ตอนที่ 805 ใบไม้ผลิแดนเหนือ ( 1 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 805 ใบไม้ผลิแดนเหนือ ( 1 )

แคว้นฮวงได้ย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างสมบูรณ์แบบ

ธารน้ำแข็งและหิมะบนทุ่งหญ้าของดินแดนรกร้างเริ่มหลอมละลาย วัชพืชและหมู่มวลผกานานาพันธุ์ที่ถูกกลบฝังไว้ตลอดฤดูหนาวค่อย ๆ แตกหน่อออกใบสีเขียวขึ้นมาให้เห็น ส่งผลให้ผืนปฐพีรกร้างว่างเปล่าเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครา

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด คืนวันที่สิบห้า เดือนสี่ ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในอดีตพระราชวังป๋ายจินฮ่าน ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นจวนผู้ว่าการเขตปกครองตนเองไปแล้ว ในงานเลี้ยงได้เชิญตัวแทนชาวฮวงในฮวงถิงราว 360 คนมาเข้าร่วม… ตัวแทนเหล่านี้ประกอบไปด้วยผู้มีศีลธรรม บารมีสูงส่ง มั่งคั่ง และมีอำนาจเป็นต้น

มื้ออาหารค่ำที่แสนพิเศษนี้ เมื่อทุกคนนั่งประจำที่จะได้รับเพียงโจ๊กหนึ่งชามและซาลาเปานึ่งขนาดลูกเท่าไข่ไก่หนึ่งลูกเท่านั้น !

นี่คืออาหารที่ติ้งอันป๋อเตรียมเอาไว้ต้อนรับพวกข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดูถูกดูแคลนกันเกินไปหรือไม่ ?

อาหารเช่นนี้พวกข้าจะกินลงได้เยี่ยงไรกัน ?

แขกทุกคนแสดงสีหน้ามิพอใจ จิตใจก็เริ่มวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ

ติ้งอันป๋อเป็นบุคคลที่แปลกประหลาดเสียจริง เขายึดครองฮวงถิงและจับองค์จักรพรรดิท่าป๋าเฟิงไว้ได้ ทว่ากลับมิยอมสังหารพระองค์

เดิมทีคิดว่าฮวงถิงแห่งนี้จะโดนกวาดล้างและทำความสะอาดคราใหญ่ หากกองทัพดาบเทวะบุกโจมตีพระราชวังป๋ายจินฮ่านจะต้องมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทว่าในความเป็นจริงหลังจากที่กองทัพทหารดาบเทวะบุกเข้ามาที่ฮวงถิงกลับมิได้เกิดความโกลาหลใดเลย…พวกเขาส่งทหารเพียงมิกี่นายออกลาดตระเวนในเมือง และจัดการกับผู้ที่จงใจสร้างปัญหาเท่านั้น

ชาวฮวงทั้งหลายมีความเห็นตรงกันว่าเพราะทหารดาบเทวะได้รับชัยชนะ ทุกอย่างในผืนปฐพีนี้จึงกลายเป็นของฟู่เสี่ยวกวน

ผู้ชนะควรออกปล้นเสบียงของชาวบ้านแล้วใช้กลอุบายแย่งชิงสมบัติของผู้อื่น อีกทั้งต้องบังคับให้พวกตนเป็นทาส… ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับมิเกิดขึ้น จึงทำให้ผิดความคาดหมายของชาวฮวงไปมากโข

หรือติ้งอันป๋อจะมีจิตใจเปี่ยมไปด้วยเมตตา เขาจะปล่อยพวกตนไปเยี่ยงนั้นหรือ ?

หรือพอจบงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้แล้ว จะสังหารพวกตนเสียจนสิ้น ?

ท่ามกลางความกังวลของทุกชีวิต ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้ามาท่ามกลางฝูงคน

ทุกสายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของเยาวชนหนุ่มผู้นี้ จากนั้นก็ได้เห็นว่าบนใบหน้าของอีกฝ่ายไร้ความโกรธกริ้ว แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความสดใส

“ข้าต้องขออภัยทุกท่านด้วย เมื่อครู่มีเรื่องให้ต้องจัดการจึงล่าช้าไปสักหน่อย…”

ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกเดินตรงไปยังที่นั่งหลัก เขาใช้สายตากวาดมองไปโดยรอบ ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือฟู่เสี่ยวกวนและที่เชิญพวกท่านมาในวันนี้ก็มิได้มีความหมายอื่นแอบแฝง ข้าเพียงแค่อยากทำความคุ้นเคยกับพวกท่านเอาไว้เพราะทุกท่านเป็นผู้มีหน้ามีตาในเมืองนี้ มาเถิด… แม้ฤดูใบไม้ผลิจะมาเยือนแล้วแต่ร่างกายยังสัมผัสถึงความหนาวเย็นได้อยู่ จงอย่าปล่อยให้โจ๊กและซาลาเปาเย็นชืด ทุกท่านเชิญรับประทานเถิด”

เมื่อเอ่ยจบก็นั่งลงทันที จากนั้นก็หยิบซาลาเปาและโจ๊กที่โหรงเหรงเหมือนน้ำซุปขึ้นมากิน

หลังจากกัดซาลาเปาสองคำแล้วซดโจ๊กจนหมดถ้วยแล้ว ก็ได้เช็ดปากและจ้องมองไปยังแขกผู้มีเกียรติด้วยแววตาประหลาดใจ… “พวกท่านมิหิวเยี่ยงนั้นหรือ ? อ้อ…ข้าเข้าใจแล้ว พวกท่านย่อมเคยชินกับการทานเนื้อวัวและเนื้อแกะ ท่าป๋าคัง…”

ท่าป๋าคังอดีตชินอ๋องนั่งถัดไปทางขวามือของฟู่เสี่ยวกวน เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อก็รีบลุกขึ้นในทันใด จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยถามว่า “เหตุใดมิฆ่าวัวและแกะเพื่อมาต้อนรับแขกเล่า ? ”

ท่าป๋าคังทำความเคารพ กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกสองครา “เรียนใต้เท้า ในวังมิมีวัวและแกะให้ฆ่า ทว่ามีเพียงข้าวฟ่างและแป้งขาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแน่น “ ขาดแคลนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? แล้วจะใช้ชีวิตต่อไปได้เยี่ยงไรกัน ? ”

ดูเหมือนว่าเขาจะพึมพำกับตนเองเสียมากกว่า ท่าป๋าคังมิสามารถตอบคำถามนี้ได้ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนได้หายใจเข้าลึก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองไปยังแขกผู้ร่วมงานทุกท่าน พลางเอ่ยถามว่า “ทุกท่าน แม้แต่เจ้าของแคว้นก็มิมีเสบียงเหลืออยู่แล้ว เอาเป็นว่าให้ทุกท่านกินแก้ขัดไปก่อนได้หรือไม่ ? ”

มิปรากฏผู้ใดลงมือจับตะเกียบขึ้นมาเลยสักคน บางคนเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในมื้ออาหารค่ำของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว

แต่กลับมิมีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมาเลย ทั้งยังเอาแต่เงียบเพื่อรอดูว่าเยาวชนผู้นี้จะมีวิธีจัดการต่อสถานการณ์นี้เยี่ยงไร

“เรื่องนี้ข้าต้องขออภัยทุกท่านจากใจจริง เพราะข้ามิรู้จริง ๆ ว่าในวังแห่งนี้จะวิกฤติถึงขั้นกินทิ้งกินขว้างมิได้…”

เขาหันไปเอ่ยกับเฉินป๋อว่า “ก่อนจะมาที่นี่ ข้าเห็นขอทานมากมายอยู่นอกวัง ท่านไปเชิญพวกเขาเข้ามาเถิด”

เฉินป๋อรับคำสั่ง จากนั้นก็พาขอทานหลายร้อยคนเข้ามาในห้องโถงนี้ทันที

“พวกเจ้ากินเถิด…”

ฟู่เสี่ยวกวนยังเอ่ยมิทันจบ ขอทานเหล่านี้ก็รีบวิ่งไปที่ข้างโต๊ะแล้วแย่งโจ๊กกับซาลาเปาไปกินทันที

ในห้องโถงจึงบังเกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นมา เพียงครู่เดียวโจ๊กและซาลาเปาทั้งหมดก็หมดเกลี้ยง

เฉินป๋อขับไล่ขอทานเหล่านี้ออกไปจากวัง ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ทุกท่าน พวกเขาเดินทางมาจากทุกหนทุกแห่งของผืนปฐพีรกร้างแห่งนี้ เพื่อมาขออาหารและขออาศัยอยู่ที่นี่”

“ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างลำบาก ข้าส่งคนไปยังแคว้นอี๋เพื่อขอเสบียงอาหารแล้ว แต่ถึงเยี่ยงนั้นพวกท่านก็ทราบดีว่าความช่วยเหลือจากที่ห่างไกลมิสู้บ้านใกล้เรือนเคียงได้หรอก ข้าคงมิอาจปล่อยให้พวกเขาตายอย่างน่าอนาถได้”

ตอนนี้ทุกคนจึงเข้าใจจุดประสงค์ของฟู่เสี่ยวกวนในการจัดงานเลี้ยงมื้อค่ำนี้ขึ้นมาทันใด จุดประสงค์คือให้พวกเขาบริจาคนั่นเอง !

แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องขอรับบริจาคแต่อย่างใด

“ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างใหญ่หลวง ทว่ายังมีหนทางแก้ไขได้อยู่ ต่อไปข้าจะประกาศกำหนดการบางอย่างให้ทุกท่านได้ทราบ จงรอฟังข่าวเถิด รอให้ฝ่ายบริหารออกเอกสารอย่างเป็นทางการในภายหลัง”

กำหนดการเยี่ยงนั้นหรือ ?

กำหนดชีวิตของพวกข้าใช่หรือไม่ ?

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็พากันอกสั่นขวัญแขวน หรือว่าเขากำลังจะแสดงธาตุแท้ออกมา ?

สิ่งที่เขาคิดอยู่นั้นมิใช่การขอรับบริจาค แต่เป็น…การยึดทรัพย์ !

แต่สถานการณ์ต่อมาก็มิได้เหมือนกับสิ่งที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้เลย ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยว่า

“หนึ่งในกำหนดการนั้น มีเนื้อหาเกี่ยวกับชื่อแคว้นฮวงที่ฟังแล้วรู้สึกมิค่อยดีสักเท่าใดนัก มันน่ากลัวทุกคราที่ได้ฟัง ดังนั้นให้เปลี่ยนชื่อเป็นเขตปกครองตนเอง…ชื่อเล่อชวน

“ชื่อเล่อชวน เปรียบดั่งสายนํ้าใต้ภูเขา ท้องนภาคือกระโจมหลังคาของผืนปฐพี เปรียบดั่งกรงที่ปกคลุมทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล ท้องนภากว้างใหญ่และทุ่งหญ้าไร้ขอบเขต สายลมพัดโชยปลายยอดหญ้า เมื่อมองออกไปจะเห็นฝูงวัวและฝูงแกะ ! ในนามของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยฝูงวัวและฝูงแกะ ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขและทำงานได้อย่างมีความสุข ! ”

“ฮวงถิงก็มิน่าฟังเช่นกัน ให้เปลี่ยนเป็นเมืองยวี่ซิ่ว”

“ยวี่ซิ่วเป็นป่าเขา ธรรมชาติงดงามตระการตา คือแหล่งให้กําเนิดนักปราชญ์ เมฆาทอดยาวหลายแสนลี้ การศึกษาจะมิถูกจำกัดแม้อยู่ในสถานที่อันไกลโพ้น ! ดังนั้นเมืองนี้จึงถูกเรียกว่าเมืองยวี่ซิ่ว”

กลุ่มชาวฮวงผู้ไร้อารยธรรมในสถานที่แห่งนี้ล้วนงงงวย ฟังมิค่อยเข้าใจสักเท่าใดนัก แต่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ติ้งอันป๋อเอ่ยมานั้นช่างลึกซึ้งยิ่งนัก

จากเดิมชื่อแคว้นฮวงก็เปลี่ยนเป็นเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน ส่วนฮวงถิงเปลี่ยนเป็นเมืองยวี่ซิ่ว… รู้สึกว่าชื่อที่ตั้งใหม่ไพเราะกว่าชื่อเดิมเสียอีก

“กำหนดการที่สอง คือพระราชวังป๋ายจินฮ่านแห่งนี้ ข้าจะเปลี่ยนเป็นจวนผู้ว่าการ เนื่องจากต่อไปนี้ผู้ดูแลระดับสูงของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนจะมีตำแหน่งเป็นผู้ว่าการ และมีรัฐที่อยู่ภายใต้การปกครองเขตทั้งหมด 6 รัฐ ส่วนผู้ปกครองให้เรียกผู้ว่าราชการรัฐ รายชื่อของทั้งหกคนนี้จะได้รับการเสนอชื่อจากผู้ว่าการ”

ภายใต้กำหนดการที่สองนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่งตั้งให้ท่าป๋าคังเป็นผู้ว่าการคนแรกของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน ส่วนอดีตจักรพรรดิท่าป๋าเฟิงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา แต่มิมีอำนาจสั่งการใด ๆ ความหมายก็คือให้คอยติดตามยามที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นี่ เพื่อแนะนำให้เขารู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของผืนปฐพีแห่งนี้

สุดท้าย เขาได้แต่งตั้งเฉินป๋อให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน !

เขามิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก จึงทำให้ชาวฮวงที่อยู่ในที่แห่งนี้พากันโล่งอกขึ้นมาทันที… พวกตนยังมิโดนยึดทรัพย์และมิโดนยึดตำแหน่งเพื่อส่งไปเป็นทาส และมิโดนตัดศีรษะอีกด้วย นี่ถือว่าเมตตามากแล้วสำหรับแคว้นใต้อาณัติ เพราะชาวฮวงมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับความขัดแย้งระหว่างแคว้นเลย

มีเพียงท่าป๋าเฟิงเท่านั้นที่หลับตาฟังในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเอ่ยวาจา

“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก พวกเขาจะแสวงหาข้อดีและหลีกเลี่ยงข้อเสียโดยสัญชาตญาณ หรือบางทีพวกเขาอาจจะนึกถึงผืนปฐพีเดิมเป็นครั้งครา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะให้ความสำคัญกับผืนปฐพีที่อยู่เบื้องหน้านี้แทน… เช่นว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไร ! ”

นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนปรารถนาให้พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ !