สายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่เข้ามาค่อนข้างจะเย็นทีเดียว ในตอนกลางวัน ความร้อนจากฤดูร้อนยังคงไม่จางหายไป แต่พออาทิตย์ตกดิน อุณหภูมิจะลดลงฮวบฮาบในทันที  

 

 

สำหรับคนที่ไวต่ออุณหภูมิอย่างฉัน ก็จะรู้สึกทรมานกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศในช่วงเปลี่ยนฤดูแบบนี้เป็นพิเศษ แค่ร้อนในตอนที่ร้อน แล้วก็หนาวในตอนที่หนาวก็ลำบากอยู่แล้ว นี่พออากาศร้อนๆ หนาวๆ แบบนี้ ใกล้เคียงกับการถูกทรมานเลยแหละ 

 

 

“หนาวจัง…” 

 

 

ฉันรีบปิดหน้าต่าง แล้วจัดคอเสื้อ พออากาศหนาวขึ้นมาแบบนี้แล้ว กล้ามเนื้อก็จะแข็งขึ้นกว่าปกติ ฉันนั่งลงกับพื้นพลางวอร์มกล้ามเนื้อขา นี่เป็นช่วงที่ฉันกำลังจะทำความคุ้นเคยกับรองเท้าคู่ใหม่พอดี 

 

 

ฉันพลิกร้องเท้าที่แกะออกจากถุงพลาสติกไปมา แล้วก็งอมันอยู่หลายครั้ง หลังจากใช้มีดขูดพื้นรองเท้า ก็เอาน้ำพรมลงไปแถวๆ หัวรองเท้า และเหยียบด้วยเท้าไปมา เคาะๆ งอๆ แล้วก็นวดๆ หลังจากทำอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา ก็ต่อด้วยผูกริบบิ้น พอทำแบบนี้จนคุ้นมือและทำเสร็จได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันก็เลยชอบทำอะไรแบบนี้มากเลยแหละ 

 

 

หลังจากที่ติดฟองน้ำไว้ระหว่างนิ้วเท้าที่พันผ้า แล้วคลุมที่คลุมปลายเท้าทับ ก็ได้เวลาใส่รองเท้าที่ฉันจะต้องทำความคุ้นเคยกับมันซะที ฉันลองเหยียบลงไปเบาๆ ทีละก้าวแล้วเขย่ง ในตอนนี้ความเจ็บปวดที่นิ้วเท้าที่ฉันคุ้นเคยก็เริ่มส่งผ่านมา ฉันลองเหยียบหัวรองเท้าอีกหลายครั้ง ก่อนจะหันขวับไปชำเลืองมองดูภาพของตัวเองในกระจก 

 

 

ฉันสะดุดตากับสร้อยคอที่สวมอยู่บนคอที่ดูผอมบางเป็นพิเศษของฉัน จึงค่อยๆ สัมผัสอัญมณีสีน้ำเงินรูปหยดน้ำเล็กๆ นั่นอย่างเบามือ ไพลินสีน้ำเงิน รู้สึกขอบคุณรุ่นพี่ที่เลือกอัญมณีประจำเดือนเกิดให้ ฉันรู้สึกว่ารุ่นพี่ช่างน่ารักซะเหลือเกินจนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ไม่ว่าฉันจะพยายามคิดถึงเรื่องอื่นอย่างไร แต่ก็ยังคงมีเรื่องหนึ่งที่ไม่ยอมหลุดไปจากความคิดของฉันตั้งแต่เมื่อกี้ ความเจ็บปวดหน่วงๆ ที่ถึงจะคลายไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงรู้สึกได้ เพราะสาเหตุนี้หรือเปล่านะ ที่ทำให้หมู่นี้ฉันมึนหัวอยู่บ่อยๆ 

 

 

“จริงๆ ก็ควรไปตรวจที่โรงพยาบาลอยู่หรอก” 

 

 

มันก็เป็นเรื่องปกติที่บางครั้งฉันจะได้ยินเสียงแว่วหรือรู้สึกปวดบริเวณหู แต่ฉันไม่เคยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนานๆ แบบนี้เหมือนกับตอนงานแสดงประจำฤดูที่ผ่านมา หลังจากนั้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ฉันตั้งใจจะไปโรงพยาบาลอยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมความกล้าที่จะไปโรงพยาบาลกลับไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เนี่ยสิ 

 

 

ฉันหยิบยาแก้ปวดขึ้นมากินราวกับติดเป็นนิสัย แล้วจึงเอานิ้วนวดลงบนขมับที่ปวดตุบๆ ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ฉันหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอย่างช้าๆ 

 

 

 

 

 

[ตอนนี้พี่กำลังออกมาออกกำลังกาย มาเจอกันไหม] 

 

 

 

 

 

ข้อความจากรุ่นพี่อีกงนั่นเอง ฉันรีบถอดรองเท้าออก แล้วหยิบเสื้อฮู้ดที่พาดไว้บนเก้าอี้ขึ้นมา ฉันวิ่งไปทางห้องนั่งเล่นพร้อมกับทำเสียงดังลั่น คุณป้าที่เห็นฉันกำลังใส่รองเท้าจึงยื่นหัวออกมาจากห้องครัว พลางตะโกนเสียงดัง 

 

 

“ดึกแล้วนะ จะไปไหนน่ะ” 

 

 

“ข้างหน้านี้น่ะค่ะ! ไปออกกำลังกาย!” 

 

 

“เฮ้อ ดูเด็กคนนี้สิ!” 

 

 

ฉันที่ฟังคำพูดของคุณป้าที่เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างโดยไม่ใส่ใจ จากนั้นรีบปิดประตูหน้าแล้ววิ่งออกไปข้างนอก อากาศที่ค่อนข้างหนาวเย็นกระแทกเข้าที่หน้าอย่างจัง 

 

 

“โอ๊ย หนาวจัง” 

 

 

ฉันวิ่งไปตามทางในซอยในท่าวิ่งจ๊อกกิ้งช้าๆ พอให้เหงื่อออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีสีเข้มขึ้น บนนั้นมีดวงดาวระยิบระยับลอยอยู่ จะเป็นดาวเคราะห์หรือดาวดวงน้อยๆ กันนะ ฉันก้าวเท้าให้ช้าลง พลางเอามือล้วงกระเป๋า และเริ่มดื่มด่ำไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน 

 

 

“จะไปไหนน่ะ” 

 

 

ตอนนั้นจู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง ฉันจึงหันไปด้วยใบหน้ายินดี 

 

 

“รุ่นพี่!” 

 

 

รุ่นพี่จับปีกหมวกที่สวมอยู่หมุนไปข้างหลัง พลางฉีกยิ้ม 

 

 

“เราไม่ได้นัดกันที่สวนสาธารณะหรอกเหรอคะ” 

 

 

“ข้างหน้าบ้านเธอต่างหากล่ะ ไม่ตอบข้อความกลับแล้ววิ่งพรวดออกมาอย่างนี้ได้ยังไง” 

 

 

“…ก็อยากรีบมาเจอเร็วๆ นี่คะ” 

 

 

ฉันพูดออกมาเบาๆ ด้วยความเขินอาย รุ่นพี่จึงยิ้มหน้าบาน พร้อมกับเอามือมาขยี้หัวฉันใหญ่ 

 

 

“ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ไปวิ่งกันสักหน่อยไหม” 

 

 

“ถึงไหนเหรอคะ” 

 

 

“อืม ถึงร้านสะดวกซื้อแล้วกัน” 

 

 

ดีค่ะ ฉันตอบกลับไป ก่อนจะเริ่มออกตัววิ่งนำหน้ารุ่นพี่ไปก่อนอย่างรวดเร็ว ท่าทางแบบนั้นของฉันคงจะดูตลก รุ่นพี่จึงหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ก่อนจะวิ่งมาอยู่ข้างฉันในทันที ไม่ว่าจะวิ่งอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง แต่รุ่นพี่และฉันก็จะทำเพียงแค่ต่างคนต่างมองกัน แล้วก็หัวเราะคิกคักใส่กันเท่านั้น 

 

 

จะเป็นลมเย็นๆ หรืออุณหภูมิที่ต่ำลงก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกรู้สาอะไร ถ้าเพียงแค่ได้อยู่กับรุ่นพี่ ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองสามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้  

 

 

ร่างกายที่ร้อนผ่าวขึ้นมาเริ่มจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ คงเป็นเพราะว่าเร่งความเร็วมากกว่าปกติ ในตอนที่มาถึงหน้าร้านสะดวกซื้อ ฉันจึงหายใจหอบและหมดแรง 

 

 

“แฮกๆ” 

 

 

ฉันหอบแฮกๆ ขณะที่ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างหน้าร้านสะดวกซื้อ ส่วนรุ่นพี่กลับแค่หายใจเสียงดังขึ้นมาหน่อยๆ เท่านั้น เขานั่งลงข้างฉันด้วยท่าทางที่ดูจะไม่เหนื่อยเลยสักนิด แถมยังล้อฉันอีกด้วย 

 

 

“แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วเหรอ” 

 

 

มือของรุ่นพี่เสยผมที่เปียกไปด้วยเหงื่อของฉันขึ้นไป ฉันจึงแกล้งทำเป็นงอนแล้วผลักมือของรุ่นพี่ออก 

 

 

“เพราะจู่ๆ ก็ให้มาวิ่งน่ะสิคะ” 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะหึๆ ให้กับคำแก้ตัวของฉัน ก่อนจะกุมมือของฉันที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วนวดคลึงไปมา ฉันกระแอมออกมาเบาๆ ขณะที่มองดูไปรอบๆ ตัว ทั่วทั้งร่างกายมันเอาแต่สะดุ้งในตอนที่รุ่นพี่ลูบไล้นิ้วมือของฉัน 

 

 

“ระ รุ่นพี่คะ ดื่มน้ำหน่อยไหมคะ ฉันเลี้ยงเอง” 

 

 

ฉันที่รู้สึกเขินๆ กับสัมผัสที่ไม่คุ้นเคยนี้ จึงแกล้งทำเป็นชวนคุยด้วยน้ำเสียงสดใส พลางชักมือกลับมาแล้วล้วงมันใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแทน รุ่นพี่เหลือบมองฉันที่ทำท่าทางแบบนั้นพลางหัวเราะ ก็ได้ เขาตอบเบาๆ 

 

 

ภายในร้านสะดวกซื้อที่เปิดแอร์อยู่มันหนาวสุดๆ ระหว่างที่ฉันหยิบเครื่องดื่มเกลือแร่ออกมาจากตู้เย็นในสภาพร่างกายที่หดเกร็ง รุ่นพี่ก็ทอดสายตามองไปยังแผงขายขนมปัง ฉันจึงเดินเข้าไปจับแขนของรุ่นพี่อย่างเงียบๆ พลางเอ่ยถาม 

 

 

“มองอะไรขนาดนั้นกันคะ” 

 

 

“เปล่าหรอก ก็แค่ นึกถึงเรื่องเก่าๆ น่ะ” 

 

 

“เรื่องเก่าๆ เหรอคะ” 

 

 

คำถามของฉันทำให้รุ่นพี่หันหน้ากลับมามองฉันพลางยิ้มยิงฟัน 

 

 

“ก็ช่วงที่เราซ้อมกันบ่อยๆ นั่นไง วันที่เธอบอกว่าซื้อขนมปังมาเยอะๆ เพื่อเสี่ยงทายสติกเกอร์น่ะ” 

 

 

“อ๋อ…” 

 

 

ความทรงจำในคืนวันนั้นผุดขึ้นมาทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาในทันที ต่อจากนั้นจู่ๆ รุ่นพี่ก็หยิบขนมปังสองอันขึ้นมา แล้วแย่งแม้แต่เครื่องดื่มที่ฉันถืออยู่ เอาไปวางไว้บนที่คิดเงิน 

 

 

“เรามาพนันกัน” 

 

 

“พนัน?” 

 

 

“พนันด้วยการเปิดสติกเกอร์” 

 

 

รุ่นพี่พูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะถือขนมปังทั้งสองห่อขึ้นมาโชว์ให้ดู พลางยิ้ม รีบเลือกสิ รุ่นพี่เร่ง ฉันจึงหยิบขนมปังที่อยู่ในมือข้างซ้ายของรุ่นพี่มาถือเอาไว้อย่างงงๆ 

 

 

“แลกกันแกะแล้วกันนะ ของเธอพี่แกะ ส่วนของพี่เธอแกะ” 

 

 

“…อืม แล้วถ้าชนะจะให้อะไรล่ะคะ” 

 

 

“ไว้ค่อยคิดตอนที่ชนะก็แล้วกัน” 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อในคำถามของฉัน ความจริงแล้ว คนที่ไม่มีดวงแบบสุดๆ ในเรื่องพวกนี้มันคือฉันไม่ใช่หรอกเหรอ สาวน้อยผู้โชคร้าย คิมฮวีกยอม 

 

 

หลังจากที่ออกมาข้างนอกแล้ว พวกเราก็กลับมานั่งตรงเก้าอี้ที่เคยนั่งก่อนหน้านี้อีกครั้ง พอรุ่นพี่เอาขนมปังถั่วแดงที่ฉันถืออยู่ไป เขาก็ยื่นขนมปังไส้ครีมที่ตัวเองถือมาให้ฉัน พลางยิ้มกว้าง 

 

 

“เอาล่ะ ฉีกล่ะนะ หนึ่ง สอง สาม!” 

 

 

พอจับจังหวะตามการนับของรุ่นพี่แล้ว ฉันก็รีบฉีกห่อขนมปังไส้ครีมที่ตัวเองถืออยู่อย่างรวดเร็ว สติกเกอร์ที่ร่วงลงไปอยู่ที่ตัก ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องร้องอุทานออกมา 

 

 

“ว้าว! ของรุ่นพี่เป็น แรร์ ไอเทมล่ะ” 

 

 

สติกเกอร์โฮโลแกรมสี่เหลี่ยมเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนตักของฉัน เมื่อกระทบเข้ากับแสงไฟถนน ลัคกี้กายนี่ มีทุกอย่างเพียบพร้อมไปหมดเลยสินะ ฉันยื่นสติกเกอร์นั่นไปไว้ตรงหน้ารุ่นพี่ด้วยสีหน้าเอือมระอา ส่วนรุ่นพี่ก็เอาแต่ยิ้มโดยไม่ยอมพูดอะไร ขณะที่ถือขนมปังถั่วแดงของฉันที่ถูกฉีกออกมาจากซอง 

 

 

“…อะไรคะ มีอะไรงั้นเหรอคะ” 

 

 

ไม่ต้องดูก็รู้ว่าตัวเองต้องได้ ไม่มี ฉันพูดพลางสอดส่องไปที่มือของรุ่นพี่ แต่ไม่รู้ทำไม รุ่นพี่กลับกำมือเอาไว้แน่น และไม่ยอมโชว์สติกเกอร์ให้ฉันดู  

 

 

ฉันร้องโอดโอยอยู่สักพัก ก่อนจะใช้ความพยายามแงะมือของรุ่นพี่ให้แบออก จนสุดท้ายฉันก็ทำท่างอน พลางนั่งพรวดลงที่เดิมอีกครั้ง รุ่นพี่จึงหัวเราะคิกคัก แล้วพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

“ของเธอน่ะ ดีกว่าอีกนะ” 

 

 

“…ดีกว่างั้นเหรอคะ แต่ของรุ่นพี่น่ะ เป็นสติกเกอร์ที่ดีที่สุดแล้วนี่” 

 

 

ฉันพูดพลางพลิกดูสติกเกอร์โฮโลแกรมของรุ่นพี่ทั้งหน้าและหลัง รุ่นพี่จึงยื่นมือที่กำอยู่มาไว้ตรงหน้าของฉัน ต่อจากนั้นเขาก็ค่อยๆ แบกำปั้นนั้นออก 

 

 

“โอ๊ะ…!” 

 

 

วินาทีนั้น ฉันถึงกับเอาหลังมือปิดปาก พร้อมกับส่งเสียงอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สติกเกอร์ที่วางอยู่บนฝ่ามือของรุ่นพี่ เป็นรูปหัวใจสีแดง และข้างบนกับข้างล่างนั่นก็มีอักษรตัวแรกของชื่อฉันและรุ่นพี่เขียนอยู่ 

 

 

“ดูสิ ดีกว่าใช่ไหมล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ยิ้มหน้าบาน พลางส่ายสติกเกอร์ต่อหน้าฉันที่ตกใจจนพูดไม่ออก เขาเอามือเท้าคาง ขณะที่ทอดสายตามองมาทางฉัน ฉันทำท่าเลิ่กลั่กพลางรับสติกเกอร์นั่นมาถือเอาไว้ ความรู้สึกตื้นตันจนทำให้น้ำตาไหลมันทำให้ฉันไม่สามารถเอ่ยคำใดออกไปได้ 

 

 

“เอามือถือมาสิ” 

 

 

รุ่นพี่ยื่นมือมาให้ฉัน มันเหมือนกับวันนั้นในคืนกลางฤดูร้อน ฉันลุกลี้ลุกลนล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงมายื่นให้กับรุ่นพี่ รุ่นพี่แปะสติกเกอร์อันใหม่เอาไว้ข้างสติกเกอร์โฮโลแกรมที่ตัวเองสุ่มให้ฉันซึ่งยังคงแปะอยู่ตรงที่เดิม 

 

 

“นี่คือตราประทับนะ” 

 

 

“…ตราประทับงั้นเหรอคะ” 

 

 

“อือ เป็นการประทับเอาไว้ว่าเธอมีเจ้าของแล้วยังไงล่ะ” 

 

 

ฉันที่ทำตัวไม่ถูกจึงส่งยิ้มหวานให้กับรุ่นพี่ที่ยื่นโทรศัพท์กลับมา พร้อมกับประทับริมฝีปากเบาๆ ลงมาที่หน้าผากของฉัน ตึกตัก ตึกตัก หัวใจมันเต้นระรัวไม่ยอมหยุดอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

* * *