GGS:บทที่ 867 ดินแดนแห่งภูต
ในสายตาประชาชีตอนนี้ ทันทีที่ผ้าผืนสีดำถูกซูจิ้งดึงออกไป แม้แต่ก้อนหินก้อนยักษ์ก้อนนั้นก็ได้หายไปเช่นเดียวกัน แต่กลับปรากฎออกมาเป็นงานแกะสลักไม้สุดแสนจะใหญ่ยักษ์ที่มีขนาดสูงกว่าสองเมตรและกว้างกว่าห้าเมตร ซึ่งมันมีขนาดพอๆกับหินก้อนยักษ์ก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็นิ่งอึ้งไปกันเป็นแทบ
“พระเจ้า หินก้อนนั้นไปไหนแล้วน่ะ” หวังยี่ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“แล้วงานแกะสลักนี้มาได้ยังไงกัน” หวังหลี่เองพูดในขณะที่เดินสำรวจไปรอบๆรากไม้อันใหญ่ยักษ์
“ของใหญ่และหนักขนาดนั้นถูกเปลี่ยนในทันที เป็นไปได้ยังไงกัน” หวังจุ่นเองก็ได้พูดขณะที่มองซ้ายบ่ายขวาแต่ก็ไม่เห็นว่ามีร่องรอยบ่งบอกว่าใช้วิธีการไหนกันแน่
“ช่างเป็นมายากลที่วิเศษนัก” หลี่เทียนเฮอพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นว่าทำยังไงก็เถอะ แต่ก้อนหินก้อนนี้ถูกส่งมาโดยรถเมื่อช่วงเย็นเอง น่าจะเป็นอาจิ้งที่ให้พวกเขามาส่ง แต่ฉันดูเองเมื่อตอนนั้นก็ว่าเป็นหินธรรมดาเองนา” หวังซวนจี้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ซุนหยูเฮงเองถึงแม้ว่าเขานั้นจะรังเกียจที่เห็นซูจิ้งนั้นโดดเด่น เขาเองก็อยากจะหักหน้าของซูจิ้งจนเดินมาสำรวจรอบๆรากไม้นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่เจออะไร
ถ้าจะเจอก็เพียงรอยหญ้าที่บ่งบอกว่าก่อนหน้านี้มีหินก้อนใหญ่วางเอาไว้จริงๆก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นงานแกะสลักไม้แบบนี้
เขาถึงขนาดเอาผ้าที่ซูจิ้งโยนออกไปกองก่อนหน้านี้ออกมากางและพยายามวิ่งให้ผ้าลู่ลมดูเพื่อดูว่าในผ้ามีกลไกอะไรซ่อนเอาไว้รึเปล่า
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่สุดยอดนักมายากลมาดูเองก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตก เอาจริงๆเขาไม่ได้ใช้ทริคมายากลหรือเวทมนต์อะไรเลย เขาเพียงแค่ใช้กระเป๋ามิติเก็บเก็บหินเข้าไป แล้วนำรากไม้นี้ออกมา
เขานั้นแค่ใช้ผ้าเพื่อดึงดูดสายตาคนอื่นและทำให้มันดูเป็นมายากลจริงๆก็เท่านั้นเอง
แต่ด้วยการที่ว่าไม่มีร่องรอยที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นคือมายากล แถมที่นี่เองก็ไม่ได้มีห้องอะไร นี่จึงทำให้ทุกๆคนในที่นี้ถึงกับพิศวงกันเลยทีเดียว
มันเหมือนกับในรายการมายากล(สุดยอดพิศวง)ที่มีใครหลายๆคนพยายามจะผลักก้อนหินใหญ่ยักษ์ แต่อยู่ๆซูจิ้งแค่เข้ามาในห้องแล้วให้ทุกคนปิดตาพอลืมตามันก็หายไปแล้ว
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมทุกคนก็ยังคิดว่ามันต้องมีทริคอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ
เอาจริงๆที่พวกเขานั้นคิดว่าเป็นมายากลจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
นั่นก็เพราะว่ารายการโชว์สุดยอดพิศวง(รายการมายากล)นั้น ได้รับความนิยมจนมีผู้ติดตามอย่างล้นหลามและพวกเขานั้นก็เอาทริคพวกนี้มาแสดงและเฉลยอยู่บ่อยๆ
เอาจริงๆที่ซูจิ้งต้องมาทำเป็นเล่นมายากลอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเขานั้นอยากจะลองมาแสดงมายากลอะไรไร้สาระนี่หรอก
แต่เขานั้นอยากจะให้ของขวัญจริงๆ แต่ด้วยงานแกะสลักไม้ชิ้นใหญ่ขนาดนี้จะให้ขนส่งมาทางอากาศยังไงก็ไม่ทัน
ต่อให้เขานั้นแกล้งปลีกตัวแล้วให้บริษัทขนส่งในเมืองหลวงขนมาให้ แต่กับของสำคัญขนาดนี้เขาจะไปไว้ใจใครได้กัน หากไม่ถูกขโมยแต่ก็อาจจะเสียหายระหว่างขนส่งได้
เขาจึงคิดว่ามายากลนี่แหล่ะดีที่สุด แถมยังทำให้คนประหลาดใจได้จริงๆซะอีก
“เดี๋ยวนะ งานแกะสลักนี่….” ระหว่างที่คนอื่นๆต่างก็ฉงนสงสัยเกี่ยวกับมายาแห่งมายากลของซูจิ้งอยู่นั้น
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น เขานั้นรีบแหวกฝูงชนเข้ามาดูงานแกะสลักไม้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากนั้นเขาก็ทำท่าตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า ราวกับนักสเก็ตรูปได้เจอสาวงามก็ไม่ปาน
คนอื่นๆเองที่เห็นดังนั้นก็ได้หยุดชะงัก แล้วหันไปมองงานไม้แกะสลักอันใหญ่โตนี่ดีๆ และเมื่อสังเกตเห็นแล้วต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกัน
ทุกๆคนต่างก็จ้องมองไปยังร่างๆหนึ่งอย่างฉงนสงสัย ในตอนแรกนั้นด้วยการที่ไฟบริเวณนี้ไม่ได้สว่างสักเท่าไหร่จึงเห็นไม่ได้ชัดนนัก เห็นแต่เพียงว่านี่เป็นงานแกะสลักไม้ชิ้นใหญ่ยักษ์แค่นั้นเอง
แต่ในตอนนี้เมื่อทุกคนเข้ามาดูใกล้ๆแล้วทำได้เห็นรายละเอียดต่างๆได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้คืองานแกะสลักไม้ที่มีพื้นหลังเหมือนกับเกาะที่อยู่กลางท้องฟ้า ล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอก ราวกับดินแดนแห่งภูตตามเรื่องเล่าของมนุษย์
ยิ่งมองใกล้เท่าไหร่พวกเขาก็ได้เห็นป่าที่อยู่บนเกาะ บนเกาะมีผีเสื้อมากมายหลากหลายตัวโบยบินอย่างร่าเริงอยู่ในป่า มีกวางกำลังยืนกินน้ำอยู่ในแม่น้ำ มองไกลๆก็มียูนิคอร์นอยู่ไม่ห่างนัก มีอินทรีย์ตัวยักษ์ลอยอยู่บนฟ้า
บ่งบอกได้ว่าป่าแห่งนี้ไม่เต็มไปด้วยไม้หายาก ก็มีแต่สัตว์ในตำนานทั้งนั้น แถมทั้งหมดยังดูราวกับมีชีวิตอยู่จริงๆ
“พระเจ้า ทำไมงานไม้ชิ้นนี้ช่างสวยจริงๆ” หวังยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นงานแกะไม้ที่ใหญ่และสวยงามขนาดนี้” หวังหลี่เองก็รู้สึกมหัศจรรย์ใจจนพูดออกมา
“อย่าว่าแต่หลานเลย ปู่เองก็ไม่เคยเหมือนกัน” หวังซวนจี้ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่หวังซือหยา หวังจ้าว หวังจุ่น หวังเจิ้ง และคนอื่นๆเองนั้นยังไม่คืนสติเลยด้วยซ้ำ
งานแกะสลักไม้นี้ทำให้เกิดบรรทัดฐานใหม่ของความสวยงามในงานแกะสลักไม้จริงๆ
“งานแกะสลักไม้นี้ช่างเป็นงานที่มหัศจรย์พันลึกยิ่งนัก” หลี่เทียนเฮอพูดออกมาด้วยสายตาระยิบระยับ
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้อยู่แล้วว่าซูจิ้งนั้นด้วยฉายาเจ้าแห่งของขวัญแล้วยังเขาก็ต้องเตรียมอะไรดีๆมาแน่นอน แต่ขนาดเตรียมใจไว้แล้วเขาเองก็ยังอดที่จะตกตะลึงไม่ได้อยู่ดี
ตอนนี้ใจใจของเขานั้นยากที่จะเก็บงานแกะสลักไม้นี้ยัดลงกระเป๋าแล้วเอากลับบ้านไปเลยทีเดียว
“นี่สมควรจะเป็นผลงานสร้างสรรค์ของสุดยอดนักออกแบบรวมกับสุดยอดนักแกะสลักงานไม้เป็นแน่ พระเจ้าเถอะ โชคดีจริงๆที่ได้มางานในวันนี้” ชายวัยกลางคนคนนั้นได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดๆ
“ผู้อาวุโสฉู แม้แต่ผู้อาวุโสเองก็ไม่เคยเห็นงานแกะสลักไม้แบบนี้อย่างนั้นหรือครับ” หวังจุ่นถามออกมา
“อย่าว่าแต่ฉันเลย ฉันว่าต่อให้ทั้งวงการนักเก็บสะสมงานแกะสลักไม้แบบเดียวกับฉันก็ไม่น่าจะมีใครได้เคยเห็นงานแบบนี้มาก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงตัวงานแกะสลักแค่ไม้ขนาดเท่านี้ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป” ชายวัยกลางคนได้ทำท่าเหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่างก่อนจะพูดออกมาว่า “โดยทั่วไปแล้วงานศิลปะบนลากไม้แบบนี้จะประกอบไปด้วยสามส่วนประดิษฐ์และเจ็ดส่วนธรรมชาติ
งานไม้แกะสลักชิ้นนี้ได้แกะสลักออกมาเป็นรูปเมฆ ป่า กวางผา และอื่นๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นทั้งธรรมชาติและงานประดิษฐ์ นี่บ่งบอกถึงความวิเศษของคนออกแบบ
แน่นอนว่าช่างแกะสลักเองก็มหัศจรรย์ไม่แพ้กัน ช่างแกะสลักนั้นไม่ใช่ว่าจะเพียงแกะสลักก็ถือว่าเป็นได้แล้ว แต่ช่างแกะสลักนั้นจำเป็นต้องจบงานให้เป็นด้วย
การที่คนคนนั้นจะเปลี่ยนวัสดุที่มาจากธรรมชาติที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนอยู่แล้วให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีธรรมชาติของตัวมันเองได้อย่างมีชีวิตชีวานั่นคือสุดยอดช่างฝีมือ
งานนี้เองก็ได้แกะสลักสิ่งมีชีวิตได้ราวกับมีชีวิตจริงๆไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อ กวางผา ยูนิคอร์น ฯลฯ ช่างฝีมือคนนี้แกะสลักออกมาอย่างประณีตจนราวกับว่าไม่ใช่คนของโลกนี้เลยทีเดียว ฉันสามารถบอกได้เลยว่างานนี้คือสุดยอดผลงานที่หามีงานไหนเทียบได้เลยเท่าที่ฉันเคยเห็นมา”
“แล้วท่านผุ้อาวุโสคิดว่าไม้นี้มีค่าเท่าไหร่กัน” มีคนๆหนึ่งถามออกมา
“ต่อให้งานแกะสลักไม้นี้เลิศเลอขนาดไหนก็ไม่สมควรจะมีค่ามากมายอะไรไม่ใช่หรอ” ซุนหยูเฮงพูดออกมา
“ห้ะ ใครบอกแกกันว่างานแกะสลักไม้ไม่มีค่า นี่แกดูถูกงานแกะสลักไม้มากเกินไปแล้ว
เดือนเมษายนปี 2004 งานแกะสลักไม้ขนาดยักษ์ที่ชื่อว่าทางช้างเผือกได้ถูกประมูลไปในราคาหกแสนหยวน
เดือนเมษายนปี 2011 งานแกะสลักไม้ยักษ์รูปสิงโตที่มีชื่อว่าเจ้าแห่งป่าที่ถูกแกะสลักจากไม้การบูรสีทองถูกขายไปที่สิบแปดล้านหยวน และถูกนำไปจัดแสดงไว้ในจังหวัดชางซี
เดือนพฤษภาคมปี 2007 มีงานแกะสลักจากไม้โบราณออกมาชิ้นหนึ่งและได้มีรายการซื้อขายงานชิ้นนั้นไปกว่าเก้าสิบล้านหยวน
ส่วนงานแกะสลักที่อยู่ตรงหน้าพวกเราในตอนนี้ ขนาดของมันพอกับงานไม้โบราณชิ้นนั้น แต่คุณค่าทางศิลปะของมันนั้นสูงล้ำกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด
ราคาของไม้นี้เองก็สมควรจะมากกว่าสองเท่าไม่ก็สามเท่าเป็นอย่างน้อย ฟังอยู่นี้แล้วแกยังคิดว่างานแกะสลักไม้นั้นไม่มีค่าอยู่อีกรึเปล่า” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดออกมาอย่างของขึ้น
ต่อให้คนในงานจะเป็นคนที่รวยอยู่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะต้องสูดหายใจเข้าอย่างหนักหน่วง
แม้แต่ซุนหยูเฮงเองก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกันพลางคิดไปว่านี่ซูจิ้งไปขโมยงานชิ้นนี้มาจากสวรรค์รึยังไง
สองสามเท่าของเก้าสิบล้านหยวน ไม่บอกไปว่าสองสามเท่าของพันหล้านหยวนไปเลยล่ะ นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรอ ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติชิ้นนี้มันซื้อด้วยเงินได้ที่ไหนกัน
ทุกคนในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะหันไปมองซูจิ้งแบบเห็นตัวประหลาด ก่อนหน้านี้เขานั้นบอกว่าเป็นของขวัญธรรมดา เป็นเพียงแค่การแสดงมายากลทั่วไป เชื่อกับนรกน่ะสิ
ของแบบนี้เนี่ยนะของธรรมดาสามัญทั่วๆไป หมอนี่แค่เอามายากลเป็นแค่ข้ออ้างชัดๆ
หมอนี่สมแล้วที่ได้รับฉายาว่าเจ้าแห่งของขวัญ ว่าแต่แล้วอย่างนี้ไอ้คนที่ให้ของขวัญหลังจากนี้จะทำหน้าอีท่าไหนกันล่ะ
หวังจ้าวและหวังซือหยาที่ตอนนี้ที่กำลังพลัดกันนวดขมับของอีกฝ่ายอยู่นั้น ต่างที่คิดออกมาว่า “…ว่าแล้ว”