[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 15 ได้เวลาจุดประทัด

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

“ฝ่าบาท ของสิ่งนี้ไม่เหมาะกับการสาธิตในวัง ขอให้ฝ่าบาทอดทนรอพรุ่งนี้ พวกเราไปสาธิตกันที่เขาหนานซันดีหรือไหม” หลี่ซื่อหมินไม่รู้ว่าของสิ่งนี้อนุภาพรุนแรงแค่ไหน อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าเม็ดดินปืนสีดำจำนวนสองกิโลครึ่งนี้มีพลังมากเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นเขากังวลว่าไนเตรทนี้ไม่ใช่ไนเตรทบริสุทธิ์จึงได้กลั่นกรองเป็นพิเศษ นี่เป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ทางการทหาร หากสาธิตในวังหลวงจะทำให้เหล่าสาวงามวังหลังตกใจเอา

 

 

“เราไม่อยากจะเชื่อ แรงของไม้ไผ่กระบอกแค่นี้จะทำให้เกิดเสียงดังแค่ไหนกัน ก็แค่การจุดประทัดฉลองปีใหม่ เจ้าคิดว่าเราไม่เคยเห็นหรือ เพียงแค่จุดฉนวนลูกโทะ? ง่ายจะตายไป ต้วนหง เจ้าไปจุดประทัดสักสองลูก เราไม่ได้ยินเสียงประทัดนานแล้ว”

 

 

อวิ๋นเยี่ยกำลังจะพูด แต่กลับถูกทหารยามลากออกไปด้านข้าง หลี่ซื่อหมินเตรียมที่จะชมประทัดกระบอกใหญ่นี้แล้ว เขาไม่เคยเชื่อเรื่องเทพแห่งขุนเขาตีกลองส่งเสียงดังก่อความวุ่นวายได้ คิดว่าประทัดที่อวิ๋นเยี่ยจุดคงเสียงดังกว่าเล็กน้อย ใช้จำนวนคนเยอะหน่อย เป็นเหตุผลเดียวกับการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงที่ต้องต้อนสัตว์ให้ไปรวมกัน ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เพิ่งจะเสียเปรียบให้อวิ๋นเยี่ย ต้องกู้หน้าคืนมาให้ได้ เมื่อครู่พึ่งจะชมว่าเขาเป็นคนรับฟังคำพูดของคนอื่น เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

 

 

“ฝ่าบาท ขอร้องล่ะ หากจุดประทัดที่นี่อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ตำหนักไท่จี๋จะเป็นอันตราย” หลี่ไท่มองอวิ๋นเยี่ยอย่างประหลาดใจ พูดเกินจริงไปหรือเปล่า แค่ฟ้าผ่าคงไม่มากพอที่จะทำลายตำหนักไท่จี๋ได้ในคราวเดียว

 

 

“จริงหรือ” หลี่ซื่อหมินเหล่มองไปที่อวิ๋นเยี่ย เห็นสีหน้าของเขาดูเป็นกังวล ไม่เหมือนกับการแกล้งทำ จึงปัดมือบอกให้ทหารยามปล่อยตัวอวิ๋นเยี่ย เกาที่จมูกแล้วหันไปพูดกับต้วนหงว่า “เช่นนั้นก็ฝังลงดิน ฝังไว้ใต้ต้นตีนเป็ดที่เราชอบ มีต้นไม้บังไว้ คงไม่มีปัญหาอะไร”

 

 

ต้วนหงเชื่อฟังมากกว่าอู๋เสอ รีบขุดหลุมอย่างรวดเร็ว นำไม้ไผ่กระบอกใหญ่สองกระบอกฝังในดิน เพียงแค่หลี่ซื่อหมินออกคำสั่ง ก็เตรียมจุดได้ทันที

 

 

เจ้านั่นถือคบเพลิงแกว่งไปมา ทำเอาทุกคนกลัวไปหมด ต่อให้อวิ๋นเยี่ยมีความกล้ามากแค่ไหนก็ไม่กล้าถือคบเพลิงแกว่งไปมาข้างๆ ดินปืนจำนวนห้ากิโล

 

 

อยากจะลากหลี่ซื่อหมินไปข้างหลัง หากเข้าใกล้ในรัศมียี่สิบเมตรต้องอันตรายถึงชีวิตเป็นแน่ แต่ว่าลากไม่ไป หลี่ซื่อหมินยืนได้มั่นคงมาก อวิ๋นเยี่ยมีแรงไม่พอ

 

 

“ต้วนหง หากเจ้ากล้าจุดไฟ ข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ” อวิ๋นเยี่ยไม่มีเวลามาห่วงเรื่องมารยาท พยายามจะดึงหลี่ซื่อหมินไปข้างหลัง หลี่ซื่อหมินเริ่มรู้สึกสนุก ยืนหัวเราะอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ดูเหมือนว่าความกังวลของอวิ๋นเยี่ยนั้นทำให้เขามีความสุข

 

 

“หลี่ไท่ รีบมาช่วยข้าเร็ว” หากมือของต้วนหงขยับเพียงแค่นิดเดียว ต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้านั่นยังเอาแต่ทำหน้ายิ้มแย้มถือคบเพลิงแกว่งไปแกว่งมาอยู่บนฉนวนลูกโทะ

 

 

หลี่ไท่ค่อนข้างเชื่อคำพูดของอวิ๋นเยี่ย เห็นเขากัดฟันพูดเหมือนจะร้องไห้ ทั้งสองคนช่วยกันดันหลี่ซื่อหมินไปข้างหลังกำแพงวัง

 

 

“แรงของพวกเจ้าสองคนไม่เลวเลยนี่ เมื่อก่อนไม่เห็นพวกเจ้าจะแรงเยอะเช่นนี้ ดีมาก แสดงว่าพวกเจ้านั้นโตแล้ว อวิ๋นเยี่ย ของสิ่งนี้อันตรายมากหรือ” จนถึงตอนนี้หลี่ซื่อหมินก็ยังคงคิดว่าเด็กสองคนนี้กำลังล้อเล่นอยู่ เขาชอบความห่วงใยแบบครอบครัวเช่นนี้

 

 

หลี่ซื่อหมินปลอดภัยแล้ว ต้วนหงจะตายหรือไม่ก็ไม่มีใครสนใจ แต่เมื่อนึกถึงระเบิดสองลูกนั้นอวิ๋นเยี่ยก็อยากจะร้องไห้ ปฏิกิริยาความเร็วของลูกโทะนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าอันหนึ่งระเบิด อีกอันก็จะกระเด็นไประเบิดที่อื่น มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าจะกระเด็นไปที่ไหน อวิ๋นเยี่ยตัวสั่น หันไปพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท ครั้งนี้จุดเพียงหนึ่งลูกได้หรือไม่ หากจุดหนึ่งลูกแล้วเสียงยังดังไม่พอใจท่าน เราค่อยจุดสองลูกดีหรือไม่”

 

 

“เห็นแก่ความกตัญญูของพวกเจ้าเราจึงได้ถอยมาตรงนี้ หากเป็นเมื่อก่อนต่อให้มีทหารเป็นพันนายเราก็ไม่เคยคิดถอย นับประสาอะไรกับประทัดแค่นี้”

 

 

“นี่ไม่ใช่ประทัด นี่คืออาวุธที่ใช้ฆ่าคน ข้าเองก็เคยจุดประทัดมาก่อน ของสิ่งนี้ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำออกมาได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ควรประมาท มันไม่สามารถนำมาเทียบกับประทัดได้ ฝ่าบาท พวกเราทดลองที่เขาหนานซันพรุ่งนี้เถิด หากทดลองในวังหลวงจะทำให้มีผู้เสียชีวิตได้”

 

 

หลี่ซื่อหมินเริ่มรู้สึกจริงจังเป็นครั้งแรก มองดูต้วนหงอยู่ไกลๆ แล้วหันไปมองอวิ๋นเยี่ย คำพูดเมื่อครู่ทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น อยากดูเสียตอนนี้เลย

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งนี้ยิ่งไม่ควรให้คนภายนอกเห็น ต้องทดลองในวังหลวง ต้วนหง จุดไฟ” อวิ๋นเยี่ยรีบบอกให้หลี่ซื่อหมินอ้าปากและปิดหูโดยไม่ได้คำนึงถึงมารยาท หลี่ไท่ก็ต้องทำด้วยเช่นกัน ส่วนเขาหลับตาแล้วยืนบังหลี่ซื่อหมินอยู่ด้านหน้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัวตาย แต่เป็นเพราะว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับหลี่ซื่อหมิน ตระกูลอวิ๋นก็ไม่รอดเช่นกัน

 

 

มองดูไฟที่ไล่ไปตามฉนวนลูกโทะเข้าไปในดิน ต้วนหงเดินแกว่งแขนแกว่งขาออกมาอย่างสบายใจ หันกลับไปมองที่ฝังดินปืนเป็นพักๆ

 

 

อวิ๋นเยี่ยจ้องไปที่เนินดินโดยไม่กล้ากะพริบตา เตรียมดูว่าอีกอันจะกระเด็นไประเบิดที่ไหน

 

 

เสียงฟ้าร้องนั้นไม่สามารถบรรยายความดังได้ ต้นตีนเป็ดที่หลี่ซื่อหมินชอบนั้นตรงกลางของลำต้นได้หักลง ทหารยามที่อยู่รอบๆ ต่างก็พากันขว้างดาบทิ้ง พวกเขามีเลือดไหลออกมาจากหู

 

 

อวิ๋นเยี่ยหูอื้อไปหมด เขาได้ยินเสียงระเบิดเพียงครั้งเดียว ไม่ได้การ ยังเหลืออีกหนึ่งลูก ตามองตรวจดูด้านบนหัว มีแต่ฝุ่นผสมโคลน และก้อนหินตกลงมาจากฟ้า ไม่เสียแรงที่หลี่ซื่อหมินเป็นผู้บัญชาการในสนามรบมานาน มีความสงบนิ่งเหนือมนุษย์ทั่วไป ดึงอวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ที่มอบอยูที่พื้นไปที่มุมกำแพงด้วยมือข้างเดียว

 

 

ทั้งสามคนเบิกตามองหาระเบิดอีกลูก ไม่เห็นวี่แววอะไร ได้ยินแต่เสียงดินและหินที่กระเด็นไปโดนกำแพงไหลลงมาจึงได้โล่งใจ ยังไม่ทันหายตกใจก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่วังหลัง ฝุ่นลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า สามคนรีบนั่งลงกับพื้น เอามือกุมหัวไว้ เวลานี้เริ่มมีความรู้สึกโศกเศร้าเกิดขึ้น

 

 

หลี่ไท่รีบลุกขึ้นมาและตะโกนเสียงดัง “เสด็จแม่” พูดจบก็รีบวิ่งไปวังหลัง อวิ๋นเยี่ยรีบตามไปติดๆ หลี่ซื่อหมินตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งตามไปทางวังหลัง

 

 

พระเจ้า โชคดีที่ตำหนักลี่เจิ้งของจั่งซุนไม่เป็นไร ตำหนักต้าอันของไท่ซั่งหวงก็ไม่เป็นไร ที่ได้รับความเสียหายก็คือตำหนักกันลู่ ห้องบรรทมของหลี่ซื่อหมิน ตำหนักที่เหล่าพระสนมอาศัยอย่างตำหนักต้าจี๋ ตำหนักไป่ฝู ตำหนักอู่เต๋อ และตำหนักว่านชุนก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่ามีขันทีและนางในพากันวิ่งวุ่นวายไปมาเหมือนแมลงวัน มีคนเป็นลมหมดสติไปนับไม่ถ้วน

 

 

ตำหนักกันลู่ถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง จั่งซุนสวมชุดคลุมถือดาบอยู่ในมือ สวมใส่ชุดนอนอยู่ด้านใน ดวงตาโตดูตกใจ อวิ๋นเยี่ยเห็นว่าบนดาบของนางมีเลือด ไม่รู้ว่าใครคือผู้โชคร้ายคนนั้น นางกำลังสั่งให้ขันทีและนางในยกอิฐและกระเบื้องของตำหนักกันลู่ออก เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแววตาอาฆาตของจั่งซุน ช่างน่ากลัวเสียจริง

 

 

“อวิ๋นเยี่ย เกิดอะไรขึ้น” ตอนนี้ตาของจั่งซุนลุกเป็นไฟ หากเดินเข้าไปตอนนี้ต้องถูกจั่งซุนเอาดาบแทงแน่ๆ อวิ๋นเยี่ยจึงแสร้งทำส่ายหัวไปมาเหมือนว่าไม่ได้ยิน

 

 

หลี่ไท่ร้องไห้โผเข้ากอดจั่งซุน เสียงร้องไห้ฟังดูน่าสงสาร เมื่อเห็นหลี่ซื่อหมินยืนลูบคาง จั่งซุนก็โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด นางยังคงโซเซ ปล่อยดาบในมือลง น้ำตาไหลออกมา วันนี้อยู่ที่ตำหนักของหลี่เซี่ยวกงนานมากเช่นเคย

 

 

พระสนมและสาวใช้จำนวนมากยังไม่ทันได้แต่งตัวให้เรียบร้อย บางคนไม่ได้ใส่อะไรเลย รูปร่างไม่เลวเลยทีเดียว คาดว่าเมื่อครู่คงกำลังอาบน้ำ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ควรอยู่ ต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้

 

 

กว่าจะลากแขนหลี่ไท่ออกจากวังชั้นในมาได้ ก็โยนหลี่ไท่ลงบนระเบียงดอกไม้ รีบวิ่งไปดูประทัดอีกสี่ลูกที่เหลือ เหตุการณ์ตอนนี้ช่างน่าอนาถ ต้วนหงห้อยอยู่บนต้นไม้ เห็นกิ่งไม้แทงเนื้อของเขาอยู่ โชคดีที่ต้วนหงเป็นขันที มิเช่นนั้นหากไม่ตายก็ต้องมาเป็นขันทีอีก ตอนนี้หัวหน้าทหารยามผู้กล้าหาญใบหน้ามอมแมมหมอบอยู่ที่พื้น ส่วนทหารยามที่เหลือก็พากันร้องครวญคราง

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สนใจพวกเขานัก ยก**บที่คว่ำอยู่พลิกกลับมา เห็นว่าประทัดอีกสี่ลูกที่เหลือยังอยู่ดี กระดาษน้ำมันไม่ฉีกขาด ค่อยๆ หอบประทัดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เมื่อหัวหน้าทหารยามเห็นของสิ่งนี้ก็รีบถอยออกไปเร็วกว่าเมื่อครู่ก่อนเสียอีก

 

 

มองดูวังหลวงของต้าถังเหมือนถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะเอาประทัดสี่ลูกไปวางไว้ที่บันไดตำหนักไท่จี๋ ในใจแอบคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ให้หลี่ซื่อได้สัมผัสถึงพลังของระเบิด จะได้ตัดสินใจพัฒนาสิ่งนี้อย่างพากเพียร หากสิ่งที่เล่าจื๊อทุ่มเทพัฒนาสามารถเปลี่ยนเป็นยาที่ทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดได้ เช่นนั้นคงจะทำให้คนรู้สึกเจ็บปวด คราวหลังหากมีการรบ เราก็ไม่ต้องใช้ดาบแล้ว ใช้ระเบิดแทน รับรองว่าตายทั้งกอง เมื่อมีแรงบันดาลใจก็จะทำให้เกิดการพัฒนาต่อไป ไม่แน่อาจจะมีระเบิดแอมโมเนียไนเตรท ระเบิดกรดพิคริกเกิดขึ้น แต่จะว่าไปแล้วกระสุนที่ถูกคิดค้นขึ้นมาก็ใช้ไม่ถึงหลายร้อยปี เมื่อถึงเวลาทุกคนเอาออกมายิง สุดท้ายโลกก็จะกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นจะดีแค่ไหน

 

 

การทดลองดินปืนลับๆ ของชาวอังกฤษนั้นล้มเหลว มิเช่นนั้นพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ก็คงจะไม่ได้อยู่ในแผนเส้นทางท่องเที่ยวของคนรุ่นหลัง วันนี้วังหลวงของต้าถังจุดดินปืนไปสองลูก แล้วยังเป็นฮ่องเต้ออกคำสั่งเองอีกด้วย จะไม่จุดก็ไม่ได้ ชาวอังกฤษใจแคบ ไม่มีความใจกว้างสมกับเป็นประเทศใหญ่เลย

 

 

หลี่ไท่ท่าทางหงุดหงิดส่งไหเหล้าองุ่นให้อวิ๋นเยี่ย ดูแล้วเขาเองก็คงดื่มไปไม่น้อย ชี้ไปที่ความโกลาหลวุ่นวายที่กำแพงเมืองฉางอันแล้วพูดว่า “อวิ๋นเยี่ย เมื่อของสิ่งนี้กำเนิดขึ้น หากเป็นที่หลิ่งหนานก็คงคร่าชีวิตคนไปสองร้อยกว่าคน ตอนนี้มาระเบิดที่นี่ คิดว่าจะเป็นวันสุดท้ายของฉางอันเสียแล้ว สิ่งนี้เป็นของอัปมงคล”

 

 

“ข้าก็ไม่เคยบอกว่าของสิ่งนี้คือของดี แต่ว่าต่อให้เป็นอาวุธที่น่ากลัวแค่ไหน หากใช้ถูกวิธีก็จะมีประโยชน์มากมาย หากใช้ในทางที่ผิดก็จะทำให้เกิดหายนะ มีดในมือพวกเราสามารถฆ่าคนได้ สามารถใช้เป็นเครื่องมืออย่างอื่นก็ได้ ของสิ่งนี้ก็เช่นกัน หากใช้ระเบิดเปิดทางเหมืองแร่ ก็จะเป็นสิ่งที่ดี ใช้ฆ่าคนก็ได้เช่นกัน จะใช้ทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับใจตัวเอง ข้าเป็นคนของต้าถัง แน่นอนว่าเมื่อมีสิ่งนี้แล้วข้าก็จะไม่ทนดูเหล่าทหารต้องไปเสียเลือดเนื้อที่กำแพงเมืองของศัตรู ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง จะทำชั่วก็ดี หรือจะทำดีก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นหลักประกันที่เราฝากไว้ให้คนรุ่นหลังว่าบาปนับพันจะคืนสู่เราอย่างไรบ้าง”

 

 

หลี่ไท่เงยหน้าขึ้นมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เราสองคนต่างมีส่วนร่วมในการทำสิ่งนี้ หากในอนาคตมีคนด่าว่าเป็นพันคน เราสองคนก็ต้องโดนด่าด้วยกัน เจ้าจะได้ไม่ต้องเหงา”

 

 

“เจ้านี่ เรายังไม่ตายสักหน่อย การจารึกชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จะเป็นของพวกเจ้าสองคนได้อย่างไร เราเป็นคนสั่งระเบิดวังหลวง เราไม่ชอบตำหนักกันลู่มานานแล้ว ระเบิดไปก็ดี อวิ๋นเยี่ย สอนเรื่องที่เจ้ารู้ทั้งหมดให้แก่ชิงเชวี่ย จากนั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปซะ เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกศิษย์ต่อไป ส่วนเรื่องฆ่าคนเหล่านี้ให้เราทำเอง ฮ่าๆๆ”