฮ่องเต้ทันที 

 

 

“นั่นคืออะไร” หลี่ซื่อหมินชี้ไปที่**บใบนั้น 

 

 

“เป็นสิ่งที่กระหม่อมใช้ทำเสียงดังก่อวุ่นวายที่หลิ่งหนาน” อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างสำรวม หลี่ซื่อหมิ่นต้องรู้เรื่องราวที่เทพเจ้าตีกลองก่อความวุ่นวายเป็นแน่ หลายวันมานี้ที่ไม่ได้ถามอะไรก็เพื่อให้อวิ๋นเยี่ยอธิบายให้เขาฟังเอง เขาเชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยจะไม่ปิดบังปัญหากับเขาในเรื่องนี้ 

 

 

ก้าวไปที่**บแล้วยื่นมืออกมาเปิด “ฝ่าบาท ช้าก่อน” อวิ๋นเยี่ยรีบห้ามไว้ หลี่ซื่อหมินไม่รู้ว่าสิ่งของข้างในนั้นร้ายแรงแค่ไหน หากเกิดเรื่องเข้าจะวุ่นวาย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเรียกทหารยามที่ถือตะเกียงเข้ามาใกล้อีกด้วย ท้องฟ้ามืดแล้ว มองอะไรไม่ค่อยชัด 

 

 

ดีที่หลี่ซื่อหมินมีนิสัยที่ดีอย่างหนึ่งคือการฟังคำแนะนำจากผู้อื่น หลังจากที่อวิ๋นเยี่ยห้ามไว้เขาก็หยุดไม่ขยับเข้าไป อวิ๋นเยี่ยเปิด**บออก หอบไม้ไผ่กระบอกใหญ่ออกมาให้หลี่ซื่อหมินดู 

 

 

“เป็นสิ่งนี้เองหรือ เจ้าใช้สิ่งนี้ในการทำเสียงดังขับไล่สัตว์ป่าในภูเขาอย่างนั้นหรือ” หลี่ซื่อหมินดูถูกผลงานของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก ไม้ไผ่ก็ไม่เลือกตัดปล้องที่ดีๆ มีรอยขีดข่วนเต็มไปหมด ปากกระบอกไม้ไผ่ก็ยัดไม้ไว้แน่นยุ่งเหยิงไปหมด มีเพียงรูเล็กๆ ที่มีเชือกกระดาษสีเทายาวยื่นออกมา แตกต่างจากสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง 

 

 

“ทำให้สิ่งนี้เสียงดังสิ เราอยากรู้นักว่าเทพแห่งขุนเขาตีกลองส่งเสียงดังอย่างไร”