ตอนที่ 803 เขตปกครองตนเอง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 803 เขตปกครองตนเอง

เป็นไปมิได้ที่จะคืนผืนปฐพีซึ่งสามารถยึดครองมาได้แล้วสู่เจ้าของเดิม มิว่าเยี่ยงไรก็มิได้เป็นอันขาด

การทำสงครามกับชาวฮวงในครานี้ ส่งผลให้ทหารดาบเทวะกองทัพที่หนึ่งจำนวน 30,000 นายถูกสังหารไปเกือบ 20,000 นาย !

ทหารดาบเทวะกองทัพที่สองจำนวน 100,000 นาย ถูกสังหารไป 10,000 นาย !

ส่วนกองพลอิสระดาบเทวะเดิมมีจำนวน 5,000 นาย บัดนี้เหลือเพียง 1,200 นายเท่านั้น

ต้องใช้ชีวิตของทหารดาบเทวะมากกว่า 30,000 นายเพื่อทำลายทหาร 500,000 นายของแคว้นฮวง นี่เป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยม ทว่าทหารดาบเทวะสำคัญต่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก เขาจึงคิดว่ามันมิคุ้มค่าเอาเสียเลย

ยังมีกองทัพชายแดนเหนือที่ต้องแลกชีวิตทหารทั้งหมดเพื่อทำลายกองทัพดาบสวรรค์ให้สิ้นซากอีกด้วย

บัดนี้ฮวงถิงถูกควบคุมโดยทหารดาบเทวะอย่างแน่นหนาและยังมีชาวฮวงนับล้านอาศัยอยู่ในฮวงถิง ช่วงสองสามวันแรกมีชาวฮวงจำนวนมากรวมตัวก่อกบฏ ฟู่เสี่ยวกวนจึงออกคำสั่งให้กองทัพดาบเทวะเข้าปราบปรามโดยมิปรานี

พื้นที่กว้างใหญ่เยี่ยงฮวงถิงและตามท้องถนนยังคงปรากฏคราบโลหิตอยู่จนถึงทุกวันนี้

เมื่อใดที่ลมฤดูใบไม้ผลิพัดแผ่วเบาก็จะได้กลิ่นคาวโลหิตจาง ๆ ลอยมากับสายลม

ชาวฮวงถูกตามสังหารจนเกิดความหวาดผวาขึ้นมา ท่าป๋าเฟิงหวังให้ฟู่เสี่ยวกวนสังหารให้มากกว่านี้เสียอีก เพื่อที่จะได้ลดจำนวนประชากรของแคว้นฮวงลง จนมิน่าสนใจต่อการปกครอง

แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีความสามารถยอดเยี่ยม แต่ก็เป็นไปมิได้ที่จะปกครองแคว้นที่มีประชากรน้อยนิดเพียง 100,000 คน

ในแคว้นฮวงทุกวันนี้ ชาวฮวงได้เกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจายตัวราวกับหยดน้ำ ในที่สุดพวกเขาก็จะไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำสายหนึ่งแล้วไหลออกสู่ทะเลโดยลากฟู่เสี่ยวกวนลงไปใต้ท้องทะเลนี้ด้วย

ท่าป๋าเฟิงรอดูสถานการณ์ต่อจากนี้ ด้านฟู่เสี่ยวกวนเองก็รอคอยเช่นกัน

ท่าป๋าเฟิงไร้ทางเลือกอื่นนอกจากรอ ทว่าการรอของฟู่เสี่ยวกวนต่างออกไป เนื่องจากเขากำลังรอคอยการมาถึงของกองทัพจัวเปี๋ยหลี ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องจัดการอีกเรื่องหนึ่งด้วย

“เมืองกูหยุนและเมืองต้ายาโดนเฟิงเสียนชูกวาดล้างไปแล้ว ราษฎรกว่า 200,000 คนจากทั้งสองเมืองนี้รวมตัวกันเดินทางมาขอความช่วยเหลือที่ฮวงถิง พวกเขาล้มตายระหว่างทางไปมากกว่าครึ่ง… ข้าจึงเปิดประตูเมืองและรับพวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว”

ในห้องทรงพระอักษรของพระราชวังป๋ายจินฮ่าน ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปที่ท่าป๋าเฟิงแล้วเอ่ยออกมาว่า “ขุนนางทั้งระดับสูงและต่ำของฮวงถิงยังคงมีพื้นฐานอันดีอยู่ แน่นอนว่าข้ามิได้ส่งคนไปทำลายพวกเขา เพราะถึงเยี่ยงไรพวกเขาก็เป็นพสกนิกรของข้าอยู่ดี”

“ดังนั้นข้าจึงส่งเทียบเชิญไปยังชินอ๋องท่าป๋าคังมายังวังหลวง น้องชายของท่านผู้นี้มิเลวเลย เขารู้หลักทำนองคลองธรรมและรู้เจตนาของข้าดี”

“ค่ำคืนนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นที่พระราชวังป๋ายจินฮ่านแล้วเชิญเหล่าขุนนางระดับสูงมาร่วมงานด้วย จุดประสงค์แรกคือสร้างความคุ้นเคยต่อกัน สองคือ…ทุกคนล้วนเป็นพี่น้องร่วมชาติ ข้าจะขอเสบียงจากพวกเขาเพื่อนำมาบรรเทาความต้องการเร่งด่วนในตอนนี้”

“ตามความคิดของข้าคือจะกำหนดให้แคว้นฮวงเป็นเขตปกครองตนเองภายใต้อำนาจของราชวงศ์อู๋”

“นี่หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ? ก็หมายความว่าใช้ชาวฮวงมาปกครองชาวฮวงด้วยกันเอง ส่วนผู้ปกครองสูงสุดของเขตปกครองตนเองนี้เรียกว่า…ผู้ว่าการเขตปกครองตนเอง โดยให้ท่าป๋าคังดำรงตำแหน่งเป็นคนแรก เขตปกครองตนเองนี้มีอยู่ด้วยกัน 6 รัฐ ผู้ว่าราชการรัฐจะได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกของรัฐบาลกลาง ส่วนข้ามีหน้าที่ตรวจสอบด้วยตนเองอีกที”

“แน่นอนว่าเพื่อความปลอดภัย จึงมิอนุญาตให้ทุกรัฐในเขตปกครองตนเองสร้างกองทัพขึ้นมา ยกเว้นกองทัพติดอาวุธของข้า ส่วนแม่ทัพใหญ่ที่ประจำการอยู่ในเขตปกครองตนเองจะได้รับการแต่งตั้งจากข้า และต้องฟังคำสั่งโดยตรงจากข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

ฟู่เสี่ยวกวนดื่มชาเข้าไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท่าป๋าเฟิงแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง “ท่านคิดว่าแผนการนี้ดีหรือไม่ ? ”

แน่นอนว่าท่าป๋าเฟิงกำลังตกตะลึงงันต่อสิ่งที่ได้ยิน

ทำแบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ ?

ชาวฮวงถูกปกครองโดยชาวฮวง…ด้วยวิธีการนี้ราษฎรย่อมมิต่อต้านอย่างแน่นอน ทว่าการควบคุมที่แท้จริงของทั้งแคว้น ไม่สิ ! ทั้งเขตปกครองตนเองยังคงอยู่ในมือของฟู่เสี่ยวกวน

เขามิจำเป็นต้องย้ายขุนนางจากราชวงศ์อู๋มาที่นี่เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างชาวฮวงและชาวอู๋ได้อีกด้วย เขาเพียงแค่ต้องวางกองทัพที่มีอำนาจไว้ในเขตปกครองตนเองนี้ เพื่อยับยั้งการคัดค้านของชาวฮวงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

เขาต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างแน่นอน เห็นทีว่ากลยุทธ์นี้จะเป็นเพียงแผนถ่วงเวลาเท่านั้น

สิ่งที่เขาจะทำในท้ายที่สุดคือการบุกรุกทางวัฒนธรรมแล้วล้างสมองชาวฮวงดั้งเดิมจนสิ้น อีกมินานจะมิมีชาวฮวงดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ในผืนปฐพีนี้อีกต่อไป !

“เฉียบคมมากยิ่งนัก ! ท่าป๋าเฟิงผู้นี้รู้สึกเลื่อมใสด้วยใจจริง แล้ว…เจ้าจะจัดการกับข้าเยี่ยงไร ? ”

ในฐานะนักโทษ ท่าป๋าเฟิงจึงคิดว่าตนจะถูกโยนเข้าคุกแล้วถูกทรมานจนตาย แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะส่งคนเพียงมิกี่คนมาควบคุมเอาไว้

ข้ายังคงอยู่ในวังแห่งนี้ ทั้งยังสามารถนอนบนเตียงเดียวกันกับจักรพรรดินีได้เหมือนก่อนหน้านี้

เพียงแค่มิสามารถออกจากพระราชวังป๋ายจินฮ่านได้เท่านั้น ยามที่อยู่ในพระราชวังเสรีภาพของตนก็มิได้ถูกจำกัดมากนัก

เรื่องนี้ทำให้ท่าป๋าเฟิงค่อนข้างกังวล เขารู้สึกว่ายารักษาโรคที่อยู่ในขวดน้ำเต้าเล็ก ๆ ของฟู่เสี่ยวกวนน่ากลัวยิ่งกว่ายาพิษเสียอีก

ฟู่เสี่ยวกวนกระตุกยิ้มที่มุมปาก “วันพรุ่งนี้ท่านต้องจัดการกับวังหลังให้เรียบร้อย เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นเขตปกครองตนเองแล้ว จึงไร้สิ่งที่เรียกว่าวังหลังโดยสิ้นเชิง สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นจวนของผู้ว่าการและพระราชวังจะกลายเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ในอนาคต”

“สำหรับท่าน…ข้ามีเรื่องสำคัญมากมายให้ท่านจัดการ อย่ามองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนี้สิ ข้าเองก็ปรารถนาให้ราษฎรในผืนปฐพีนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง”

“ท่านคงรู้จักว่อเฟิงเต้ามาบ้างแล้วสินะ”

ท่าป๋าเฟิงพยักหน้า แน่นอนว่าเขาทราบถึงการเปลี่ยนแปลงในว่อเฟิงเต้าแห่งราชวงศ์หยูเป็นอย่างดี และเขายังใช้ว่อเฟิงเต้าเป็นแบบอย่างในการผลักดันแคว้นฮวงอีกด้วย

“การใช้ชีวิตเร่ร่อนนั้นมิใช่ทางออกที่ดี ข้าจึงต้องการให้ชาวฮวงลงหลักปักฐานเป็นหลักแหล่งทุกคน”

ท่าป๋าเฟิงตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน “ชาวฮวงเร่ร่อนมานับพันปีแล้ว เจ้าจะให้พวกเขาลงหลักปักฐานแล้วทำไร่ทำนาน่ะหรือ ? พวกเขามิเต็มใจหรอก หากถูกบังคับเข้ามาก ๆ ก็เกรงว่าพวกเขาจะก่อความยุ่งยากขึ้นมา”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของท่าป๋าเฟิงแล้วเอ่ยว่า “เหตุผลที่พวกเขาเร่ร่อนเพราะแคว้นฮวงมีแหล่งอุตสาหกรรมเพียงแห่งเดียว ท่านคิดว่าการอาศัยอยู่ในกระโจมกลางทะเลทรายนั้นสบายกว่าอาศัยอยู่ในบ้านเรือนจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้ามิคิดเยี่ยงนั้นเพราะถ้าสบายจริง เหตุใดพวกเศรษฐีมั่งคั่งจึงมาลงหลักปักฐานในฮวงถิงนี้เสียหมด ? ”

“ท่านคืออดีตองค์จักรพรรดิของพวกเขา จึงง่ายกว่ามากในการยกให้ท่านไปจัดการเรื่องนี้ หากท่านยังคิดว่าพวกเขาเคยเป็นราษฎรใต้ปกครองมาก่อน ก็จงเอื้อมมือออกไปฉุดรั้งพวกเขาขึ้นมาจากหลุมของความยากจนนี้เสีย

อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังบดบังสายตาเพราะข้ามิใช่ปิศาจชั่วร้าย เยี่ยงไรเสียบัดนี้พวกเขาก็เป็นราษฎรของข้าแล้ว ข้าจึงหวังว่าพวกเขาจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม”

“ส่วนวิธีการจัดการนั้น ข้าจะเขียนจดหมายมาถึงท่านทีหลัง ท่านต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดี หากท่านสามารถจัดการได้ดีข้าก็จะมอบอิสรภาพให้ท่านได้อยู่กับครอบครัว อ้อ… ลูก ๆ ของท่านทุกคน เมื่อเช้านี้ข้าให้คนส่งไปที่ราชวงศ์อู๋ทั้งหมดแล้ว”

ท่าป๋าเฟิงสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันใด ดวงตาพลันจ้องเขม็งไปที่ฟู่เสี่ยวกวน ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มออกมา “ดูสภาพท่านตอนนี้สิ การหุนหันพลันแล่นมิได้ดีต่อตัวท่านหรอกนะ ดังนั้นท่านจะต้องเรียนรู้ที่จะยับยั้งมันเสียบ้าง พวกเราทั้งสองคนยังมิคุ้นเคยต่อกัน คิดก่อนทำคือบัณฑิต ทำก่อนคิดคือคนพาล ท่านมิต้องกังวลเพราะพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีในเมืองกวนหยุน และอีกอย่างพวกเขาก็มีสหายอยู่ที่นั่น”

“สหายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่ ! ครอบครัวของท่าป๋าคังก็ถูกส่งไปที่นั่นเช่นกัน เช่นเดียวกับครอบครัวของขุนนางคนอื่น ๆ รวมแล้วมีหลายพันคนเลยล่ะ”

“นี่เจ้ากำลังบีบบังคับข้าเยี่ยงนั้นหรือ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะ “ท่านเชื่อหรือไม่ว่าใช้เวลาเพียงสองหรือสามปีเท่านั้นในการเปลี่ยนแปลงสถานที่แห่งนี้ ส่วนบัดนี้หากคิดจะรับพวกเขากลับมาจากเมืองกวนหยุนก็มิทันการเสียแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนทันใด “ผู้คนล้วนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ท่านไร้คุณสมบัติที่จะเป็นจักรพรรดิอย่างแท้จริง ท่านทำให้ชาวฮวงมีชีวิตที่ลำบากแสนเข็ญเยี่ยงนี้ …ข้ามิอาจทนนิ่งดูดายได้อีกต่อไปแล้ว ! “