ในเวลาที่รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นนั้นเอง น้ำตาที่เอ่อล้นของเยี่ยเม่ย ยิ่งไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป
นางจับสาบเสื้อจิ่วหุน ร้องไห้อยู่นาน
จนกระทั่งเวลาผ่านไปชั่วยามกว่า อารมณ์ของนางสงบลงแล้ว แต่ยังคงสะอื้นอยู่ ในเวลานี้จิ่วหุนค่อยเอ่ยปากว่า “เสียใจมากใช่ไหม”
“อืม!” เยี่ยเม่ยสะอื้นพลางพยักหน้า นางเอ่ยด้วยเสียงขึ้นจมูกเบาๆ “รู้สึกเหมือนหัวใจว่างเปล่าไปหมด คล้ายถูกควักออกไปทั้งเป็น เกือบ…เกือบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีชีวิตไปเพื่ออะไร ไม่เข้าใจเลย…”
นี่คือรักแรกที่ถูกความจริงฉีกทึ้งอย่างนั้นหรือ
หรือนี่คือ ความเจ็บปวดของการรักคนคนหนึ่งแล้วจำเป็นต้องสูญเสียอย่างนั้นหรือ
จิ่วหุนไม่เอ่ยวาจา บางทีบอกว่าเขาไม่กล้าเอ่ย เขารู้ว่านางรักเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว เขาก็ไม่เล่าว่าก่อนหน้านี้ ได้ยินว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสียเลือดมากจนสลบไป อีกทั้งนางหายไป เขาจึงคิดได้ว่าเกิดเรื่องจึงออกตามหานาง
จิ่วหุนไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาสองคนเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เขารู้ว่ายามนี้นางต้องการความอบอุ่น หาใช่คำถาม
ถัดมา
เยี่ยเม่ยที่อยู่ในอ้อมกอดจับใบหน้าของจิ่วหุน ใบหน้านางยังเต็มไปด้วยน้ำตา ดวงตายังพราวประกายน้ำตา นางถามเขาเบาๆ ว่า “จิ่วหุน ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
จิ่วหุนอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ นางถามเช่นนี้ทำไม แต่ยังตอบกลับไป “สิบหก”
คิดไม่ถึงว่า ยามเขาตอบออกมา เยี่ยเม่ยจะยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
นางจ้องหน้าจิ่วหุน มองใบหน้าเยาว์วัยหล่อเหลา เยี่ยเม่ยน้ำตาไหลนองหน้าทั้งยังเอ่ยด้วยเสียงเจ็บปวด “จิ่วหุน เจ้ารู้ไหม ข้ามีน้องชายคนหนึ่ง หากยังมีชีวิตอยู่ เขาสมควรมีอายุเท่ากับเจ้า…”
ดังนั้น ความเจ็บในใจนาง ความแค้นในใจนาง จะรักษาได้อย่างไร
จะทำอย่างไรถึงจะปล่อยวางได้เล่า
จะทำอย่างไร…นางถึงเกลี้ยกล่อมตัวเอง ให้ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคนของตระกูลเป่ยเฉินได้ นางทำไม่ได้ และไม่อาจทำได้ไปชั่วนิรันดร์
จิ่วหุนลำคอตีบตัน พลันเข้าใจว่านางเจ็บปวดด้วยเรื่องใด
ในนั้นคงรวมถึง นาง…คิดถึงน้องชายใช่หรือไม่
เขามองใบหน้าเย็นชาตรงหน้า มองความร้าวรานและอิดโรยบนหน้านาง สุดท้ายกระบอกตาของเขาก็แดงรื้น เอ่ยเรียกเบาๆ คำหนึ่งว่า “พี่สาว!”
พี่สาว
เขาคิดว่า คำว่าพี่สาว คือสิ่งที่นางในตอนนี้ต้องการที่สุด
นางในยามนี้ต้องการน้องชายผู้หนึ่ง เพื่อรักษาความเจ็บปวดในใจ
แต่…เขารู้ดีว่า เมื่อเรียกพี่สาวออกไปแล้ว ระหว่างเขากับนางก็มีความสัมพันธ์เป็นพี่สาวกับน้องชาย ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้อีก ทั้งๆที่…
เขาก็รักนางไม่น้อยไปกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ทั้งๆ ที่…นางในเวลานี้จบความสัมพันธ์กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว คนที่เป็นไปได้ที่สุดที่จะได้อยู่กับนางก็คือเขา แต่ว่า…หากทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง หากทำให้นางไม่ต้องเจ็บปวดเท่านี้ หากทำให้นางได้ความอบอุ่นอย่างที่นางต้องการ เช่นนั้นเขายอมถอย ต่อให้ถอยไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่อาจขยับเข้าใกล้นางได้มากอีกก็ตาม
เมื่อเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยพลันตะลึงจ้องหน้าจิ่วหุน
นับตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางบอกให้เขาเรียกพี่สาว เขาก็ไม่ยอม วันนี้เขากลับเป็นฝ่ายเรียกนางว่าพี่สาวเอง
เห็นเยี่ยเม่ยมองเขาอึ้งๆ จิ่วหุนตาแดง กลั้นความเจ็บปวดในใจไว้ ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่า หากน้องชายเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาน่าจะอายุเท่าข้า อย่างนั้นต่อไป ข้าเป็นน้องชายเจ้าก็แล้วกัน เจ้าคิดถึงเขา ก็คิดเสียว่าข้าคือเขา พี่สาว อย่าได้เสียใจอีกเลย ข้าจะเป็นตัวแทนเขา ทำดีต่อท่านเอง!”
น้ำตาเอ่อล้นดวงตานางขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จากคำพูดของเขา นางพลันรู้สึกว่าในยามที่หัวใจของนางตกอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะน้ำแข็ง ตกอยู่ในมหาสมุทรไร้ขอบเขต พลันคว้าขอนไม้ได้ ได้รับความอบอุ่นกระแสหนึ่ง
นางกอดจิ่วหุน ร้องไห้เอ่ยว่า “ดี! จิ่วหุน ขอบคุณเจ้ามาก!”
“อืม!”
เขาตบบ่าปลอบนาง มุมปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม เขารู้ว่าอารมณ์ของนางดีขึ้นมากแล้ว
ส่วนเขากลับเสียใจมาก
จิ่วหุนมองฟ้าในยามราตรี แสงจันทร์นวลลออถูกบดบัง คล้ายกับเขาในวัยแรกรุ่น ความรักที่เพิ่งเกิดขึ้นถูกเมฆดำบดบัง
บดบังก็บดบังเถอะ เสียใจก็เสียใจเถอะ
พี่สาวเหรอ…
ข้าจะดีต่อท่านให้มาก ให้มากๆ…
……
ในเมืองชายแดนหาได้สงบ
อวี้เหว่ยไม่จงใจปกปิดข่าวที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดเรื่อง เขาอยากให้เยี่ยเม่ยรู้ว่า เตี้ยนเซี่ยเกิดเรื่องแล้ว
เขาดูออกว่าเตี้ยนเซี่ยเสียใจ เขาก็ยังดูออกว่า เตี้ยนเซี่ยอยากให้เยี่ยเม่ยกลับมา ถึงอวี้เหว่ยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งสองกันแน่ แต่ว่า…
เขาคิดว่า
หากเยี่ยเม่ยรู้ว่าเตี้ยนเซี่ยเสียเลือดจนสลบไป นางต้องหวั่นไหวบ้าง เยี่ยเม่ย…ความจริงนางหาใช่คนใจดำอำมหิต
แต่ว่าเพราะอะไรถึงทำร้ายเตี้ยนเซี่ยอย่างร้ายกาจเพียงนี้
จนถึงเวลานี้ เขายังจดจำคำถามที่เตี้ยนเซี่ยถามก่อนสลบไปได้ ความรักไฉนถึงแทบเอาชีวิตคนแบบนี้…
เขารู้ว่าเตี้ยนเซี่ยที่สูญเสียแม่นางเยี่ยเม่ยไป เจ็บปวดใจเสียจนแทบตายแล้ว
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร อวี้เหว่ยหวังว่า เยี่ยเม่ยจะกลับมา!
หลังจากหมอตรวจอาการเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อวี้เหว่ยรีบเข้าไปถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
ท่านหมอขมวดคิ้ว “เสียเลือดมากเกินไป สำหรับคนอื่นอาจรักษาได้ยาก แต่ว่าสำหรับข้าแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำให้ฟื้นขึ้นมาก็ใช้เวลาไม่มาก เพียงแต่ว่า…”
“เพียงแต่ว่าอะไร” อวี้เหว่ยรีบถาม
ท่านหมอส่ายหน้า รีบตอบว่า “ไม่ ไม่มีอะไร! ข้าจะเขียนเทียบยาให้ ท่านให้คนไปเตรียมเถอะ!”
“ได้!” อวี้เหว่ยไม่ถามอีก
หลังจากท่านหมอเขียนเทียบยาเสร็จ ก็อดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่งไม่ได้ อวี้เหว่ยถึงส่งเขาออกไป
ความจริงสิ่งที่เขาอยากเอ่ยเมื่อครู่คือ นี่คือองค์ชายสี่อย่างนั้นจริงหรือ ไฉนถึงเป็นแบบนี้ไปได้ จากชีพจรแสดงว่ากลัดกลุ้มกังวลใจ มีความวิตกกังวล หากฟื้นขึ้นมา เกรงว่าจะมีความคิดอยากตาย
องค์ชายสี่ที่เป็นดั่งปีศาจ ทำให้คนทั่วหล้าได้ยินชื่อเสียงยังจะมีใจคิดอยากตายได้อย่างไร เกรงว่าเอ่ยออกไปใครก็คงไม่เชื่อ เขาคิดเพียงว่าบางทีตัวเองอาจตรวจผิดไป จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ย
……
พวกซือหม่าหรุ่ยย่อมได้รับข่าวเช่นกัน
นางรู้ว่าเยี่ยเม่ยไปจัดการความสัมพันธ์ของตนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจัดการเป็นอย่างนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องให้หมอตรวจอาการ ส่วนเยี่ยเม่ยหายตัวไปเสียดื้อๆ
ซินเยว่เยี่ยนมองสีหน้าไม่วางใจของซือหม่าหรุ่ย เอ่ยว่า “อย่ากังวลไปเลย จิ่วหุนไปตามหาแล้ว คิดว่าไม่เป็นไรหรอก!”
นางเอ่ยเช่นนี้ ซือหม่าหรุ่ยถอนใจ “แต่ว่านางออกไปตั้งสองชั่วยามแล้ว ข้าล่ะห่วงเหลือเกิน! ช่างเถอะ ความสามารถของนางไม่ต่ำต้อย คนทั่วไปทำอะไรนางไม่ได้ เจ้ากลับไปพักก่อนเถอะ”
“ได้!” ซินเยว่เยี่ยนชิงจากไปก่อน
คิดไม่ถึงว่า ซินเยว่เยี่ยนเพิ่งจากไป
หลังจากนั้น เยี่ยเม่ยก็เหยียบเข้ามาในเรือนของซือหม่าหรุ่ย จิ่วหุนติดตามอยู่ด้านหลังนาง เยี่ยเม่ยในยามนี้คล้ายสูญเสียจิตวิญญาณ แต่ซือหม่าหรุ่ยเห็นดวงตาบวมแดงของนาง ก็รู้ว่าเยี่ยเม่ยร้องไห้
ไม่รอให้อีกฝ่ายถาม
เยี่ยเม่ยสีหน้าซีดเซียว เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าทำให้เขาเสียใจมาก ส่วนข้าเอง…ก็เสียใจมาก”