ตอนที่ 294 เยี่ยเม่ย ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจ!

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

ซือหม่าหรุ่ยพลันสะอึกไป กระบอกตานางร้อนผ่าว ยื่นมือออกไปกอดเยี่ยเม่ย

 

 

เยี่ยเม่ยตบบ่านางเบาๆ น้ำเสียงกลับมานิ่งเหมือนเคย เอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร! อย่างไรซะ นี่ก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”

 

 

หากเพิ่งจะเริ่มต้น นางยังรับไม่ไหว หนทางภายหน้าจะเดินไปอย่างไร

 

 

เยี่ยเม่ยผละตัวออกจากอ้อมกอดซือหม่าหรุ่ย หันกลับไปมองจิ่วหุนทีหนึ่ง กล่าวเบาๆ “เจ้ากลับไปพักก่อน พรุ่งนี้ไป พวกเราจะเปลี่ยนวิธีการป้องกันเมืองนี้ใหม่ บุกอย่างเต็มกำลัง กลับไปพักผ่อนให้ดี จึงจะเตรียมออกรบได้!”

 

 

นางต้องการความไว้วางใจจากคนทั้งหมดของราชสำนักเป่ยเฉิน เวลานี้เริ่มจากการทำศึกกับต้ามั่ว ถึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เมื่อก่อนทำได้เพียงรักษาเมือง ตอนนี้นางจะเป็นฝ่ายโจมตี เอาชนะศึกนี้ได้เร็วขึ้นวันหนึ่ง นางจึงจะได้สิ่งที่นางต้องการไววันหนึ่ง

 

 

“ดี” จิ่วหุนไม่ถามอะไรอีก รับคำแล้วหมุนกายจากไป

 

 

เรื่องที่เกี่ยวกับนางทั้งหมด หากนางยอมเอ่ย เขาก็จะฟัง หากนางไม่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมา เขาก็จะไม่ถาม นางให้เขาทำอะไร เขาก็จะทำเช่นนั้น อย่างนี้ก็ดีแล้ว

 

 

เมื่อเห็นจิ่วหุนเดินออกจากเรือนไปแล้ว ซือหม่าหรุ่ยค่อยถาม เยี่ยเม่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เขารู้เรื่องหมดแล้วหรือ”

 

 

เยี่ยเม่ยส่ายหน้า หันกลับไปมองทิศทางที่จิ่วหุนเดินจากไป “เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น อีกทั้งเขาไม่ถามอะไรด้วย แต่เขายอมช่วยเหลือข้า ท่ามกลางผู้คนมากมาย ข้าได้พบน้องชายเช่นนี้ ถือเป็นโชคดีแล้ว”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยมีสีหน้าสับสน มองใบหน้าด้านข้างเยี่ยเม่ย นางไม่รู้สมควรเตือนอีกฝ่ายดีหรือไม่ นางมองออกว่า จิ่วหุนหาได้คิดกับเยี่ยเม่ยแค่พี่สาวกับน้องชาย

 

 

ในขณะที่นางลังเล เยี่ยเม่ยหันกลับมายิ้มให้ กล่าวว่า “เขากับน้องชายข้าอายุเท่ากัน ดังนั้นเมื่อครู่เขาจึงบอกให้ข้าเห็นเขาเป็นเหมือนน้องชายตัวเอง”

 

 

ยามนี้ซือหม่าหรุ่ยไม่คิดเอ่ยอะไรอีกแล้ว ในเมื่อเจ้าตัวทำเช่นนี้ นางเป็นคนนอกเปิดโปงออกไป กลับจะทำให้เสียเรื่อง

 

 

ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน…เจ้าบอกความจริงกับเขาหรือเปล่า”

 

 

“เปล่า!” เยี่ยเม่ยส่ายหน้า เอ่ยเสียงเย็นว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็เป็นคนของราชวงศ์เป่ยเฉิน เขารับรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ภายหน้าทำอะไรออกไปก็จะพลอยสร้างความลำบากให้เขาไปด้วย ถึงแม้เขาไม่กลัวลำบากเพราะข้า แต่เจ้าก็รู้ว่า…”

 

 

เยี่ยเม่ยเอ่ยมาถึงตรงนี้หาได้เอ่ยต่อไปอีก

 

 

ซือหม่าหรุ่ยถอนหายใจคำหนึ่ง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่อยากทำร้ายเขา ทั้งไม่อยากติดค้างเขามากขึ้น”

 

 

“ใช่!” เยี่ยเม่ยมองท้องฟ้ายามราตรี แค่นเสียงเย็นแล้วกล่าวว่า “หากข้ายังอยู่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่อไปโดยการปิดบังเขา หลอกลวงเขา รอจนข้าเสร็จภารกิจ อย่างนั้น…ข้าต่างอะไรกับเป่ยเฉินอี้ในปีนั้น สิ่งเดียวที่ต่างกันก็มีแค่สิ่งที่เป่ยเฉินอี้หลอกลวงคือมิตรภาพของข้า ส่วนสิ่งที่ข้าหลอกลวงเขาก็คือความรัก”

 

 

โดยเนื้อแท้แล้ว ต่างไม่เลือกวิธีการเพื่อบรรลุถึงเป้าหมาย

 

 

หากนางทำสำเร็จเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนนางในตอนนี้ที่เคียดแค้นเป่ยเฉินอี้หรือไม่ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนเหมือนกับจงเจิ้งซีหรือไม่ ปีนั้นนางที่โง่งมคนเดียวทำให้บ้านเมืองล่มสลาย ทำให้คนของราชสำนักจงเจิ้งที่สูญเสียครอบครัว สูญสิ้นความสุขไปเหล่านั้นเกลียดแค้นนาง ต่อไปภายภาคหน้า นางจะทำให้คนของเป่ยเฉินแค้นเขาหรือไม่

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจแล้ว ในเมื่อไม่เล่าความจริงออกไป อย่างนั้นเยี่ยเม่ยคงจะใช้วิธีการที่โหดเ**้ยมอย่างที่สุด ถึงทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมปล่อยมือ ดังนั้นการที่วันนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสียเลือดมากจนถึงกับต้องตามหมอ ก็นับเป็นเรื่องสมเหตุสมผล

 

 

ในยามนี้เสียงของเยี่ยเม่ยดังขึ้นอีกว่า “อีกอย่าง…ความจริง ข้าก็แค้นเขา แค้นที่เขาปรากฏตัว แค้นที่เขาเป็นคนของตระกูลเป่ยเฉิน!”

 

 

เยี่ยเม่ยเอ่ยไปพลางออกแรงกำมือแน่น

 

 

นางรู้ว่าในศึกครั้งนั้น คนที่เป็นต้นเหตุของเภทภัยคือฮ่องเต้และเป่ยเฉินอี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นแค่ผู้บริสุทธิ์ คนผู้หนึ่งมิอาจเลือกเกิดได้

 

 

แต่ว่าน้องชายนางเล่า เขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งเช่นกัน เขาไม่เคยมีส่วนข้องแวะกับราชสำนักจงเจิ้งเลย เพียงแต่เขาแซ่จงเจิ้งเท่านั้น ปีที่เขาอายุสิบสองก็ถูกคนของตระกูลเป่ยเฉินกำจัดทิ้ง

 

 

นางจะไม่แค้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้หรือ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็แซ่เป่ยเฉินเช่นกัน!

 

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้

 

 

เยี่ยเม่ยหันมองซือหม่าหรุ่ย “ดังนั้น เจ้าคงเข้าใจแล้วว่า ระหว่างข้ากับเขาเป็นไปไม่ได้ จะเล่าทุกอย่างออกไปหรือไม่ก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องเสี่ยงเล่าความจริงให้เขาฟังด้วย”

 

 

“เยี่ยเม่ย ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง!” สุดท้ายซือหม่าหรุ่ยได้แต่เอ่ยออกมาเช่นนี้

 

 

นางรู้ว่า ความจริงเยี่ยเม่ยกำลังเดินมาถึงทางแยกของชีวิต ไม่ว่าเลือกเดินไปทางไหน ก็ไม่อาจแพ้ได้ง่ายๆ ยากที่จะปล่อยวางได้

 

 

แต่ว่าในชีวิตคนเรา การเลือกหลายๆ ครั้งหาใช่ต้องการความผิดถูก แต่สมควรเลือกสิ่งที่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปีจะไม่กลับมาเสียใจอีกต่างหาก

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยนิ่งๆ “ข้าไม่เสียใจแน่!”

 

 

ระหว่างบ้านเมืองกับความรัก เลือกได้เพียงอย่างเดียว

 

 

บาปที่นางแบกรับไว้หนักหนาเหลือเกิน นางจนปัญญาจะรับไหว ชั่วชีวิตหนึ่งของคน ไม่ใช่ทุกเรื่องราวจะเป็นไปได้ดังใจหวัง

 

 

เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย กล่าวว่า “ข้าขอตัวกลับไปก่อน เจ้าช่วยส่งจดหมายถึงพวกเซียวเซ่อหยางแทนข้าด้วย รีบยืนยันจุดยืนของพวกเขาให้ชัดเจนโดยเร็ว!”

 

 

“ได้!” ซือหม่าหรุ่ยตอบรับทันที

 

 

เยี่ยเม่ยเดินจากไป

 

 

ครั้นก้าวเท้าออกไปได้ไม่กี่ก้าว ซือหม่าหรุ่ยมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย พลันโพล่งขึ้นว่า “ได้ยินว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสียเลือดจนสลบไป เชิญหมอมาตรวจอาการแล้ว เจ้าจะไปดูหน่อยหรือไม่”

 

 

เยี่ยเม่ยฝีเท้าชะงัก หัวใจก็เจ็บเสียดขึ้นมา นางรู้สึกปวดหนึบที่จมูก

 

 

นางแทงมีดลงไปไม่เบา ทว่าก็ไม่ลึกมาก เพราะอะไรเขาถึงเสียเลือดมาก ต้องเป็นเพราะเขาไม่ยอมทำแผล อย่างนั้นก็มิต้องถาม นางก็เข้าใจ เพราะคำพูดนางทำร้ายเขาอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเขาจึงไม่ทำแผล

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักงันไปสักพัก สุดท้ายก็พรูลมหายใจออกมา กล่าวนิ่งๆ “ไม่แล้ว! ในเมื่อตัดขาดกันแล้ว ไปหาเขารังแต่จะทำให้เขาคิดถึงอย่างไร้ประโยชน์ ระหว่างข้ากับเขาก็ปล่อยไปเช่นนี้เท่านั้น!”

 

 

สิ้นเสียง นางก็ไม่รั้งรออยู่อีก สาวเท้ากว้างๆ เดินจากไป

 

 

ในยามนี้ดอกเหมยในเรือนพลันปลิดปลิวมาตกลงบนบ่านาง ร่วงอยู่เบื้องหน้านางก็เป็นเสมือนความรักที่เพิ่งผลิบานและโรยราท่ามกลางลมหนาว

 

 

แผ่นหลังของเยี่ยเม่ยที่กำลังเดินเหยียบกลีบดอกไม้ผ่านไปนั้น เป็นภาพที่งดงามมาก

 

 

ทว่าซือหม่าหรุ่ยเห็นเพียงความเย็นเยียบ สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งคนนัก ไม่อาจทำให้คนขัดขืนชะตาได้ แต่เมื่อใดกันที่สวรรค์จะเมตตาคนบ้าง สงสารคนบนโลกที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ตรมบ้าง

 

 

……

 

 

เยี่ยเม่ยกลับมาถึงห้องของตนด้วยความในใจหนักอึ้ง

 

 

นางยังคงพะวงกับสภาพของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางอยากเกลี้ยกล่อมให้ตัวเองไม่สนใจเรื่องทั้งหลายของเขาอีก ทว่าหัวใจที่กังวลนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุม

 

 

ด้วยเหตุนี้หลังจากนางเดินเข้าเรือนมา สุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหว พรางกายหลบไปอยู่บริเวณห้องของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางแอบมองอยู่ห่างๆ ไม่มีใครจับได้

 

 

นางเห็นบ่าวไพร่เดินไปๆ มาๆ เห็นอวี้เหว่ยที่ยืนรับถ้วยยาอยู่ตรงหน้าประตู สีหน้าไม่ได้ร้อนรนมาก จึงมั่นใจว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนน่าจะไม่มีอาการหนักสาหัส นางถึงได้คลายใจ

 

 

เยี่ยเม่ยสติไม่ค่อยอยู่กับตัวกลับมาที่ห้อง

 

 

นางคิดว่า บางทีหากหลับสักตื่นหนึ่ง หลับลึกนานสักหน่อย ให้ตัวเองได้พักผ่อนบ้าง หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วบางทีอาจจะไม่ต้องเจ็บปวดถึงขั้นนี้อีก

 

 

เมื่อกลับถึงห้อง

 

 

มีเสียงดังขึ้นเบาๆ สายตาเยี่ยเม่ยกระตุก ภายในห้องมีคนอยู่ !