GGS:บทที่ 866 ของขวัญธรรมดา
ในช่วงเย็น ณ แมนชั่นตระกูลหวัง
รถหรูคันหนึ่งได้เข้ามาจอดอยู่ลานจอดรถของตระกูลหวัง ในนี้มีรถหรูอยู่หลายคัน บางคันเองก็ดูเก่าเล็กน้อย
แต่หากเป็นคนที่คอยติดตามข่าวสารบ้านเมืองซักหน่อยล่ะก็ เมื่อพวกเขาเห็นป้ายทะเบียนจะต้องถึงกับต้องตกใจจนตัวสั่นอย่างแน่นอน เพราะเจ้าของรถแต่ละคันล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตกันทั้งนั้น
ซุนหยูเฮงที่พึ่งจะมาถึงนั้น เมื่อเขาได้เห็นซูจิ้งกำลังยืนรับแขกอยู่กับหวังซือหยา หวังจ้าว หวังจุ่น และหวังเจิ้งอยู่ในงานถึงกับต้องขมวดคิ้ว
นี่หมายความว่าในสายตาของตระกูลหวังอันสูงส่งแล้วซูจิ้งนั้นไม่ได้เป็นแขกคนหนึ่ง แต่เห็นเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลจริงๆในฐานะคุณชายสี่
เรื่องนี้ทำให้ซุนหยูเองนั้นถึงกับไม่พอใจอย่างที่สุด เขาไม่คิดว่าซูจิ้งนั้นจะสามารถได้รับการยอมรับเร็วขนาดนี้มาก่อน
หากว่าเขานั้นสามารถเข้าหาหวังซือหยาจนเป็นลูกเขยตระกูลหวังได้ล่ะก็ เขาต้องระวังซูจิ้งเป็นพิเศษอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยๆเขาก็ยังมีอำนาจของตระกูลคอยหนุนหลังอยู่ ยังไงซะซูจิ้งก็ไม่มีทางเทียบเขาได้
หลี่เทียนเฮอและหลี่เจิ้งเองก็ได้มาถึงงานแล้ว ซูจิ้งและหวังจ้าวได้รีบเข้าไปต้อนรับทั้งคู่ในทันที แม้แต่หวังซวนจี้เองก็ยังมารับหลี่เทียนเฮอด้วยตัวเอง นั่นก็เพราะว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ในระหว่างนี้หวังจ้าวก็ได้แนะนำซูจิ้งให้กับหลี่เจิ้งได้รู้จักกัน แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการพูดเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจยาสูบแต่อย่างใด
เพราะยังไงซะงานเลี้ยงก็ยังไม่ทันเริ่มตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีนักในการพูดคุยเรื่องแบบนี้
หวังจุ่นและหวังเจิ้งเองก็ได้พาแนะนำซูจิ้งไปแนะนำให้คนใหญ่คนโตบางคนที่สนใจในความเก่งกาจของซูจิ้งจนต้องขอให้ทั้งสองพาไปแนะนำให้รู้จักให้จงได้
พวกเขานั้นตั้งการรู้จักนายน้อยคนที่สี่ของตระกูลว่าเขานั้นเป็นคนหนุ่มที่มีสามเศียรหกกรอย่างที่เขาลือกันจริงรึเปล่า
ในขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว แขกก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และงานเลี้ยงเองก็ได้เริ่มขึ้นแล้วเหมือนกัน
ในงานนี้มีกำหนดการอยู่ตามธรรมเนียมของตระกูลอยู่อย่างชัดเจน พวกเขามีลำดับการให้ของขวัญโดยจะให้เหล่าลูกชายและลูกสาวของหวังซวนจี้ได้มอบของขวัญและอวยพรวันเกิดก่อน
ลำดับดังกล่าวประกอบด้วยหวังจุ่น หวังเจิ้ง หวังจ้าว หวังซือหยา ซูจิ้งเองก็ถูกให้เข้ามาร่วมตรงนี้ แล้วตามด้วยซุนจื่อ และหลานๆบางคนเข้ามามอบของขวัญและอวยพรวันเกิดได้แก่ หวังหลี่ หวังยี่ หวังรุ่ย และคนอื่นๆ
ตอนนี้บรรยากาศในงานช่างดูอบอุ่นอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าบรรดาหลานๆของเขานั้นเมื่อได้รู้ลำดับพิธีการแล้วต่างก็โวยวายและต่างแย่งให้ของขวัญก่อนใครเพื่อน ซึ่งหนึ่งนั้นก็มีหวังรุ่ยซึ่งหนุ่มที่สุดในบรรดาหลานๆอยู่ด้วย
ภาพนี้ช่างน่ารักจนทำให้หวังซวนจี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและยิ้มให้กับหลานๆอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นก็ตามงานฉลองวันเกิดทั่วๆไปก็คือการเป่าเค้กวันเกิดและมีนักดนตรีเล่นเพลงวันเกิดในระหว่างงาน
พร้อมทั้งเริ่มมีการให้ของขวัญ ถึงแม้จะมีการประกาศธรรมเนียมของตระกูลไปแล้วแต่ก็ยังมีแขกอีกหลายคนที่ต้องการมอบของขวัญก่อนคนอื่น
ถึงแม้จะมูลค่าไม่สูงมากนักเพราะหลายๆคนเองก็เป็นคนใหญ่คนโตในราชการจึงไม่สามารถให้ของขวัญมูลค่าสูงได้เนื่องจากจะกลายเป็นข้อครหาทีหลัง
ซึ่งบรรดาลูกๆอย่างหวังจุ่น หวังเจิ้ง หวังจ้าว หวังซือหยา และคนอื่นๆเองก็ไม่ได้ว่าอะไรและยอมให้พวกเขามอบของขวัญวันเกิดไปก่อน ใครจะไปกล้าว่าได้กัน
อีกอย่างของแต่ละอย่างนั้นไม่ได้ตรงตามรสนิยมของหวังซวนจี้แม้แต่น้อยแต่ยังไงซะคนเหล่านี้ก็ยังเป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น อีกอย่างเหล่าลูกๆไม่ได้สนใจอะไรมากเพราเชื่อว่าของขวัญของตัวเองดีกว่าอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น
หวังจุ่นมอบไปป์หยกดำให้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ รูปทรง ลายละเอียด ดีไซน์ และรายละเอียดทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นงานชั้นเลิศที่มีมูลค่าอย่างน้อยๆก็หนึ่งแสนหยวนทีเดียว
หวังจ้าวมอบเป็นงานภาพวาดของฉิไป๋ชี่อัจฉริยะบุคคลด้านภาพวาดสีน้ำของจีน โดยภาพนี้ถูกประเมินไว้ว่ามีมูลค่าเกือบๆหนึ่งล้านหยวน
หวังซือหยาได้มอบเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ฉิงให้ ซึ่งมีราคาหลายล้านหยวนเลยทีเดียว
หลังจากที่บรรดาลูกแท้ๆมอบของขวัญไปแล้ว ถัดมาก็คือคิวของคุณชายสี่ให้ตระกูลหวังอย่างซูจิ้ง
แต่ทันทีที่ซูจิ้งขยับตัวเพื่อเตรียมจะมอบของขวัญ ทำให้หลายๆคนถึงกับอยู่ไม่สุข ส่วนใหญ่คนที่อยู่ไม่สุขนี้จะเป็นคนใหญ่คนโตและคนที่รู้จักชื่อเสียงของซูจิ้งเป็นอย่างดี จะเรียกว่าเกือบโกลาหลเลยก็ว่าได้
สามารถบอกได้เลยว่าบรรยากาศในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ยกตัวอย่างเช่นตอนหวังจ้าวและหวังซือหยา ของขวัญของทั้งสองคนนั้นแม้จะทำให้คนในงานลายๆคนตกตะลึงไปพักใหญ่
มีคนรวยหลายๆคนเองก็ให้ความสนใจอยู่เหมือนกันแต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก
แต่กับซูจิ้งนั้นทุกคนต่างก็มั่นใจว่าของขวัญของเขานั้นล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา ของทุกอย่างของซูจิ้งล้วนแล้วแต่เกินจากความรู้และประสบการณ์ของพวกเขาที่จะเคยเห็นมาก่อน
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าฉายาเจ้าแห่งของขวัญของอาจิ้งจะดังมาไกลถึงเมืองหลวงเลยนะเนี่ย” หวังซวนจี้เองก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
แม้แต่หวังจุ่นและหวังเจิ้งเองก็ยังต้องเฝ้ามองอย่างสนใจ แต่กับหวังซือหยาและหวังจ้าวนั้นเกิดความรู้สึกอยู่ลางๆว่าทั้งสองจะต้องพ่ายแพ้ในเรื่องของขวัญนี้เป็นแน่
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองนั้นจะบอกซูจิ้งไปแล้วว่าไม่ต้องมอบสุดยอดของขวัญให้พ่อของพวกเขา
แต่ทั้งสองก็ยังรู้นิสัยซูจิ้งดีอีกเช่นกันว่าซูจิ้งนั้นไม่มีทางฟังทั้งสองอย่างแน่นอนเพราะไม่ใช่แนวของเขา ถ้าเขายอมทำตามง่ายๆเขาก็ไม่ควรได้ฉายาเจ้าแห่งของขวัญแล้วล่ะ
เมื่อเห็นซูจิ้งเดินขึ้นไปด้วยมือเปล่าแล้ว ทั้งสองได้มีความคิดแวบเข้ามาในหัวทันทีว่าของๆซูจิ้งนั้นควรจะเป็นของที่เสื่อมค่าเมื่อเขานั้นแตะต้องมันด้วยมือตัวเอง
“อย่างที่เขาพูดว่าได้ยินไม่สู้ได้เห็นจริงๆ ฉันเองขนาดมีประสบการณ์แบบนี้จากในงานวันเกิดของตัวเองมาแล้วก็ตาม แต่ฉายาของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างสุดยอดจริงๆ” หลี่เทียนเฮอได้ถอนหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าแห่งของขวัญ?” เด็กน้อยหวังยี่หลุดขำออกมาจนต้องเอามือปิดปากของเธอในทันทีเมื่อได้ยินฉายาของซูจิ้งก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งว่าฟังผิดไปรึเปล่า
“เหอเหอเหอ ทำเป็นขำไปเถอะ เธอเห็นหน้าลุงสามกับป้ารึเปล่าล่ะ ฉันกลัวว่าของขวัญของพวกเขาจะกร่อยไปเลยเมื่อเทียบกับของที่ลุงสี่เอามา ฉันเคยเห็นวีดิโอที่เขามอบของขวัญออกมาแล้วนะ เรียกได้เลยว่ายังกับเห็นผีแน่ะ ทันทีที่ลุงสี่เอาของขวัญออกมา ของขวัญต่างๆภายในงานล้วนแล้วแต่ไร้ค่าไปเลย แล้วนี่หลังจากนี้เราจะกล้าให้ของได้ไงเนี่ย” หวังหลี่กระซิบบอกหวังยี่
“ขนาดนั้นจริงดิ” หวังยี่ถามออกมาด้วยสายตาเบิกกว้าง
“ไม่เชื่อเดี๋ยวก็รอดูได้เลย ฉันรู้สึกแบบนั้นได้จริงๆ” หวังหลี่เองเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองแบบสุดๆ
หลังจากที่ได้ยินทั้งสองพูดกันซูจิ้งก็ถึงกับพูดไม่ออกพลางคิดไปว่า นี่ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญเลยนะ จะรีบกระวีกระวาดออกมาทำไมกันเนี่ย เขาเองก็รู้สึกคันปากจนต้องพูดออกมาว่า “เดี๋ยวสิ อย่าพึ่งรีบพูดแบบนั้นออกมา ครั้งนี้ฉันเอาของธรรมดามาจริงๆนะ”
หวังซือหยาและหวังจ้าวเมื่อได้ยินทั้งสองได้เหลือกตามองบนมองในทันที พร้อมกับรู้ในทันทีว่าพวกเขาทั้งสองจบสิ้นแล้ว
นั่นก็เพราะยิ่งซูจิ้งพูดออกมาแนวนี้มากเท่าไหร่ ของขวัญที่เขานำออกมานั้นไม่เคยจะธรรมดาเลยสักครั้ง ครั้งนี้เองก็สมควรทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการนี้อีกครั้งแน่นอนแล้ว
“จริงๆนา ของขวัญที่ฉันเตรียมมาในครั้งนี้ก็แค่การแสดงมายากลเล็กน้อยๆแค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“มายากล” ทุกคนในที่นี้ต่างก็อึ้งและประหลาดใจออกมาพร้อมกันในทันทีที่ได้ยิน
เมื่อซูจิ้งพูดจบเขาได้หันหลังและเดินออกมา ไม่ได้ให้ของขวัญจนสร้างแรงกระเพื่อมให้โลกนี้ดั่งตามฉายาของเขาแต่อย่างใด ว่าแต่เขานั้นเล่นมายากลได้ด้วยเหรอ
“มายากลอะไรล่ะนั่น รีบแสดงให้ดูสิ” หวังซวนจี้ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างสนใจใคร่รุ้
“มายากลของผมนี้เล่นได้เฉพาะที่สวนหน้าบ้านเท่านั้นครับ หากอยากเห็นจริงล่ะก็ขอให้ตามผมมาก็แล้วกัน”
ซูจิ้งพูดออกมา
หลังจากนั้นภายใต้การเดินนำของหวังซวนจี้ ทุกคนได้เดินออกไปจากบ้านไปยังสวนหน้าบ้าน ซึ่งตอนนี้สวนหน้าบ้านได้เปิดไฟสว่างไปทั่ว
ซูจิ้งได้เดินไปยังพื้นหญ้าหน้าบ้าน เขานั้นได้อยู่ข้างๆหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ซูจิ้งได้หยิบผ้าบางๆสีดำออกมาจากในกระเป๋า ก่อนที่จะโยนขึ้นไปคลุมก้อนหินนั้นจนมิดในทีเดียว
“เดี๋ยวนะ ทำไมสวนบ้านเราถึงได้มีก้อนหินอันเป้งแบบนี้กันล่ะ” หวังซือหยาถามออกมา
“ไม่รู้เหมือนกันแหะ ฉันเองก็อยากจะถามเหมือนกัน ฉันก็นึกว่ามีใครสั่งให้คนส่งหินมาประดับสวนซะอีก”
หวังจุ่นถามออกมา
ทั้งหวังจ้าว หวังเจิ้ง และคนอื่นๆในตระกูลหวัง ต่างก็ส่ายหัวไม่รู้ไม่เห็นกันไปหมด
ทุกๆคนในงานต่างก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าซูจิ้งนั้นน่าจะแอบแวบออกมาเตรียมไว้โดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้ หินก้อนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในอุปกรณ์มายากลที่เขาว่ามาเมื่อกี้
“เอาล่ะนะทุกคน จับตาดูไว้ให้ดีๆนะครับ” ซูจิ้งพูดจบเขาก็ค่อยๆยกมือขึ้นไปจับผ้าสีดำนั้นอย่างนุ่มนวลแล้วค่อยๆดึงผ้าออกมาและจัดการโยนทิ้งไป ทุกคนที่ได้เห็นว่าอะไรอยู่ใต้ผ้าต่างก็ตกตะลึงใจเต้นระรัวในทันที
โดยทั่วไปแล้ว หากคนทั่วไปได้ยินคำว่ามายากลต่างก็ต้องนึกถึงชุดของการแสดงหรือไม่ก็เกริ่นพูดเว่นเว้อเพื่อดึงดูดสายตาก่อนที่จะทำอะไรออกมาแบบฉับพลันนั่นสิถึงเรียกว่ามายากล
แต่สิ่งที่ซูจิ้งทำนั้นเป็นเพียงแค่นำผ้าสีดำมาคลุมและดึงออกจนทำให้เห็นว่าอะไรอยู่ข้างในนั้นเองจริงๆ แต่ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ถึงกับต้องมองหน้ากัน หวังยี่ หวังลี่ และอีกหลายๆคนที่ได้เห็นต่างก็อุทานออกมาดังลั่น และก็มีอีกหลายๆคนที่ตกใจจนหายใจดังเฮือกออกมา