ตอนที่ 154-2 ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นคือคนต่ำช้า ที่มาจากแผ่นดินชั้นต่ำ

จำนนรักชายาตัวร้าย

“ท่านตา ข้าเพียงแต่นั่งสมาธิหลับตาก็เพียงพอแล้ว นั่งสมาธิพักผ่อนหนึ่งชั่วยามก็เท่ากับได้พักผ่อนหนึ่งวัน ข้าก็สามารถกลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าดังเดิม!”

 

 

อวี้เฟยเยียนนั่งตรงกลางระหว่างผู้เป็นตาและผู้เป็นยาย ซ้ายคือจิ่งเหนียง ขวาคือตี้อู่เจ๋อ

 

 

“เมื่อครู่ตอนที่ข้าเตรียมที่จะหลับตาพักผ่อน ก็ได้ยินเสียงพวกท่านพูดคุยกันเสียก่อน” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อวี้เฟยเยียนก็แลบลิ้นออกมาน้อยๆ

 

 

“ท่านตา ท่านยาย พวกท่านก็รู้ว่าราชาอาวุโสมีประสาทสัมผัสที่รวดเร็วว่องไว เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าข้าแอบฟังนะคะ!”

 

 

แม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะแต่งงานแล้ว แต่นางก็อายุยังน้อย ทั้งยังรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เมื่อมาออดอ้อนเช่นนี้ ทำให้คนแก่ทั้งสองชื่นชอบยิ่งนัก

 

 

“ข้ารู้ เยียนเอ่อร์ของพวกเราเก่งกาจที่สุดเลย!” มองดูอวี้เฟยเยียน จิ่งเหนียงก็สุขใจยิ่งนัก

 

 

“เจ้าเฒ่า เผ่าตันของเราจนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังไม่เคยปรากฎราชาอาวุโสกระมัง!”

 

 

“ใช่!” ตี้อู่เจ๋อยิ้มพราวพร้อมกับลูบเคราของตนไปด้วย หน้าตาท่าทางภาคภูมิใจ อีกทั้ง เยียนเอ๋อร์คือเทพโอสถที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์!

 

 

“เช่นนั้น ข้าก็คือผู้ที่ทำลายสถิตินะสิคะ?” อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้น

 

 

“แน่นอนสิ! เจ้าคือคนแรก!” ตี้อู่เจ๋อยกนิ้วให้กับอวี้เฟยเยียน

 

 

“ในเมื่อในชีวิตของข้าได้พบกับปาฏิหาริย์มากมาย ท่านตา ท่านยาย เรื่องเทพอัคคี พวกท่านควรจะวางใจสะถึงจะถูก!”

 

 

จู่ๆอวี้เฟยเยียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถึงเทพอัคคีขึ้นมา

 

 

“เจ้าปลาไหลน้อยของตา! ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีนิสัยชอบโอ้อวดแต่อย่างใด ทำจู่ๆถึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ที่แท้ก็เพื่อปูทางเข้าเรื่องนี้นี่เองนะหรือ!”

 

 

ตี้อู่เจ๋อหัวเราะร่วน

 

 

“ข้าไม่อยากให้ท่านยายเป็นห่วงนี้นา! พอเห็นท่านยายต้องร้องไห้เพราะเป็นห่วงข้า ข้าก็เสียใจยิ่งนัก”

 

 

อวี้เฟยเยียนกล่าวจบก็เอื้อมมือออกไปโอบกอดหญิงชราเอาไว้

 

 

“ท่านยาย ข้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วง ข้าต้องขอโทษด้วยนะคะ! อีกอย่าง ขอบคุณท่านยายด้วย!”

 

 

“เด็กโง่!” เมื่อได้กอดอวี้เฟยเยียนก็ทำให้จิ่งเหนียงขอบตาร้อนผ่าว

 

 

“เพราะข้าประมาทเลินเล่อ ไม่รู้ว่ามีเจ้าอยู่อีกคน มิเช่นนั้นข้าก็คงรับเจ้ากลับมาตั้งแต่แรกแล้ว!”

 

 

“ท่านยาย อย่าพูดเช่นนี้สิคะ! ท่านปู่ก็ดีกับข้ามากเช่นกัน! ท่านยายดูสิ ข้ามิใช่สบายดีนั่งอยู่ตรงนี้หรือคะ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นยาย ทั้งยังตองปลอบกันอยู่นาน รอจนกว่ามีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นยาย อวี้เฟยเยียนถึงได้คลายความกังวลใจลงไป

 

 

นางได้ยินในสิ่งที่คนชราทั้งสองคนพูดกันหมดแล้ว สรุปก็คือเพราะบุคคลผู้ซึ่งเคยได้ครอบครองเทพอัคคีเหล่านั้นไม่มีใครมีจุดจบที่ดีเลยสักคน ดังนั้นจึงทำให้ท่านตาท่านยายเป็นกังวล

 

 

‘นางควรจะพูดอย่างไรจึงจะทำให้พวกท่านสบายใจดีนะ?’

 

 

“เยียนเอ๋อร์ เจ้าได้เทพอัคคีมาได้อย่างไร? “

 

 

ในตอนที่อวี้เฟยเยียนกำลังครุ่นคิดหาเหตุผลจนหัวแทบแตกเพื่อมาพูดเอาชนะใจคนแก่ทั้งสองคนนั่นเอง ตี้อู่เจ๋อจึงเอ่ยปาก

 

 

‘เย่! นี่ถือเป็นโอกาส!’

 

 

“พูดแล้วเรื่องมันยาวนะคะ!”

 

 

อวี้เฟยเยียนเล่าเรื่องราวที่ตนเองได้พบกับเหลียนจิ่น ได้พบว่าในร่างของเขามีไฟบรรลัยกัลป์อยู่ หลังจากนั้นจึงเข้าร่วมงานชุมนุมประลองโอสถภายหลังจึงได้รับไฟบรรลัยกัลป์มาให้กับท่านตาและท่านยายของตนได้ฟังทั้งหมด

 

 

แต่ว่า อวี้เฟยเยียนก็ได้แอบแต่งเติมเนื้อหาเข้าเล็กไปน้อย

 

 

“เจ้าว่า เจ้าบอกว่าชายชราผมสีเงินที่สอนวิชาแพทย์และวรยุทธ์ให้แก่เจ้าในฝัน เขาบอกเจ้าว่าเดิมทีเจ้าไฟบรรลัยกัลป์เป็นของเจ้าอยู่แล้ว?”

 

 

เมื่อกล่าวถึงตรงนั้น ตี้อู่เจ๋อก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นมา

 

 

“จริงสินะ! ไม่เพียงแต่อาจารย์ แม้แต่เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ก็บอกกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน! ท่านตา ท่านรู้หรือไม่ว่า มันหมายความว่าอย่างไร?”

 

 

อวี้เฟยเยียนแสร้งว่าอยากรู้เสียเต็มประดา แต่ในใจของนางกลับกำลังมีความสุข

 

 

นึกไม่ถึงว่าพอยกชายชราผมสีเงินขึ้นมา ท่านตาและท่านยายกลับเชื่อเสียอย่างนั้น

 

 

‘เช่นนี้ไม่สามารถโทษว่าข้าหลอกลวงพวกท่านนะคะ!’

 

 

“นี่คือมติสวรรค์! มติสวรรค์สินะ!” นอกจากเหตุผลนี้ ตี้อู่เจ๋อก็คิดเหตุผลอะไรอย่างอื่นไม่ออกอีกแล้ว

 

 

“ยายแก่ เจ้าได้ยินแล้วหรือยัง เทพอัคคีจะไม่มีทางทำร้ายเยียนเอ๋อร์!”

 

 

จิ่งเหนียงที่เดิมทียังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก เมื่อได้ยินอวี้เฟยเยียนบอกเล่าเช่นนี้ ตรงกันข้ามกลับเชื่อขึ้นมาเสียนี่

 

 

“ท่านยาย ท่านยายวางใจเถอะค่ะ! จวินจวินอยู่กับข้ามาหนึ่งปีแล้ว นางไม่เคยทำร้ายข้าเลยสักครั้ง ตรงกันข้ามเมื่อถึงยามคับขั้นกลับช่วยเหลือข้าเอาไว้ตั้งหลายครั้ง”

 

 

“เทพอัคคีอาจจะมีทั้งดีและชั่ว! และจวินจวินเป็นเทพอัคคีที่ดี!”

 

 

กล่าวจบ อวี้เฟยเยียนก็ปล่อยเจ้าไฟบรรลัยกัลป์ออกมา

 

 

เมื่อครู่ เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ได้บทสนทนาของท่านตาและท่านยายของอวี้เฟยเยียนหมดแล้ว คราวนี้ถึงได้รีบเข้ามาหาจิ่งเหนียง โดยพาะแล้วกระตุกชายเสื้อของนางเบาๆ

 

 

“ท่านยาย จวินจวินไม่มีทางทำร้ายนายเด็ดขาด! ท่านยายจะต้องเชื่อข้านะ!”

 

 

แม้ว่าเจ้าไฟบรรลัยกัลป์จะผมขาว ดวงตา ผิวพรรณล้วนแต่เป็นสีเขียวใส แต่มองดูแล้ว ก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง

 

 

เทพอัคคีในความทรงจำของจิ่งเหนียงโหดร้ายและน่าหวาดกลัวอย่างที่สุด เคยพบเจอเทพอัคคีที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า!

 

 

ภายใต้ความพยายามของอวี้เฟยเยียนและเจ้าไฟบรรลัยกัลป์ ทำให้จิ่งเหนียงรับปากในที่สุด

 

 

“ขอบคุณท่านยาย!”

 

 

เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ ดีใจเป็นอย่างมาก มันรีบเดินเข้าไปหอมแก้มจิ่งเหนียงฟอดหนึ่งทันที

 

 

จิ่งเหนียงที่เดิมทีคิดว่าแก้มของนางจะต้องถูกเทพอัคคีเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บ ไหนเลยจะคิดว่าไม่เลยสักนิด เมื่อครู่ตอนถูกหอมแก้มนางรู้สึกเพียงความนุ่มนิ่ม ราวกับอุ่นภูมิของคนปกติทั่วไปอย่างไรอย่างนั้น น่าสนุกยิ่งนัก

 

 

เมื่อได้สัมผัสใกล้ชิด จิ่งเหนียงถึงได้วางใจ เชื่อว่าเจ้าไฟบรรลัยกัลป์จะไม่ทำร้ายอวี้เฟยเยียนเป็นแน่

 

 

หญิงชราพยักหน้าเบาๆ ตี้อู่เจ๋อเปิดลิ้นชักหาสมุดเล่มหนึ่งออกมาส่งให้กับอวี้เฟยเยียน

 

 

“บรรพบุรุษเผ่าตันของเราตี้อู่เฉินอี้ เคยได้รับเทพอัคคี ทั้งยังตั้งชื่อให้กับมันว่า ‘จั๋ว’ ”

 

 

“หนังสือเล่มนี้ บรรพชนเขียนขึ้น ท่านได้บันทึกเรื่องราวต่างๆที่ท่านและจั๋วเคยหลอมอาวุธขึ้นมาด้วยกันรวมทั้งประสบการณ์ต่างๆ เพียงแต่ว่าภายหลังไม่มีใครได้ครอบครองเทพอัคคีอีกเลย! เจ้าตั้งใจเรียนรู้ให้มาก มันอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้!”

 

 

“ขอบคุณค่ะ ท่านตา!” อวี้เฟยเยียนกอดหนังสือเอาไว้ ท่าทางซาบซึ้งอย่างที่สุด

 

 

นางเคยได้ยินเรื่องราวของตี้อู่เฉินอี้มาจากตี้อู่เฮ่ออี้ เผ่าสามารถมีที่ยืนเทียบเท่าตระกูลทั้งแปดได้ ก็เพราะตี้อู่เฉินอี้ บรรพบุรุษเผ่าตันเก่งกาจยิ่งนัก!

 

 

“เด็กโง่ รีบกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ! พรุ่งนี้เก็บยาต้องอาศัยพวกเจ้าคนหนุ่มสาวแล้ว! ตี้อู่เจ๋อรีบเอ่ยปาก ‘อวย’ นางทันที”

 

 

“รู้แล้วค่ะ! ท่านตา ก็พักผ่อนให้มากๆนะคะ! ราตรีสวัสดิ์!”

 

 

อวี้เฟยเยียนเดินเข้าไปหาตี้อู่เจ๋อและจิ่งเหนียน หอมแก้มทั้งสองคนละฟอด จากนั้นก็อุ้มหนังสือแล้วกระโดลงจากหน้าต่างไป

 

 

“เด็กดี ไม่ต้องรีบร้อน!”

 

 

ตี้อู่เจ๋อถูกหลานสาวหอมแก้มก็แก้มแดงด้วยความขวยเขิน

 

 

“เห็นไหมเล่าข้าว่าแล้ว เด็กผู้หญิงต่างหากถึงจะดี! ดูเยียนเอ๋อร์ของเราสิ เป็นแม่นางน้อยที่ช่างเอาใจยิ่งนัก!” จิ่งเหนียงยิ้มด้วยความปลาบปลื้ม

 

 

“อื้มๆ ใช่สิ!” ตี้อู่เจ๋อเห็นด้วยกับคำพูดของจิ่งเหนียงยิ่งนัก

 

 

“หากว่าพวกเขามีลูกสาวสักคนก็คงจะดี! ข้าคงจะรักเด็กผู้หญิงมากทีเดียว!”

 

 

อวี้เฟยเยียนกลับถึงห้องก็รีบเร่งเปิดหนังสือที่ได้มาอ่านทันที ปากเรียกว่าหนังสือ แต่จริงๆแล้วมันคล้ายกับบันทึกที่คนเขียนขึ้น เพราะทั้งเล่มล้วนแต่เป็นลายมือของตี้อู่เจ๋อเขียนเอาไว้ทั้งสิ้น

 

 

“แมวน้อย เจ้ายังไม่มานอนอีกหรือ?” ซย่าโหวฉิงเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงกำลังตบพื้นที่ว่างบนเตียงข้างตนเองเบาๆ

 

 

“เจ้านอนก่อนเถอะ ข้าจะอ่านหนังสืออีกสักเดี๋ยว!” อวี้ฟยเยียนปฏิเสธการเชื้อเชิญของซย่าโหวฉิงเทียน

 

 

ซึ่งทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนไม่พึงพอใจกับการนี้เป็นอย่างมาก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เขา ‘ได้ยิน’ ทั้งหมด จึงรู้ดีว่าอวี้เฟยเยียนรู้สึกสนใจในเรื่องของการหลอมอาวุธยิ่งนัก ตอนนี้ถึงได้กระหายอยากจะเรียนรู้ถึงเพียงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่อยากไปรบกวนนาง จึงได้แต่ขัดสมาธิฝึกวิชาต่อไป กว่าที่อวี้เฟยเยียนจะอ่านหนังสือเล่มนั้นจบ ฟ้าก็สว่างเสียแล้วและเนื้อหาในหนังสือนางก็จดจำเอาไว้ในหัวสมองเรียบร้อย

 

 

หลังจากที่ได้อ่านหนังสือแล้ว ก็ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกนับถือในตัวตี้อู่เฉินอี้เป็นอย่างมาก เขาคือนักปฏิบัติที่มีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่มีจินตนาการที่สูงส่ง ท้งยังมีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้นที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด เขานับเป็นประดิษฐ์คิดค้นตัวจริงระดับโลกจริงๆ

 

 

เมื่ออวี้เฟยเยียนคืนหนังสือให้กับตี้อู่เจ๋อนั้น ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

 

 

“เยียนเอ๋อร์ ทำไมหรือ?”

 

 

ตี้อู่เจ๋อยังคิดว่าเนื้อหาในหนังสือเข้าใจยากเกินไป ที่ไหนได้อวี้เฟยเยียนกลับบอกว่าตนเองอ่านจบแล้ว ทั้งยังจดบันทึกเอาไว้แล้วอีกด้วย นั่นทำให้ตี้อุ่เจ๋อยิ่งนับถือหลานสาวของตนเพิ่มมากขึ้นไปอีกขั้น

 

 

“หนังสือเล่มนี้ตามอบให้เจ้า เจ้ารับเอาไว้เถอะ!”

 

 

 ตี้อู่เจ๋อจะยกหนังสือให้กับอวี้เฟยเหยียนแต่กลับถูกนางปฏิเสธ

 

 

“ท่านตา สิ่งล้ำค่าที่บรรพชนของเราเหลือเอาไว้ให้จะต้องสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น!”

 

 

“เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ข้าจดจำเอาไว้ในหัวของข้าหมดแล้ว ข้าเรียนรู้จากมันแล้วนำไปใช้ก็เพียงพอ! รอให้ข้าค้นพบอะไรใหม่ๆ ข้าก็จะทำเฉกเช่นท่านบรรพชน บันทึกทุกอย่างเอาไว้ เพื่อสืบทอดต่อไป!”

 

 

จากน้ำเสียงของอวี้เฟยเยียนไม่ได้เห็นตัวนางเองเป็นคนนอกสำหรับเผ่าตัน ทำให้ตี้อู่เจ๋อพยักหน้าด้วยความดีใจ

 

 

“เจ้าพูดได้ถูกต้อง! ของล้ำค่า จะต้องถูกสืบทอดต่อไป!”

 

 

“ไม่แน่นะว่าต่อไป เผ่าตันของเราอาจจะมีทายาทที่เก่งกาจเช่นเดียวกันกับเจ้า ได้ครอบครองเทพอัคคี สามารถนำพาเผ่าตันไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้!”

 

 

ตาหลานพูดคุยกันด้วยความสุข สมาชิกภายในบ้านเริ่มทยอยตื่นนอน หลังจากที่รับมือเช้าแล้วเสร็จ ทุกคนก็เตรียมตัวที่จะขึ้นเขาไปเก็บยา อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนมั่วแต่ยุ่งอยุ่กับการช่วยเหลือเผ่าตันเก็บยา โดยที่ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า อีกด้านหนึ่งแผนการร้ายกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบๆ

 

 

ครึ่งเดือนก่อน บ้านสกุลเหวิน เหวินหลานลากหลิวอวี๋เยี่ยน คุกเข่าลงตรงหน้าเหวินจู๋

 

 

“พี่ ท่านจะต้องช่วยข้านะ!”

 

 

เหวินหลานสวมใส่ชุดสีขาวสะอาด นางผ่ายผอมลงไปมาก หน้าตาท่าทางอิดโรยทรุดโทรม

 

 

“หากว่าท่านไม่ช่วยข้า ก็ไม่มีใครช่วยข้าได้อีกแล้ว!” เหวินหลานคือน้องสาวสาวฝาแฝดแท้ๆของเหวินจู๋ บัดนี้เมื่อเห็นน้องสาวตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เหวินจู๋จึงรีบประคองนางขึ้นมาทันที

 

 

“น้องพี่ เจ้ารีบลุกขึ้นเร็วเข้า! มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน! “

 

 

“ไม่! พี่ หากท่านไม่ช่วยข้า ข้าก็จะคุกเข่าจนตายอยู่ที่นี่——”

 

 

กล่าวจบเหวินหลาน น้ำตาก็ไหลพรากออกมาเป็นทาง

 

 

หลิวอวี๋เยี่ยนที่อยู่ข้างกายเหวินหลานก็สวมใส่ชุดขาวสะอาดทั้งชุด ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ นางร่ำไห้พร้อมกับหล่าวว่า

 

 

“ท่านลุง ท่านยาไล่ข้ากับท่านแม่ออกจาสกุลหลิว! พวกเราไม่มีบ้านอีกแล้ว!”