องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 851 การลาของจื่อฮว่า
อวิ๋นหลัวฉวนมองดูถุงหอม ที่อยู่ตรงหน้าและหยิบมาเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน สิ่งที่อยู่ในถุงหอมคือเสี่ยวจินโต้วจื่อ
อวิ๋นหลัวฉซนยื่นมือเข้าไปสัมผัส เสี่ยวจินโต้วจื่อกัดนิ้วของอวิ๋นหลัวฉวนแน่นและดูดเลือดอย่างรุนแรง เมื่อดูดจนอิ่มแล้วก็พลิกตัวนอนในถุงหอมอีกครั้ง อวิ๋นหลัวฉวนมองนิ้วมือที่ไม่เป็นอะไรแล้วและหยิบเจ้าเสี่ยวจินโต้วจื่อออกมา
“นี่คือพญาแมลงชื่อจินจื่อ ข้าก็มีหนึ่งตัว แมลงชนิดนี้คือหนอนพิษกู่ เมื่ออ้าปากก็จะดูดกินเลือดของมนุษย์ หลังจากนั้นมันก็จะเชื่อฟังเจ้า ข้าได้ยินที่ไป่จุนจู่บอกกับข้าว่า ตัวนี้ช่างน่าประหลาด เลี้ยงมาเป็นเวลานานแล้ว แต่กลับไม่กินไม่ดื่มอะไรทั้งนั้น ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะกัดและดูดเลือดของเจ้า นี่คงเป็นการเลือกเจ้าของแล้ว พวกเจ้าก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน”
“จริงหรือ?” อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกตื่นเต้นและเริ่มพูดคุยกับพญาแมลง จากนั้นจึงตั้งชื่อให้มันด้วย
“ฝ่าบาทบอกว่าอนาคตองค์หญิงจะต้องมีชื่อที่ไพเราะเสนาะหู เช่นนั้นเจ้าก็จะแย่ไปกว่านี้ไม่ได้ เช่นนั้นข้าตั้งชื่อเจ้าว่า ชื่อเซียนจื่อ”
ชื่อเซียนจื่อออกมาจากถุงหอมและบินขึ้นไปบนศีรษะของอวิ๋นหลัวฉวน จากนั้นจึงเกาะอยู่ตรงนั้นส่องแสงเปล่งประกาย
อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกประหลาดใจ “ทำไมหรือ?”
“ไป่จุนจู่บอกกับข้าว่า นางเลี้ยงชื่อจินจื่อตัวนี้มาสิบปีแล้ว และเคยคิดจะหาเจ้าของคนใหม่ที่รู้จักมักคุ้นให้กับมัน แต่คนใกล้ชิดของไป่จุนจู่กลับไม่เป็นที่น่าพอใจ จึงไม่มีใครเหมาะสมได้รับเลือก หลังจากนั้นก็ค้นพบว่านางมีสิ่งที่แตกต่างไปอย่างมาก จึงตัดสินใจให้ลูกสาวใช้ ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่จื่อฮว่าเกิดออกมานางก็ไม่เคยเข้าใกล้เลยสักนิด แต่กลับเป็นเจ้า เดิมทีนางบอกกับข้าว่า หากนางไม่ยอมรับเจ้าเป็นเจ้าของคนใหม่ละก็ เช่นนั้นก็ให้ข้าเลี้ยงนางไว้กับตัว หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนางก็จะรู้ได้ และราชาหนอนพิษกู่น้ำแข็งก็จะรู้ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าห้าก็จะบอกให้ข้ารู้ แต่ตอนนี้ข้าเห็นว่า นางได้หาเจ้าของที่นางอยากได้เจอแล้ว”
“เช่นนั้นก็นับเป็นความโชคดีและเป็นเกียรติของข้า ใช่หรือไม่ชื่อเซียนจื่อ?” อวิ๋นหลัวฉวนนำเรื่องนี้ไปบอกกับหนานกงเยี่ยน หนานกงเยี่ยนจ้องมองชื่อเซียนจื่อที่อยู่บนศีรษะของนางอยู่นานอย่างเหม่อลอย จากนั้นจึงยื่นมือออกไปจับ
ชื่อเซียนจื่อกลับมุดตัวเข้าไปในถุงหอมและแอบอยู่ในนั้นไม่กล้าออกมา
หนานกงเยี่ยนพูดเชิงหยอกล้อ “ดูเหมือนว่าชื่อเซียนจื่อจะเหมือนกับฉวนเอ๋อร์ ต่างก็ขี้อาย”
“ไม่ใช่เช่นนั้นเพคะ”
อวิ๋นหลัวฉวนดีใจกับการได้ชื่อเซียนจื่อมาครอบครอง จากนั้นเป็นเวลาค่ำจึงได้ออกไปพร้อมกับหนานกงเยี่ยน
ทั้งสองออกจากจวนท่านอ๋องเย่ไป ฉีเฟยอวิ๋นยืนมองอยู่นาน เมื่อฉีเฟยอวิ๋นหันหลังเพื่อจะเดินกลับไป และเตรียมตัวที่จะจัดการเรื่องที่จะส่งเฟิ่งไป่ซูและซูอู๋ซินออกเดินทางกลับไป ทั้งสองบอกว่าจะท่องเที่ยวพเนจรไปทั่วหล้า และหาที่ปักหลักใช้ชีวิตอย่างสันโดษที่ไหนสักแห่ง ได้ยินแล้วนับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมาก แต่ความรู้สึกสำคัญฉีเฟยอวิ๋นแล้วนั้น ทั้งสองยังอยู่ที่นี่ไม่หนำใจเลย แต่ต้องออกเดินทางออกไปก่อนเพราะเฟิงอู๋ชิงจะมาในวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย
คืนนั้นฉีเฟยอวิ๋นไปหาเฟิ่งไป่ซูและซูอู๋ซิน ทั้งสองกำลังพักผ่อน ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าที่จะเปิดประตูเข้าไปโดยพลการดูว่าสองสามีภรรยากำลังทำอะไรกันอยู่
เธอรออยู่กว่าสองชั่วยามเพื่อรอให้ทั้งสองตื่นขึ้นมา ซูอู๋ซินเรียกพวกเขาเข้าไป จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่จึงเดินเข้าไป
ซูอู๋ซินแต่งตัวพร้อมแล้วและจับมือของจักรพรรดินีไว้เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
ฉีเฟยอวิ๋นถาม “บอกว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือเพคะ?”
“พรุ่งนี้ออกเดินทางจะพากันลำบากไปหมด ออกเดินทางเสียตั้งแต่คืนนี้จะได้ไม่ต้องร่ำลากัน”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก บนโลกนี้ยังมีคนเช่นนี้อยู่อีกหรือ หลายวันมานี้ ซูอู๋ซินต่างก็เข้ากันได้ดีกับคนในจวน โดยเฉพาะท่านพ่อของเธอ ทั้งสองมักจะนั่งร่ำสุราพูดคุยกัน ถึงแม้ว่าอวิ๋นจิ่นจะไม่อยู่ แต่ทั้งสามก็มักจะนั่งกินนั่งดื่มกันในเรือนบ่อยครั้ง แต่วันนี้กลับจะจากไปโดยไม่บอกท่านพ่อของเธอสักคำ ทั้งสองคนนี้ไม่มีมารยาท ฉีเฟยอวิ๋นรับรู้ได้แล้ว
“ตอนนี้อวิ๋นจิ่นกำลังตั้งครรภ์ พวกท่านไม่อยู่แสดงความยินดีกับท่านพ่อก่อนแล้วค่อยจากไปล่ะเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นเตือนด้วยความหวังดี
“เรื่องยินดีคงไม่จำเป็นหรอก คนเยอะแยะเช่นนี้ พวกข้าทั้งสองคงไม่สำคัญอะไร” ซูอู๋ซินพูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาเป็นผู้อาวุโสกว่า จึงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้
เฟิ่ไป่ซูกล่าวว่า “หากมีวาสนาต่อกันก็คงจะได้พบกันอีก เจ้าก็กำลังตั้งครรภ์ รอให้ลูกของเจ้าเกิดออกมา หากพวกเขาสามารถมาได้ทัน พวกเราจะมาอย่างแน่นอน”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นหมดคำพูด เป็นอีกคนที่พูดขึ้นมาอย่างไร้จิตใจ ราวกับเหมือนว่าพวกเขาไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว
คนเช่นนี้เรียกว่าไร้ประโยชน์ ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่คิดจะยื้อเอาไว้
พูดเป็นมารยาทออกไปไม่กี่คำ จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ส่งทั้งสองออกไปนอกจวน
ตอนแรกก็ยังคงเห็นเงาของทั้งสอง แต่หลังจากนั้นเงาของทั้งสองก็ห่างไกลออกไปจนไม่เห็น
ยอดนักฝีมือก็คือยอดนักฝีมือ ฉีเฟยอวิ่นยืนมองอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในจวน
“วันนี้อวิ๋นอวิ๋นดูไม่มีความสุขหรือ?”
“เจอกับคนสองคนที่ไร้จิตใจ จะให้มีความสุขได้อย่างไรเพคะ?”
“งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องไป พวกเขามาอยู่ที่นี่สองสามแล้ว หากยังไม่กลับ เช่นนั้นก็ต้องปักหลักอาศัยอยู่ที่นี่เสียแล้ว หรืออวิ๋นอวิ๋นอยากให้พวกเขาอยู่ที่นี่?”
“อยู่ที่นี่นั้นหม่อมฉันไม่เคยคิดไว้ แต่ตอนนี้ท่านพ่อของหม่อมฉันก็แต่งงานไปแล้ว อวิ๋นจิ่นก็กำลังตั้งครรภ์ พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีของท่านพ่อ เช่นนั้นก็ต้องอยู่ต่อเพื่อร่วมแสดงความยินดีเสียหน่อย แต่พวกเขากลับจากไปเช่นนี้ จะไม่ให้คิดเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรเพคะ”
“ปกติแล้วไม่ว่าใครก็ไปมาได้โดยอิสระ ไม่ว่าพวกเขาจะทักทายหรือบอกลากันหรือไม่ แต่ในใจของพวกเขาทั้งสองก็มีท่านพ่อตาอยู่ในนั้น”
“ท่านช่างรู้จักพูด ตอนที่พวกเขาอยู่ ทำไมหม่อมฉันไม่เห็นท่านอ๋องจะเป็นเช่นนี้เลยเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นพูดหยอกล้อ หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาใกล้
“ตอนที่พวกเขาอยู่ข้าก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่คนเยอะมากเกินไป อวิ๋นอวิ๋นจึงไม่ได้สังเกตข้าก็เท่านั้นเอง” ปากหวาน แต่ในใจนั้นขมขื่น หนานกงเย่รู้อย่างลึกซึ้งว่าผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมไร้จิตใจ
คืนนั้นไป่จุนจู่และเจียงอวิ๋นเฟิงก็เตรียมที่จะออกเดินทาง ทั้งสองยังตั้งใจที่จะพาจื่อฮว่าติดตามไปด้วย ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเรื่องนี้จึงรีบไปที่ห้องของไป่จุนจู่
เมื่อเข้าไปข้างใน ไป่จุนจู่ก็ได้จัดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จื่อฮว่าอยู่ในอ้อมกอดของเจียงอวิ๋นเฟิง
เจ้าห้ายืนอยู่ในห้องด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก
ฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้สึกลำบากใจ เด็กยังตัวเล็กและอายุน้อย หากมอบให้กับไป่จุนจู่เธอก็รู้สึกกังวล แต่ไป่จุนจู่ยืนยันที่จะจากไป และจะไม่ทิ้งจื่อฮว่าไว้คนเดียว
แต่เจ้าห้ามีความหมกมุ่นในจื่อฮว่า เธอจึงไม่สนใจเรื่องนี้ไม่ได้
“จุนจู่จะจากไปเช่นนี้ เด็กทั้งสองต้องจากกัน พวกเขาต้องเจ็บป่วยไม่สบายแน่ๆ พวกเขาต่างก็ยังเล็ก จุนจู่ทำได้อย่างไร”
ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกขมขื่นเช่นกัน
“ข้ารู้ความคิดของเจ้า แต่ข้าก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้ตลอด ข้ายกเลิกที่จะให้จื่อฮว่าเข้าร่วมการฝึกซ้อมจุนจู่อะไรนั่นแล้ว เจ้าพูดถูก ข้าไม่อาจตัดสินใจแทนจื่อฮว่าได้ และข้าก็ไม่มีวันยอม หลังจากกลับไป ข้าจะบอกพวกเขา เจ้าวางใจได้”
“เจ้าพูดไปพวกเขาก็อาจไม่เชื่อ พวกเขาต้องไม่ปล่อยแน่ๆ ต้องการให้จื่อฮว่าเข้าร่วมการคัดเลือกหรือไม่นั้น มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการกำจัดอย่างรวดเร็ว พวกเจ้าสามารถป้องกันได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่อาจป้องกันไปได้ตลอดชีวิต ถึงตอนนั้นคนที่เจ็บและโดนทำร้ายก็จะเป็นจื่อฮว่า”
“แต่ถึงอย่างไรจื่อฮว่าก็เป็นลูกของพวกเรา ข้าจะนางกลับไป” ไป่จุนจู่ยืนยันที่จะจากไป ฉีเฟยอวิ๋นห้ามยังไงก็ไม่ฟัง จากนั้นจึงหันกลับไปมองเจ้าห้า ใบหน้าของเจ้าห้าซีดลง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปอุ้มเจ้าห้าขึ้นมา “เจ้าห้ายังเด็กเกินไป แม่ไม่อาจให้เจ้าติดตามไปด้วยได้ พรุ่งนี้แม่จะต้องคอยต้อนรับท่านอาจารย์ของเจ้า และยังต้องจัดการเรื่องโรงเรียนพยาบาล การเดินทางที่ยาวนานและแสนไกลก็เป็นอุปสรรคต่อน้องของเจ้าที่อยู่ในท้องของแม่”
เจ้าห้าไม่ยอมพูดจาและเม้มปากเอาไว้ ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่จื่อฮว่า
จื่อฮว่าร้องเสียงเย็นชาออกมาและยกหัวขึ้นมาที่ไหล่ของเจียงอวิ๋นเฟิง ถึงแม้จะไม่ถึงสองเดือน แต่จื่อฮว่าก็แข็งแรงกว่าเด็กๆ ที่โตกว่า ตอนนี้นางเป็นเด็กที่ร่าเริงราวกับเด็กอายุหนึ่งขวบ ขนาดเสียงที่ร้องออกมาก็ดูมีพลังกว่าคนปกติ
ไป่จุนจู่ก็ไม่ลังเล “พวกเราไปก่อนล่ะ”
เมื่อพูดจบไป่จุนจู่ก็พาเด็กออกไป