ก่อนจะขึ้นไปบนเวที ทีม Le Corsaires ทั้งหมดที่รวมตัวกันอยู่ในห้องพักต่างยืนจับมือกันและกันไว้นิ่ง หลังจากนั้นรุ่นพี่อีกงก็ทำลายความเงียบลงด้วยเสียงอันทุ้มต่ำ 

 

 

“เรามาเต้นกันให้เต็มที่ไปเลยนะ เข้าใจไหมทุกคน” 

 

 

“ครับ/ค่ะ!” 

 

 

เสียงรวมพลังของเหล่ารุ่นพี่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องพัก ในไม่ช้า แสงไฟบนเวทีก็ดับลง และรุ่นพี่อีกงก็เป็นคนแรกที่เดินขึ้นไปบนเวที  

 

 

ฉันกำมือทั้งสองข้างไว้แน่นพลางจ้องมองแผ่นหลังของรุ่นพี่อีกง แสงไฟเริ่มสว่างขึ้นและใต้แสงไฟนั้นก็มีรุ่นพี่อีกงที่สว่างไสวกว่าครั้งไหนๆ ยืนอยู่ จนมีแม้แต่เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นมาจากที่นั่งคนดู 

 

 

ความกังวลที่บีบรัดร่างกายทำให้หัวใจของฉันเริ่มเต้นเร็วจนเหมือนจะระเบิดออกมา ดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว และทันทีที่รุ่นพี่อีกงเริ่มเคลื่อนไหว ฉันก็ได้แต่จ้องมองการเต้นรำของรุ่นพี่อีกงจนไม่อาจหายใจได้อย่างทั่วท้อง 

 

 

ภาพของรุ่นพี่ที่กระโดดสูงกว่าครั้งไหนๆ และหมุนตัวอย่างรวดเร็วกว่าครั้งใดๆ มันดูเท่จนเหมือนกับจะดูดวิญญาณของฉันออกไปจากร่างจริงๆ 

 

 

“รุ่นพี่อีกงเนี่ย หมู่นี้ดูจะเปลี่ยนไปหน่อยๆ เนอะ” 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ 

 

 

“เปลี่ยนไปงั้นเหรอคะ” 

 

 

“ถึงจะอธิบายเป็นคำพูดได้ยาก… แต่จะว่ายังไงดีนะ ดูจะเปิดเผยความรู้สึกมากขึ้นหรือเปล่านะ” 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนคงจะเพิ่งรู้สึกว่าจู่ๆ ตัวเองก็พูดอะไรไม่รู้ขึ้นมา เขาจึงหัวเราะแหะๆ ก่อนจะอธิบายเสริม 

 

 

“ก็เมื่อก่อนน่ะ รุ่นพี่ดูจะให้ความรู้สึกเหมือนนักเต้นที่เต้นได้อย่างเพอร์เฟกต์โดยที่ไม่หวั่นไหวต่ออะไรเลยสักนิด ให้อารมณ์ประมาณหุ่นยนต์ล่ะมั้ง แบบว่าความงดงามที่ไร้ที่ติ อะไรประมาณนั้นน่ะ” 

 

 

“…ถ้างั้น แล้วตอนนี้ล่ะคะ” 

 

 

“ก็ ที่จริงตอนนี้ก็ไม่ได้ดูจะหวั่นไหวอะไรหรอก แต่ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมั้ง แบบว่ารู้สึกสื่อถึงใจกันได้มากขึ้นน่ะ เป็นความรู้สึกที่ต้องเล่าด้วยการเต้นจริงๆ นั่นแหละ” 

 

 

คำพูดของรุ่นพี่ฮยอนจุนทำให้ฉันหันกลับไปจ้องมองดูรุ่นพี่อีกงที่ยืนอยู่บนเวที ตอนนี้รุ่นพี่กำลังอยากจะพูดอะไรออกมานะ การเต้นของรุ่นพี่กำลังสื่อเรื่องราวแบบไหนออกมากันแน่ 

 

 

“เพราะพลังแห่งรักหรือเปล่าน้า” 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนที่ส่งคำหยอกมาให้ ลูบหัวของฉันพลางหัวเราะหึๆ ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที โชคดีนะที่มีผ้าคลุมหน้าปิดอยู่ ถ้ารุ่นพี่ฮยอนจุนเห็นหน้าของฉันในตอนนี้ล่ะก็ เขาคงจะหัวเราะ แล้วก็ล้อฉันไปอีกสักระยะแน่ๆ 

 

 

“เอาล่ะ พวกเราเองก็ถึงตาขึ้นเวทีบ้างล่ะนะ” 

 

 

“…ค่ะ!” 

 

 

“พี่จะขึ้นไปก่อนนะ พวกเรามาพยายามไปด้วยกันเถอะ” 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นฝ่ามือมาให้ฉัน ฉันทำไฮไฟฟ์พร้อมกับกระซิบว่าสู้ๆ ออกมาเบาๆ คราวนี้ฉันจะถอยหลังไม่ได้แล้ว เสียงดนตรีจบลงตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ รุ่นพี่อีกงได้รับเสียงปรบมือที่ดังกระหึ่ม ก่อนจะฉีกยิ้มที่ดูอ่อนโยนออกมา 

 

 

หลังจากนั้นสักพัก ฉันก็เฝ้ามองดูแผ่นหลังของรุ่นพี่ที่เดินลงจากเวทีตรงทางเข้าอีกฝั่ง พลางหายใจเข้าลึกๆ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รุ่นพี่โซยอนกำลังเดินเข้ามาทางที่ฉันยืนอยู่พอดี ฉันจึงรีบเดินถอยหลัง 

 

 

แต่แล้วไม่รู้ทำไม รุ่นพี่โซยอนกลับเดินชนไหล่ฉันเข้าอย่างแรงขณะที่เดินผ่าน ร่างกายของฉันที่ถูกผลักจึงยืนเซเพราะไม่สามารถประคองร่างกายเอาไว้ได้ 

 

 

เพราะแรงกระแทกที่ไม่คาดคิด เลยทำให้เกิดเสียวิ้งๆ ขึ้นที่หูข้างขวา ฉันมองไปที่รุ่นพี่โซยอนด้วยสีหน้าสับสน แต่รุ่นพี่กลับทำสีหน้าประหลาดกลับมา 

 

 

“อุ้ย โทษที เป็นอะไรไหม” 

 

 

ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไม่สิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะคิดแบบนั้นแน่ รุ่นพี่โซยอนพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงใจดี พลางยื่นมือมาทางฉัน แต่ใบหน้าของเธอกลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย เพียงพริบตาเดียว ออร่าอันเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาเสียสมาธิกับเรื่องแบบนี้ 

 

 

ฉันรีบดึงตัวเองกลับมา ก่อนจะก้าวถอยหลังไปอีกนิด เพื่อผละออกจากรุ่นพี่โซยอน ทันทีที่สายตาของคนอื่นๆ ที่เคยจ้องมองมาทางพวกเราท่ามกลางความวุ่นวายเล็กๆ เริ่มหายไป รุ่นพี่โซยอนก็ยิ้มพราย พลางเดินมาข้างหน้าฉันแล้วตบไหล่ของฉันเบาๆ 

 

 

“เธอเกะกะฉันอยู่ ถอยไปหน่อยได้ไหม” 

 

 

น้ำเสียงที่พูดลอยๆ ขึ้นมาผ่านหูทำให้ฉันตกใจ ก่อนที่ตัวจะเริ่มสั่น หูทางข้างขวาที่ถูกรุ่นพี่ชนไหล่กำลังรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ขึ้นมา 

 

 

“งั้นก็ สู้ๆ ล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่โซยอนพึมพำออกมาเบาๆ แล้วหายไปทางข้างหลังห้องพักในทันที ส่วนฉันก็พยายามควบคุมหัวใจที่กำลังเต้นรัวไม่หยุด พร้อมกับหลับตารวบรวมสมาธิ 

 

 

ฉันจะเสียสมาธิเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ใจเย็นๆ ฉันเอาแต่ท่องคำนี้ขึ้นมาไม่หยุดราวกับร่ายเวทมนตร์ พลางกัดฟันแน่น ตอนนี้ฉันจะต้องขึ้นไปบนเวทีด้วยสภาพที่ดีที่สุด 

 

 

และแล้วแสงไฟบนเวทีก็มืดลง ความเงียบที่ราวกับเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้แทรกซึมเข้ามาภายในใจของฉัน บนเวทีที่ค่อยๆ สว่างขึ้น รุ่นพี่ฮยอนจุนกำลังยืนตัวตรงอยู่ด้วยสีหน้าสงบ  

 

 

และในไม่ช้าดนตรีก็เริ่มขึ้น ในที่สุดก็ถึงตาที่ฉันต้องออกไปแล้วสินะ ฉันค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวทีที่มีแสงไฟสาดลงมาราวกับสายฝน 

 

 

เมื่อมือของรุ่นพี่ฮยอนจุนถูกวาดขึ้นไปบนอากาศตามทำนองเพลงที่สนุกสนาน ความรู้สึกผ่อนคลายที่คุ้นเคยก็ทำให้ฉันค่อยๆ คลายความกังวลใจไปทีละนิด แขนที่สั่นนิดๆ เองก็ค่อยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ท่วงทำนองเพลงเริ่มเปลี่ยนไป และมือของรุ่นพี่ฮยอนจุนก็เอื้อมมาเปิดผ้าคลุมหน้าบนหน้าของฉัน 

 

 

ฉันค่อยๆ กวาดสายตาจากด้านล้างขึ้นบนอย่างช้าๆ ก่อนจะพบว่ารุ่นพี่อีกงกำลังยืนมองดูฉันอยู่ที่ปลายสุดของด้านล่างเวที อ๊ะ รุ่นพี่กำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ด้วย ฉันส่งยิ้มเล็กๆ ไปทางรุ่นพี่ ตึกตัก ตึกตัก ฉันสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจที่แตกต่างไปจากในตอนที่รู้สึกกังวล 

 

 

ฉันจับมือของรุ่นพี่ฮยอนจุนแล้วทำท่าอะราเบสก์ ปองเช่[1] แม้จะเหมือนจับต้องได้ แต่ขณะเดียวกับก็ต้องหลบเลี่ยง ฉันหันหน้าหนีพลางวิ่งออกห่าง ราวกับจะผลักไสใบหน้าของรุ่นพี่ฮยอนจุนที่เข้ามาใกล้ มันคือสัญลักษณ์ทางกายของกัลแนร์ที่แสดงออกถึงความกังวล 

 

 

ทันทีที่เสียงดนตรีจบลง ฉันก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพลางตั้งท่า ฉันสัมผัสได้ว่าเท้าที่พอยต์อยู่กำลังสั่นเล็กๆ เสียงปรบมือดังไปทั่วทั้งหอประชุม ต่อไปก็ถึงตาการแสดงเดี่ยวแล้ว 

 

 

หัวใจกำลังเต้นอย่างรุนแรงเพราะความตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว ฉันมองดูการแสดงเดี่ยวของรุ่นพี่ฮยอนจุนในขณะที่หายใจอย่างเหนื่อยหอบ ยิ่งรุ่นพี่มากขึ้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกมึนภายในหัวขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นเพราะแสงไฟร้อนๆ หรือเปล่านะ หรือเป็นเพราะความกังวลจนเกินเหตุกันแน่ 

 

 

นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่ดนตรีโซโล่ของกัลแนร์จะดังขึ้นมาแล้ว พอรุ่นพี่ฮยอนจุนเต้นเสร็จและหันไปโค้งให้กับคนดู เสียงปรบมือก็ดังขึ้นราวกับเสียงของฝนตก ต่อด้วยความเงียบเพียงครู่นึง แล้วดนตรีของกัลแนร์ที่ฉันรอคอยก็เริ่มบรรเลงขึ้น 

 

 

ฉันพยายามยิ้มให้หวานที่สุด ขณะที่ค่อยๆ เดินกลับไปยังเวทีอีกครั้ง กระโดดแล้วตามด้วยแอดทิทูท พอดนตรีเริ่มเร็วขึ้น คราวนี้ก็หมุนตัว 

 

 

แต่แล้วในช่วงที่ทำพีเก้ เทิร์น แล้วกำลังจะต่อด้วยท่าฟูเอท[2] ฉันก็เริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ประหลาดบางอย่าง เสียงแว่วเริ่มดังขึ้นภายในหูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ 

 

 

จนเมื่อฉันรู้สึกว่าเสียงแว่วที่เหมือนกับเสียงหายใจเริ่มจะดังขึ้นเรื่อยๆ นั้น ในพริบตามันก็ได้กลืนกินเสียงเพลงไป และความเงียบอันน่ากลัวราวกับว่าเวลาได้หยุดหมุนก็แทรกเข้ามา มีแค่เพียงเสียงวิ้งๆ เท่านั้นที่ฉันได้ยิน 

 

 

วินาทีนั้น ฉันเริ่มหายใจไม่ออก ภายในหัวนึกอะไรไม่ออกเลยสักนิด รู้สึกมึนงงมากเสียจนรู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังเซ ขณะที่หมุนตัวด้วยขาที่แข็งทื่อ 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็คงจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฉัน วินาทีที่ฉันสบตากับดวงตาของรุ่นพี่ที่กำลังสั่นไหวด้วยความวุ่นวายใจ สติของฉันก็กลับมาอีกครั้งราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้า ฉันจะทำให้การแสดงพังทั้งๆ อย่างนี้ไม่ได้ 

 

 

นี่มันคือการเต้นที่ฉันเต้นมาเป็นร้อยๆ ครั้งไม่ใช่เหรอ ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร ฉันพึมพำเหมือนเป็นการสะกดจิต เพื่อปลอบใจตัวเอง ฉันมั่นใจว่าร่างกายของฉันจดจำมันได้ ราวกับว่าจังหวะและท่วงทำนองเพลงได้ถูกสลักอยู่ในตัวของฉัน ฉันค่อยๆหายใจเข้าออก และหมุนท่าชเวน[3]เป็นการปิดท้าย 

 

 

พอร่างกายที่หมุนเป็นวงกลมหยุดลง ฉันก็ค่อยๆ หันไปทักทายคนดู และวินาทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมา ฉันก็ได้เห็นผู้คนมากมายกำลังปรบมือ แต่ว่าหูของฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย 

 

 

คงเป็นเพราะการหมุนในท่าชเวน เลยทำให้ตาของฉันลายไปหมด ความมึนที่เหมือนว่าพื้นจะแยกออกจากกันทำให้ฉันต้องกัดริมฝีปากเอาไว้เบาๆ 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนชำเลืองมองพลางเดินมาหาฉัน นั่นคือตอนที่ฉากสุดท้ายได้เริ่มขึ้น ฉันเดินออกไปจากเวที แล้วมองดูกรัง จูเธ่ มาเนจ[4] ของรุ่นพี่ฮยอนจุน ช่างเป็นการกระโดดที่ดูมีชีวิตชีวา 

 

 

ฉันหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับนึกถึงดนตรีที่ร่างกายได้จดจำเอาไว้ ขณะที่ฮึมฮัมเพลงพลางอ้างอิงการเคลื่อนไหวของรุ่นพี่ฮยอนจุน ฉันก็กระโดดขึ้นไปยังเวทีด้วยท่าที่ดูสดใสร่าเริง 

 

 

สีหน้าของรุ่นพี่ฮยอนจุนที่ถอยมายืนข้างๆ ดูนิ่งสงบ ฉันยังคงฮัมเพลงไม่หยุด พลางเริ่มหมุนในท่าเมเนจ หมุนและหมุน ร่างกายของฉันเคลื่อนไหวราวกับถูกใครบางคนชักนำไป หลังจากทำชเวนในตอนสุดท้าย มือของรุ่นพี่ฮยอนจุนก็ยกตัวของฉันขึ้น วินาทีที่ฉันรู้สึกได้ถึงท่าลิฟท์ ฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ 

 

 

สำเร็จ การแสดงจบลงโดยที่ไม่มีข้อผิดพลาด วินาทีที่พวกเราหยุดนิ่งในท่าจบ อาการสั่นอย่างหนักก็เกิดขึ้นไปทั่วทุกส่วนของร่างกายราวกับถูกคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่ ฉันพยายามเกร็งร่างกายที่สั่นไม่หยุด พลางเงยหน้าขึ้น จึงเห็นภาพของผู้ชมมากมายที่กำลังปรบมือให้อยู่ 

 

 

ฉันกลั้นน้ำตาที่เหมือนจะไหลออกมาเอาไว้ แล้วรีบลุกขึ้นจากที่ เสียงแว่วเริ่มหายไปทีละนิด แต่เสียงปรบมือกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้น และฉันก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่ฮยอนจุน 

 

 

“อดทนได้ดีมาก” 

 

 

ฉันกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น ต้องยิ้มจนกว่าจะจบสิ ฉันพยายามคงความสง่างามเอาไว้ให้ถึงที่สุดขณะที่หันไปทักทายคนดู ก่อนจะเดินออกจากเวทีไปพร้อมกับรุ่นพี่ฮยอนจุน ที่ห้องพักรุ่นพี่อีกงส่งยิ้มบางๆ ให้ฉันขณะที่จ้องมองมาที่ฉัน 

 

 

“รุ่นพี่…” 

 

 

ทันทีที่ฉันเรียกรุ่นพี่ด้วยความว้าวุ่นใจ รุ่นพี่ก็เดินเข้ามาใกล้ แล้วกอดฉันเอาไว้ในทันที อยากได้ยินเสียงของรุ่นพี่จัง ฉันต้องการฟังเสียงอันนุ่มนวลแต่ก็หนักแน่นนั้น เสียงที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ 

 

 

ในตอนนั้นเองที่ความน่ากลัวของความเงียบงันที่ทำให้หูบอดสนิท เริ่มประดังเข้ามาในจิตใจอย่างรุนแรง รุ่นพี่อีกงโอบไหล่ที่สั่นไม่ยอมหยุดของฉันเอาไว้แน่น พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา 

 

 

“ทำได้ดีมาก กยอมกยอม เก่งมาเลยล่ะ” 

 

 

น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่เต็มไปด้วยความจริงใจทำให้น้ำตาที่ฉันอดกลั้นเอาไว้ไหลออกมาในที่สุด เสียงของรุ่นพี่ซึมเข้ามาเหมือนกับสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ ใจที่สั่นด้วยความหวาดกลัวดูเหมือนจะเริ่มสงบลง เสียงแว่วนั่นหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ราวกับเรื่องโกหก 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] อะราเบสก์ ปองเช่ arabesque penché คือท่าที่ขาข้างหนึ่งรองรับน้ำหนักทั้งหมด ส่วนขาอีกข้างยกไปทางข้างหลังโดยขาข้างที่ยกจะเป็นเส้นตรงไม่งอเข่า และเอนตัวไปข้างหน้า 

 

 

[2] ฟูเอท fouetté การใช้ปลายเท้าหมุนตัวไปเรื่อยๆ  

 

 

[3] ชเวน Chaîné คือการหมุนไปข้างหน้าด้วยเท้าทั้งสองข้าง 

 

 

[4] กรัง จูเธ่ มาเนจ Grand Jeté Manége