ตอนที่ 154-1 ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นคือคนต่ำช้า ที่มาจากแผ่นดินชั้นต่ำ

จำนนรักชายาตัวร้าย

ตามตำนานบ้างก็ว่า เทพอัคคีเจ้าเล่ห์เพทุบาย บ้างก็ว่ามุทะลุ บางก็ว่าไร้ใจ…

 

 

ในความทรงจำของมนุษย์ เทพอัคคีคือสิ่งล้ำค่าที่มิอาจได้มาตามอำเภอใจ ผู้ที่ได้ครอบครองเทพอัคคี เทพอัคคีจะช่วยให้เขาผู้นั้นรุ่งโรจน์อย่างที่สุด ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้คนตกต่ำจนมิอาจฟื้นคืนได้อีกต่อไป

 

 

แต่เทพอัคคีที่อยู่ตรงหน้า ไม่เหมือนกับตำนานเลยแม้แต่น้อย

 

 

ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว คล้ายกับแม่นางน้อยๆคนหนึ่งนี่นา!

 

 

บรรดาพี่ขายของอวี้เฟยเยียนเข้าห้อมล้อมเทพอัคคีด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้ ส่วนสีหน้าท่าทางของบรรดาผู้อาวุโสก็เคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

พวกเขารู้ดีว่า เทพอัคคีคือดาบสองคม หากไม่ใช้การอย่างเหมาะสมก็สามารถเอาชีวิตคนได้ ช่างหลอมผู้ซึ่งหลอมขวานแห่งผานซานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ก็ต้องจบชีวิตภายใต้เปลวเพลิงหลงชิงเช่นกัน

 

 

บรรพบุรุษแห่งเผ่าตัน ตี้อู่เฉินอี้ผู้ซึ่งได้ครอบครองเทพอัคคี สุดท้ายก็มีจุดจบเฉกเช่นเดียวกันกับเทพอัคคีนั่นก็คือสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย…

 

 

สรุปก็คือ ได้ครอบครองเทพอัคคีอาจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไป

 

 

“เยียนเอ๋อร์ นี่คือไฟอะไรหรือ?” ตี้อู่เจ๋อกล่าวถาม

 

 

“ไฟบรรลัยกัลป์”

 

 

‘ไฟบรรลัยกัลป์…” ฟังดูแล้วร้ายกาจยิ่งนัก

 

 

ตี้อู่เจ๋อไม่ ‘หลงกล’ ท่าทางที่น่ารักน่าเอ็นดูนั้นของเจ้าโลลิต้าน้อยแต่สักนิด เขายังเป็นห่วงว่า อวี้เฟยเยียนจะไม่รู้วิธีการควบคุมมัน แล้วจะก่อให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายขึ้น

 

 

เมื่อเห็นตี้อู่เจ๋อเป็นกังวล อวี้เฟยเยียนจึงยิ้มแล้วเอ่ยปลอบเขาว่า

 

 

“ท่านตา จวินจวินเป็นเด็กดีและเชื่อฟังคำข้าทุกอย่าง พวกเราคือเพื่อนที่ดีต่อกัน!”

 

 

เมื่อได้ยินอวี้เฟยเยียนเอ่ยถึงชื่อของตัวเองเข้า เจ้าไฟบรรลัยกัลป์ก็รีบแจ้นเข้ามาหาอวี้เฟยเยียนด้วยท่าทางร่าเริง

 

 

“เอ๋ ท่านปู่!”

 

 

เจ้าไฟบรรลัยกัลป์มองสำรวจตี้อู่เจ๋อตั้งแต่บนยันล่าง พลันมันก็โผเข้าไปอ้อมอกของทันที

 

 

“โอ้โห จากจากร่างของท่านปู่หอมหวนยิ่งนัก! กลิ่นหอมของยาทั้งนั้นเลย! ข้าชอบ!”

 

 

ถูกเจ้าเปลวไฟสีน้ำเงินที่กำลังลุกโชนล้อมหน้าล้มหลัง ทำให้ตี้อู่เจ๋อตกใจไม่น้อย

 

 

“นี่คือเทพอัคคีเชียวนะ!” ไม่ทันตั้งตัวเพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถแผดสรรพสิ่งให้เป็นกลายเป็นเถ้าธุลีได้ทันที

 

 

แต่ทว่า เจ้าไฟบรรลัยกัลป์มิได้มีเจตนาจะทำร้ายตี้อู่เจ๋อแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำท่าทางราวกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้นออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของตี้อู่เจ๋อ

 

 

“ท่านตา จวินจวินชอบท่านนะ! นางชื่นชอบกลิ่นกลิ่นหอมของยาบนตัวของท่าน?”

 

 

“ชอบ! จวินจวินชอบท่านปู่ยิ่งนัก!”

 

 

เจ้าไฟบรรลัยกัลป์พยักหน้าหงึกหงัก

 

 

เทพอัคคีกลายร่างเป็นมนุษย์ก็ทำให้คนตื่นตะลึงมากพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังเข้าภาษามนุษย์ มีความคิดความอ่านอีก ยิ่งทำให้ทุกคนตื่นตะลึงมากขึ้นไปอีก

 

 

ตี้อู่เจ๋อที่เดิมทียังเป็นห่วงอวี้เฟยเยียนอยู่ไม่น้อย ตอนนี้เมื่อเห็นว่านางสามารถอยู่ร่วมกันกับเจ้าไฟบรรยัลกัลป์ได้อย่างสันติ และเทพอัคคีก็เชื่อฟังอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างดี เขาก้ค่อยๆเบาใจ

 

 

เห็นทีว่า อวี้เฟยเยียนเด็กคนนี้จะมีวาสนายิ่งนัก!

 

 

“เรื่องที่เยียนเอ๋อร์มีเทพอัคคีในคอรบครอง ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!” ตี้อู่เจ๋อกำชับ

 

 

ทั่วทั้งเมืองอู๋โยว ไม่เคยได้ยินว่าใครมีเทพอัคคีในครอบครอง

 

 

หากว่าเรื่องที่อวี้เฟยเยียนมีเทพอัคคีในครอบครองแพร่งพรายออกไป จะนำมาซึ่งความอยากได้อยากมีจากผู้คนโดยทั่ว อาจจะนำภัยมาสู่ตัวนางก็เป็นได้

 

 

แม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะสำเร็จถึงขั้นปราชญ์ราชันย์ แต่เขาก็มิอาจอยู่กับอวี้เฟยเยียนได้ตลอดเวลา จึงต้องมีเวลาในขณะที่เขาละเลยไปบ้าง

 

 

“ครับ ท่านพ่อ!”

 

 

“ท่านพ่อ วางใจเถอะ! พวกเรารู้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด!”

 

 

นานๆทีเจ้าไฟบรรลัยกัลป์จะได้ออกมาสูดอากาศสักที อวี้เฟยเยียนจึงได้ให้นางได้ออกไปเดินข้างนอก เจ้าโลลิต้าน้อยกล้าหาญชาญชัยอยู่แล้ว มันมีความยากรู้อยากเห็นในเรื่องของโลกมนุษย์นี้ยิ่งนัก ทั้งมันยังได้มาพบกับครอบครัวของอวี้เฟยเยียนที่น่ารักและเป็นมิตรเช่นนี้แล้วด้วย เพียงไม่นานมันก็ผ่อนคลายขึ้นมาทีเดียว

 

 

ลูกชายของตี้อู่เฮ่ออี้ จวินเกอเอ๋อร์เพิ่งเคยเห็นคนตัวสีเขียวเป็นครั้งแรก เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร จึงได้แต่ยื่นหมั่นโถวส่งให้กับเจ้าไฟบรรลัยกัลป์

 

 

“ให้ข้าหรือ? “

 

 

เจ้าไฟบรรลัยกัลป์เบิ่งตากว้างจ้องอมงเด็กน้อย

 

 

“กินสิ!” จวินเกอเอ่อร์กล่าวขึ้น

 

 

“ฮ่า——” เจ้าเปลวไฟตวัดหมั่นโถวในมือของจวินเกอเอ๋อร์เข้าไป ไม่นาน ห้องทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้

 

 

หมั่นโถวดีๆ ถูกเผาไหม้จนดำเป็นตอตะโก

 

 

“ดี!” จวินเกอเอ๋อร์เป็นเด็กน้อย จึงไม่รู้ว่าเทพอัคคีที่อยู่ตรงหน้าน่ากลัวเพียงใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสนุกสนานด้วยซ้ำ

 

 

เขาถือมีดอันน้อยส่งให้เจ้าไฟบรรลัยกัลป์อย่างมีความสุข เปลวไฟสีน้ำเงินหลอมละลายมีดลเมเล็กนั้น ควันสีเขียงพวยพุ่งออกมา มีเล่มเล็กถูกหลอมละลายกลายเป็นน้ำโลหะ

 

 

เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านั้นก็ทำให้ทุกคนเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ

 

 

เทพอัคคีร้ายกายยิ่งนัก!

 

 

เปลวไฟที่ร้อนจริงๆ!

 

 

ความร้อนขนาดนี้หากใช้กับร่างกายของมนุษย์ละก็ เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้ทุรนทุรายยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

 

 

“เมื่อครู่ข้าก็ได้สัมผัสกับเทพอัคคี แล้วเพราะอะไรถึงไม่รู้สึกร้อนเลยละ?” ตี้อู่หรงเจ๋อสัมผัสที่ปลายนิ้วของตนเองเบาๆ สิ่งที่นิ้วของเขาสัมผัสได้เมื่อครู่คืออุณภูมิคนปกตินี่นา

 

 

“เพราะว่าจวินจวินควบคุมความร้อนเอาไว้ เพราะพวกท่านคือญาติของข้า จวินจวินจะไม่มีทางทำร้ายพวกท่านเด็กขาด!”

 

 

อวี้เฟยเยียนอธิบาย

 

 

“ใช่ๆ! ข้าเฉลียวฉลาดยิ่งนัก รู้ว่าใครคือคนดี ใครคือคนเลว!”

 

 

เจ้าไฟบรรลัยกัลป์อ้าปากพะงาบๆ แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินในสิ่งที่มันพูด แต่ท่าทางอ้าปากพะงาบๆของมันก็แลดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก

 

 

ทุกคนต่างก็ไม่เคยพบเห็นเทพอัคคีที่น่าสนใจเช่นนี้มาก่อน เมื่อเห็นเจ้าไฟบรรลัยกัลป์เป็นมิตรเช่นนี้ ก็ไม่บังเกิดความกลัวเทพอัคคีอีกต่อไป

 

 

“ท่านตา ข้ามีเทพอัคคี ก็สามารถหลอมอาวุธได้แล้วใช่หรือไม่?”

 

 

อวี้เฟยเยียนมองมายังตี้อู่เจ๋อ

 

 

นางไม่รู้กรรมวิธีการหลอมอาวุธ ทั้งยังไม่มีวัสดุอีกด้วย หากว่าสามารถมีหนังสือที่เกี่ยวข้องกบการณ์หลอมอาวุธเหล่านี้ให้นางได้ศึกษาเรียนรู้ก็คงจะดีมากทีเดียว!

 

 

“มีเทพอัคคี ไม่หลอมอาวุธก็คงจะเสียดายของล้ำค่ายิ่งนักเชียว! “

 

 

ตี้อู่เจ๋อกล่าวได้ถึงตรงนี้ จิ่งเหนียงที่อยู่ข้างๆก็ไอขัดขึ้นสองครั้ง

 

 

“เจ้าแก่ มีเรื่องอะไร รอให้เก็บยาแล้วเสร็จค่อยว่ากันเถอะ! เจ้าดูสิ นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พวกเรายังต้องตื่นแต่เช้าไปเก็บยาอีกมิใช่หรือ?”

 

 

ผู้เป็นยายร้องเตือนขึ้นมา ทำให้อวี้เฟยเยียนเพิ่งจะค้นพบว่าด้านนอกมืดสนิท เข้าสู่ช่วงดึกสงัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

“ดี! ทุกคนกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!”

 

 

ตี้อู่เจ๋อโบกไม้โบกมือ

 

 

“รีบกลับไปพักผ่อนเร็วเข้า! พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า ไม่คลาดช่วงเวลาเก็บยาไป!”

 

 

รอจนกระทั่งทุกคนกลับออกไปหมดแล้ว จิ่งเหนียงค่อยเดินเข้าไปหาตี้อู่เจ๋อ

 

 

“เจ้าเฒ่า เจ้าคงไม่คิดจะมอบหนังสือที่บรรพชนเหลือเอาไว้ให้กับเยียนเอ๋อร์ใช่ไหม!”

 

 

เมื่อจิ่งเหนียงเอ่ยขึ้น ตี้อู่เจ๋อจึงพยักหน้า

 

 

“ใช่นะสิ! ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่พอดี”

 

 

“ข้าไม่เห็นด้วย!” จิ่งเหนียงนั่งลงอย่างไม่เง้างอน สีหน้าไม่น่ามองเลยแม้แต่น้อย

 

 

“บรรพชนของเราได้ครอบครองเทพอัคคี แล้วผลสุดท้ายจุดจบของท่านเป็นอย่างไร เจ้าเองก็รู้ดี”

 

 

“เสี่ยวเยียนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน พวกเรามีหลานสาวเรียบร้อยน่ารักคนนี้เพียงคนเดียว เจ้าจะผลักนางไปสู่กองไฟได้อย่างไรกัน!”

 

 

“ข้าก็เห็นว่าเยียนเอ๋อร์สนใจในเรื่องของอาวุธถึงเพียงนี้ ถึงได้ตั้งใจจะมอบหนังสือเล่มนั้นให้แก่นาง”

 

 

“อีกอย่าง เมื่อครู่เจ้าเองก็เห็นแล้ว ว่าเยียนเอ๋อร์สามารถควบคุมไฟบรรลัยกัลป์ได้ แล้วจะเหมือนกับบรรพชนได้อย่างไรกัน! คนที่ก่อนหน้านี้มีเทพอัคคีไว้ในครอบครอง สามารถอยู่ร่วมกันกับเทพอัคคีได้เป็นอย่างดีเช่นนี้หรือเปล่าละ? เป็นเพื่อนกันอย่างนี้ไหม?”

 

 

“แต่ว่า ผู้ที่ครอบครองเทพอัคคี มีคนไหนบ้างที่ได้พบกับจุดจบที่ดี! เมื่อกล่าวถึงตรงนั้น ขอบตาของจิ่นเหนียงก็เริ่มร้อนผ่าว”

 

 

“เทพอัคคีเจ้าเล่ห์เพทุบายที่สุด เยียนเอ๋อร์ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เกิดถูกเทพอัคคีหลอกลวงขึ้นมาละ? สรุปแล้วเรื่องนี้ ข้าไม่เห็นด้วย! เยียนเอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของข้า! หากนางเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว”

 

 

จิ่งเหนียงถึงกับกล่าวเช่นนี้ ทำให้ตี้อู่ลังเลอยู่ไม่น้อย ก็เป็นเรื่องจริง นับตั้งแต่โบราณมา เมืองอู๋ดยวเคยปรากฎถึงผู้ที่ได้ครอบครองเทพอัคคี

 

 

ผู้คนที่โชคดีเหล่านี้ ใช้เทพอัคคีสร้างปาฏิหาริย์ แต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยมือของเทพอัคคี

 

 

ตี้อู่เฉินอี้ที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วว่าถูกเทพอัคคีแผดเผาจนตาย ยิ่งมิต้องพูดถึงบรรดาช่างหลอมเหล็กเหล่านั้นที่ใช้ประโยชน์จากเทพอัคคีมาหลอมอาวุธเลย

 

 

เทพอัคคี ไม่มีทางถูกมนุษย์ควบคุมได้ง่ายๆ

 

 

โดยเฉพาะเทพอัคคีของอวี้เฟยเยียน ไม่เพยงแต่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ทั้งยังเฉลียวฉลาดแสนรู้ถึงเพียงนี้

 

 

มันจะเชื่อฟังคำสั่งเพียงต่อหน้า แต่ในใจของมันอาจจะกำลังคิดหาวิธีเพื่อที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของอวี้เฟยเยียนอยู่ก็เป็นได้?

 

 

“ก็ได้ ก็ได้! เช็ดน้ำตาเสียสิ!” เมื่อเห็นจิ่งเหนียงร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ตี้อู่เจ๋อก็ทอดถอนใจออกมาพร้อมทั้งหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้กับนาง

 

 

“ยายแก่ เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลย! ข้าว่าเสี่ยวเยียนเป็นเด็กที่มีความความอ่านเป็นของตัวเอง รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ข้าค่อยถามความคิดเห็นของนางสักหน่อย”

 

 

“ท่านตา ท่านยา มีเรื่องอะไรที่ต้องการถามความคิดเห็นข้าหรือคะ?” ในตอนนั้นก็อวี้เฟยเยียนโผล่ศีรษะเข้ามาจากทางช่องหน้าต่างไม้ไผ่

 

 

“ไม่สู้ถามข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย!”

 

 

จู่ๆอวี้เฟยเยียนก็โผล่มาทำให้สองสามีภรรยาตกใจเป้นอย่างมาก ห้องนอนของพวกเขาอยู่ที่ชั้นสาม ดังนั้นเมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนโผล่ศีรษะเข้ามาทางหน้าต่าง จิ่งเหนียงจึงรีบไปดึงอวี้เฟยเยียนเข้ามาในห้องทันที

 

 

“รีบเข้ามาเร็วเข้า! ประเดี๋ยวหกล้มไป!”

 

 

“ท่านยาย ท่านยายลืมแล้วหรือว่าข้าราชาอาวุโส! ความสูงเพียงเท่านี้ไม่ได้ยากเย็นสำหรับข้าเลยแม้แต่น้อย!” อวี้เฟยเยียนยิ้มทะเล้นให้ขณะที่ประคองผู้เป็นยาย

 

 

แท้ที่จริงแล้ว นางนั้นรู้ดีกว่า ไม่ว่านางจะวรยุทธ์สูงส่งสักเพียงไหน แต่ในสายตาของท่านตาและท่านยายแล้ว ก็ยังคงเห็นนางเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ

 

 

“เยียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้ายังไม่เช้านอนอีก?” ได้เจอหน้าหลานสาว แน่นอนว่าตี้อู่เจ๋อย่อมดีใจยิ่งนัก

 

 

จริงๆแล้ว เขาแทบอยากจะให้อวี้เฟยเยียนตัวอยู่ในสายตาของตนเองตลอดก็ว่าได้ แม้เขาจะมีลูกและหลานมากมาย แต่พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ชาย ซึ่งตี้อู่เจ๋อเห็นหน้าเสียจนเบื่อ

 

 

ตอนนี้มีหลานสาวคนสวยที่ร่าเริงน่ารัก ทำให้ตี้อู่เจ๋อหัวใจแทบจะละลายไปหมด

 

 

เด็กผู้หญิงนะดีกว่า เอาใจใส่เขายิ่งนัก!

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวี้เฟยเยียนที่เหมือนกันกับตี้อู่เยียนเอ๋อร์ราวมกับพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียน ก็เสมือนกับได้เห็นบุตรสาวของตัวเอง บุตรสาวที่เมื่อก่อนเรียบร้อยน่ารักเติบโตขึ้นมาในสายตาของเขา ทำให้ตี้อู่เจ๋อยิ่งเศร้าใจยิ่งนัก