ตอนที่ 804 ฤดูใบไม้ผลิของฝานเทียนหนิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 804 ฤดูใบไม้ผลิของฝานเทียนหนิง

ตามปกติแล้ว เดือนสี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทาง

ภูเขาฉิงเสวี๋ยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฉางจินซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฝาน ด้านล่างของภูเขาคือทะเลสาบเยียนเสียซึ่งมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเมืองฉางจิน

สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะสมสำหรับท่าชิง1

หมู่มวลผกานานาพันธุ์ ทุ่งหญ้าเขียวขจี ทะเลสาบเยียนเสียใสราวกับกระจก อีกทั้งยังมีม่านน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขาฉิงเสวี๋ยเป็นฉากหลัง

เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูกาลของท่าชิง จึงมีผู้คนมากมายออกมาเล่นว่าวกระดาษและท่องบทกวี

นับตั้งแต่กลับมาจากราชวงศ์อู๋ ฝานเทียนหนิงองค์ชายสิบสามแห่งแคว้นฝานก็มิสนใจในบทกวีอีกเลย… เนื่องจากเมื่อได้ยลบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ก็มิมีบทกวีใดในใต้หล้านี้ที่เข้าตาเขาอีกเลย

ดังนั้นเขาจึงมิได้ไปที่เกาะเซิ่งเหลียนกลางทะเลสาบเยียนเสียเพื่อฟังเยาวชนผู้มีความสามารถแข่งขันด้านวรรณกรรม แต่เลือกที่จะนั่งอยู่กับเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ในศาลาหลี่เหอริมทะเลสาบเพื่อสนทนาและดื่มสุราร่วมกันแทน

สิ่งที่พวกเขากำลังสนทนากันมิได้เกี่ยวกับผู้ใดประพันธ์บทกวีได้ดีกว่า หรือว่าวกระดาษของผู้ใดงดงามและลอยอยู่บนท้องนภาได้นานที่สุด

ทว่าพวกเขากำลังสนทนากันเกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นในแคว้นอี๋และแคว้นฮวงต่างหาก

ฝานเทียนหยู พระเชษฐาองค์โตของฝานเทียนหนิงซึ่งบัดนี้มีพระชนมายุ 36 ชันษา และได้ดำรงตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นฝาน เอ่ยออกมาว่า “ฟู่เสี่ยวกวนเป็นตายเยี่ยงไรยังมิทราบ แต่ทว่าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ก็ได้บันดาลโทสะจนมีบัญชาให้เคลื่อนทัพทหาร 600,000 นายออกจากฉีซานแล้ว…มากพอที่จะกำราบฮ่องเต้ได้”

ฝานหลี่ฮวา พระเชษฐภคินีคนที่สิบเอ็ดของฝานเทียนหนิงก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ได้ยินมาว่ามีองครักษ์ชุดแดงของราชวงศ์อู๋จำนวน 50,000 นายขอใช้เส้นทางแคว้นฝานเพื่อไปยังแคว้นฮวง…หรือฟู่เสี่ยวกวนจะถูกสังหารที่แคว้นฮวงเสียแล้วเพคะ ? ”

เมื่อฝานเทียนหนิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เขากำลังจะเอ่ยอันใดบางอย่าง ทว่าฝานเทียนเต๋อพระเชษฐาคนที่สามของเขากลับชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า “ฟู่เสี่ยวกวนมีทหารดาบเทวะอยู่ในมือ เขามิตายง่าย ๆ หรอก แต่แปลกที่จักรพรรดิอู๋ระดมกองทัพอย่างกะทันหันมากกว่า…”

ฝานเทียนเต๋อเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “พวกท่านลองคิดดูสิ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฟู่เสี่ยวกวนในแคว้นฮวง กองทัพ 600,000 นายควรจะไปสู้รบกับชาวฮวงมิใช่หรือ ? พวกเขาออกจากฉีซานแล้วเข้ายึดเมืองชายแดนของราชวงศ์หยูเพราะเหตุอันใดเล่า ? ”

ฝานเทียนหนิงตื่นตกใจเสียจนสะดุ้งโหยง จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “หรือว่า…ฮ่องเต้จะมุ่งร้ายต่อฟู่เสี่ยวกวนกัน ? ”

องค์รัชทายาทฝานเทียนหยูหัวเราะลั่น จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบเครามิต่างจากพระบิดา หลังจากนั้นจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าหนวดเคราของตนเพิ่งยาวเพียง 2 ชุ่นเท่านั้น

“น้องสิบสามคงยังมิทราบในคำเอ่ยที่ว่า ‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น2 ! ’ ฟู่เสี่ยวกวนโดดเด่นจนเกินไป เจ้าทูลขออนุญาตเสด็จพ่อเพื่อไปศึกษาการบริหารงานที่ว่อเฟิงเต้ามิใช่หรือ ? เจ้าลองคิดดูสิ ว่านั่นหมายความว่าเยี่ยงไร ? นั่นหมายความว่าฟู่เสี่ยวกวนบริหารว่อเฟิงเต้าได้ดีเยี่ยมเยี่ยงไรเล่า

เจ้าลองคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนคือองค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์อู๋ และเขาจะขึ้นครองบัลลังก์เมื่อหวนคืนสู่ราชวงศ์อู๋ จากนั้นราชวงศ์อู๋ย่อมมีอำนาจยิ่งใหญ่ขึ้นมามาก ในฐานะฮ่องเต้ที่ปกครองราชวงศ์หยู เขาย่อมมิปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับราชวงศ์อู๋ผู้ทรงอำนาจ”

ฝานเทียนหนิงขมวดคิ้วมุ่น แสดงท่าทีราวกับมิอยากจะเชื่อ “เสด็จพี่ ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมีฐานะเป็นราชบุตรเขยของฮ่องเต้นะพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฝานเทียนหยูส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง การเสียราชบุตรเขยไปเพียงคนเดียวย่อมคุ้มค่ามิใช่หรือ ? ”

หมายความว่าสงครามที่แคว้นฮวงเกิดจากการที่ฮ่องเต้วางแผนทำร้ายฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฝานเทียนหนิงรู้สึกเศร้าใจมากยิ่งนัก เยาวชนที่ประพันธ์บทกวีได้ยอดเยี่ยมจะต้องมาตายเยี่ยงนี้น่ะหรือ ?

“ได้ยินมาว่าฮองเฮาซั่งเสด็จไปที่เมืองเปียนเฉิงด้วยหรือเพคะ ? ” ฝานหลี่ฮวาเอ่ยถามขึ้นมา

“อืม… ดูจากสถานการณ์คาดว่าฮองเฮาซั่งจะเสด็จไปถึงเมืองเปียนเฉิงแล้ว”

ฝานหลี่ฮวาฉีกยิ้มสดใส “เช่นนั้น…คาดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงปลอดภัยดีนะเพคะ”

ฝานเทียนหนิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจได้ในทันใด… ฮองเฮาซั่งเสด็จไปเมืองเปียนเฉิงในฐานะทูตสันติภาพของราชวงศ์หยู หากฟู่เสี่ยวกวนเสียชีวิตไปแล้ว นางย่อมมิไปที่นั่น ส่วนกองทัพราชวงศ์อู๋และกองทัพชายแดนใต้ของราชวงศ์หยูย่อมเกิดสงครามนองเลือดขึ้นมาอย่างแน่นอน จากนั้น…ก็มุ่งหน้าไปทางใต้ !

เขายิ้มแล้วหัวเราะร่าออกมา “เขายังตายมิได้หรอก เพราะหากสวรรค์มิส่งฟู่เสี่ยวกวนลงมาเกิด โลกมนุษย์คงตกอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาลนานนับพันปี ! ”

ทุกคนส่งเสียงหัวเราะออกมา มีเพียงคูฉานที่ยืนอยู่ด้านหลังของฝานเทียนหนิงเท่านั้นที่เอ่ยออกมาว่า “ทูลองค์ชายสิบสาม กระหม่อมปรารถนาจะไปดูสถานการณ์ที่แคว้นฮวงพ่ะย่ะค่ะ”

ฝานเทียนหนิงตะลึงงัน “ผู้ออกบวชเยี่ยงเจ้าจะไปทำอันใดที่นั่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

คูฉานพนมมือไหว้ “ทูลองค์ชาย มีนักบวชใหม่เดินทางมาจากสำนักไป๋หม่าฉาน คนผู้นี้ลึกลับมากยิ่งนัก เขาเอ่ยว่ากระหม่อมสมควรไปที่แคว้นฮวงและท่านอาจารย์ก็เห็นชอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“…เขามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“กระหม่อมมิทราบหรอกพ่ะย่ะค่ะ ท่านอาจารย์เอ่ยว่าจิตใจของเขายังตัดขาดจากทางโลกมิได้ ทว่ามีเหตุจำเป็นให้ต้องออกบวช ดังนั้นท่านอาจารย์จึงเรียกเขาว่าอาจารย์ปิ้งเฉิน…หมายถึงละทิ้งอนาคตทางโลกและหลุดพ้นชีวิตอันแสนสั้นนี้”

“…” ฝานเทียนหนิงใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ เขามิได้ให้ความสนใจกับอาจารย์ปิ้งเฉินผู้นี้สักเท่าใดนัก “หากได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนก็ช่วยเอ่ยถามแทนข้าหน่อยเถิดว่าเขาสบายดีหรือไม่ อีกเรื่องหนึ่ง…บอกเขาว่าหากขึ้นครองบัลลังก์เมื่อใด ข้าจะไปแสดงความยินดีที่ราชวงศ์อู๋อย่างแน่นอน”

“พ่ะย่ะค่ะ ! ”

จากนั้นคูฉานก็เดินออกไป ฝานหลี่ฮวารีบโบกมือแล้วตะโกนว่า “ท่านนักบวช โปรดหยุดก่อน ! ”

เมื่อคูฉานได้ยินดังนั้น จึงหันกลับมาทำความเคารพ “ทูลองค์หญิง ท่านอาจารย์เอ่ยว่า… ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนมีผู้ติดตามแล้ว 9 คน ! ดังนั้นองค์หญิงสิบเอ็ดมิต้องเข้าร่วมหรอกพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฝานหลี่ฮวาตกตะลึงไปชั่วขณะ ปรางแก้มค่อย ๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ นางเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นก็ก้มศีรษะลงเพื่อซ่อนความเขินอาย

เมื่อคูฉานจากไปแล้ว ฝานเทียนหนิงที่เห็นเยี่ยงนั้นจึงส่ายศีรษะไปมา “เสด็จพี่สิบเอ็ด ท่านอาจารย์กล่าวมีเหตุผล ท่านมิรู้จักเจ้านั่นดีพอ เขาน่ะเป็น…” จากนั้นฝานเทียนหนิงก็ชี้ไปยังดอกไม้ป่าที่ริมทะเลสาบ “เขาเป็นผกาที่ส่งกลิ่นหอมดึงดูดภมรนับมิถ้วน ท่านนักบวชเอ่ยว่า…เขาเป็นจอมโจรปล้นบุปผางาม ! ”

องค์รัชทายาทฝานเทียนหยูจ้องมองไปที่ฝานหลี่ฮวา แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “น้องสิบเอ็ด เจ้าอย่าคิดมากเลย เสด็จพ่อทรงเลือกราชบุตรเขยให้เจ้าแล้ว ตัวพี่ก็เห็นว่าเขาใช้ได้เลยทีเดียว หากเจ้ามิพึงพอใจ พี่ก็จะไปทูลต่อเสด็จพ่อให้เอง หรือหากในใจเจ้ามีผู้ใดอยู่แล้วก็บอกพี่ได้”

ฝานหลี่ฮวาเม้มปากแน่นด้วยอารามมิพอใจ “จะมีผู้ใดดีกว่าฟู่เสี่ยวกวนอีกหรือเพคะ ? ”

นับเป็นเรื่องที่น่ากลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก เพราะในใต้หล้านี้จะมีผู้ใดเทียบเคียงกับฟู่เสี่ยวกวนได้กัน ?

“น้องสิบเอ็ด พวกเราอยู่กับความจริงมิดีกว่าหรือ ? เจ้าสามารถจินตนาการได้แต่อย่าคิดจริงจังไปเชียวล่ะ ! ”

ในขณะนั้นก็ได้ปรากฏว่าวกระดาษปลิวมากับสายลมแล้วค่อย ๆ ตกลงมาด้านนอกศาลา

ฝานเทียนหนิงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นสตรีนางหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีเขียววิ่งตรงเข้ามา

ทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่รอบศาลาพลันตื่นตัวขึ้นมาทันใด มือจับด้ามดาบเอาไว้ แต่มิได้ชักออกมาเนื่องจากถูกฝานเทียนหนิงห้ามไว้

สตรีนางนั้นเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ฝานเทียนหนิงเห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสดใสราวกับดอกท้อแรกที่บานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ

หัวใจของเขาพลันเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ และรู้สึกสงสัยว่าแม่นางผู้นี้เป็นคุณหนูตระกูลใดกัน ?

เหตุใดจึงมิคุ้นหน้าเอาเสียเลย ?

นางถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมความงามอย่างแท้จริง !

เขาเดินออกจากศาลา จากนั้นก็หยิบว่าวกระดาษขึ้นมา แม่นางผู้นั้นเดินมาถึงที่หมายพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของฝานเทียนหนิง ที่บัดนี้ถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

นางสูดหายใจเข้าลึกเพื่อข่มความตื่นเต้น จากนั้นก็เม้มริมฝีปาก กะพริบตากลมโตสองครา จากนั้นก็รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย…ว่าวกระดาษนี้เป็นของข้าเอง”

น้ำเสียงช่างนุ่มนวลประหนึ่งน้ำผึ้ง

ฝานเทียนหนิงตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าขอทราบนามของแม่นางได้หรือไม่ ? ”

สตรีนางนั้นแสดงท่าทีตื่นตกใจแล้วตอบว่า “ข้ามีนามว่าเซวี๋ยหยู่เยียน”

สตรีนางนั้นมีนามว่าเซวี๋ยหยู่เยียน นางคือคุณหนูห้าแห่งตระกูลเซวี๋ยที่ย้ายมาจากราชวงศ์หยูเพราะเซวี๋ยติ้งชานก่อกบฏ

ทว่าเรื่องนี้ฝานเทียนหนิงมิเคยทราบมาก่อน เขายื่นว่าวกระดาษส่งคืนเซวี๋ยหยู่เยียน จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “แม้ฤดูใบไม้ผลิจะงดงามเพียงใด ทว่าก็มิอาจเทียบเคียงสตรีที่อยู่เบื้องหน้านี้ได้เลย”

ใบหน้าของเซวี๋ยหยู่เยียนสุกปลั่งขึ้นมาทันพลัน นางรับว่าวกระดาษคืนมา จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไปด้วยความเขินอาย

ฝานเทียนหนิงมองตามร่างอรชรที่วิ่งจากไปราวกับผีเสื้อกำลังโบยบิน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าความรักได้เดินทางมาเคาะประตูเรียกเขาเสียแล้ว

1 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชาวจีนนิยมออกเดินทางไปท่องเที่ยวและสัมผัสธรรมชาติ เรียกว่า “ท่าชิง” ( 踏青 )

2 ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น หมายถึง ต้นไม้ที่เติบใหญ่เกินออกมาจากไม้ทั้งมวลในป่าสุดท้ายก็จักถูกลมพัดจนหัก เปรียบเปรยกับผู้ที่แตกต่างจากผู้อื่นจนสุดท้ายก็จะถูกเล่นงาน