บทที่ 852 ขโมยหนังเสือ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 849 ขโมยหนังเสือ

เด็กๆที่รักทั้งหลายได้อาศัยอยู่ตามที่พวกเขาหวังไว้ ฉีเฟยอวิ๋นส่งเด็กๆที่รักทั้งหลายให้อวิ๋นจิ่นแล้วจากไปเสียก่อน

วันนี้อวิ๋นจิ่นมีความสุขนัก ออกจากห้องแล้วยังพาเด็กๆทั้งหลายเดินรอบๆจวนแม่ทัพ

แม่ทัพฉีคิดเรื่องหนึ่งออกว่าอากาศหนาวแล้วจึงต้องการเตรียมห้องให้อวิ๋นจิ่นเป็นอย่างดี แต่หากว่ามีเตาถ่านมากเกินไปในห้องจะสำลักและเกิดไฟไหม้อีกด้วยซึ่งไม่เป็นผลดีต่อคน

นึกถึงว่าตนเองยังมีหนังเสืออยู่สองผืน เดิมทีคิดที่จะมอบให้ฉีเฟยอวิ๋นเป็นสินสอดยามออกเรือน เช่นนั้นจะต้องสง่าผ่าเผยยิ่งนัก

แต่ตอนนั้นที่หนานกงเย่เป็นเช่นนั้น แม่ทัพฉีไม่เห็นชอบจึงไม่ได้นำออกมา

ตอนนี้นึกขึ้นได้โดยไปยังห้องฝึกซ้อมยุทธและกำลังจะนำหนังเสือออกมา เมื่อเปิดช่องลับแม่ทัพฉีก็ตกตะลึงแล้วหนังเสือหล่ะ?

ค้นหาเป็นเวลานานแม่ทัพฉีก็ไม่พบหนังเสือจึงไม่พอใจเสียแล้ว

ออกมาจากห้องฝึกวิทยายุทธแล้วแม่ทัพฉีก็ถามพ่อบ้านว่า: “ผู้ใดเข้ามาในห้องฝึกซ้อมยุทธ?”

พ่อบ้านไร้เดียงสา: “ท่านเพิ่งเข้าไปมิใช่หรือ?”

“พูดจาไร้สาระ ผู้อื่น!”

“ไม่เห็นขอรับ ท่านแม่ทัพสิ่งใดหายไปหรือ?” พ่อบ้านใจเต้นตึกๆตักๆหนังเสือหายไปหรือ?

“……”แม่ทัพฉีรู้สึกหดหู่ใจจึงไปหาอวิ๋นจิ่น เมื่อเข้าประตูก็ถามเด็กๆที่รักทั้งหลายว่าได้ไปที่ห้องฝึกซ้อมยุทธหรือไม่ เด็กๆทั้งหลายส่ายศีรษะ

“ท่านแม่ทัพมีสิ่งใดหรือ?” อวิ๋นจิ่นรู้สึกงุนงง

“หนังเสือที่ข้าเตรียมไว้เพื่อเป็นสินสอดออกเรือนของอวิ๋นอวิ๋นหายไปแล้ว” แม่ทัพฉีนั่งลงด้วยสีหน้าซึ่งไม่ค่อยดีนัก

อวิ๋นจิ่นสงสัย: “อยู่ดีๆเหตุใดถึงหายไป?”

“ไม่รู้ เก็บไว้สิบกว่าปีแล้ว ขณะที่อวิ๋นอวิ๋นอายุสามขวบได้นำกลับมา ก่อนหน้านี้ขณะที่นางแต่งงานได้นำออกมาดูซึ่งหนังเสือก็ยังอยู่ เดืมทีคิดว่าให้เป็นสินสอดส่งออกไปพร้อมกันแต่ข้าไม่พอใจหนานกงเย่จึงไม่ได้ให้ คิดว่าวันหน้าก็ค่อยว่ากัน

อากาศหนาวแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ วางแผนที่จะนำมาทำให้ร่างกายของจิ่นเอ๋อร์อุ่นขึ้นแต่กลับหายไปเสียแล้ว

แล้วก็ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อใด”

แม่ทัพฉีรู้สึกจนใจอยู่เต็มอก เสียดายหนังเสือสองผืนนั้นซะแล้วซึ่งเป็นราชาแห่งเสือทั้งนั้น

อวิ๋นจิ่นเหลือบมองดูเด็กน้อยทั้งหลายที่ไม่ได้มองแม่ทัพฉีเลยและมีความคิดคำนวณเอาไว้ในใจ

“หายไปก็หายไปต่อไปยังมีโอกาส ที่นี่ก็ไม่หนาวและท่านแม่ทัพก็อบอุ่นด้วย” อวิ๋นจิ่นยังคงรู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง เมื่อแม่ทัพฉีได้ยินนางกล่าวก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่หนังเสือหายไปแล้วสำหรับแม่ทัพฉีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ

“อีกไม่กี่วันในจวนก็จะสงบเงียบแล้ว ลองสืบดูเช่นไรก็สืบพบจนได้”

“ก็ดี”

ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปทางหนานกงเย่โน่นแล้วเล่าเรื่องหนังเสือ

“เก็บไว้ให้ท่านพ่อตาผืนหนึ่งเถอะ เพื่อหลีกเลี่ยงให้ท่านพ่อตาหาพวกเราเจอแล้วรับผิดชอบไม่ไหว” หนานกงเย่รู้สึกว่าพบเจอกันแบ่งกันคนละครึ่งก็เพียงพอแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียใจอยู่บ้างแต่ก็ยังกล่าวว่า: “เดิมทีข้าวางแผนที่จะให้เสี่ยวเฉียวผืนหนึ่ง ให้ในท้องผืนหนึ่ง ให้ท่านพ่อก็ไม่มีแล้ว”

หนานกงเย่พูดไม่ออก: “เจ้าเอาของผู้อื่นมาเจ้ายังรู้สึกชอบธรรมเช่นนี้ เจ้าคงจะไม่แยกหนังเสือออกเป็นสองผืนหรอกนะ?”

“ทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ภายภาคหน้าแต่งงานจะใช้เป็นสินสอด มีหนังสือผืนหนึ่งเป็นเรื่องที่จะดูสง่าผ่าเผยเท่าใด?”

“งั้นก็ส่งเจ้าเสือน้อยไปก็ยิ่งสง่าผ่าเผยกว่าแล้วยังสามารถปกป้องดูแลเรือนได้ หากว่าเจ้าเสือไม่เชื่อฟังก็กินซะเลยก็พอแล้ว”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นไร้คำพูดแล้วกลับไปนั่งลง

“ข้าจะไปบอกท่านพ่อตาว่าข้าเป็นผู้นำหนังเสือไป”

หนานกงเย่วางเจ้าห้าลงแล้วก็ไปหาแม่ทัพฉี

เมื่อแม่ทัพฉีรู้เรื่องนี้ก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งโมโห: “เจ้านำไปตั้งแต่เมื่อใด?”

“ตอนที่แต่งงาน ข้ามาที่จวนแม่ทัพเห็นท่านพ่อตานำของบางอย่างไปวางไว้ในช่องลับของห้องฝึกซ้อมยุทธจึงได้เหลือบมองแล้วรู้สึกว่าดีจริงๆจึงได้เอาไป

เมื่อครู่อวิ๋นอวิ๋นบอกข้าว่าท่านพ่อตาหาหนังเสือ ข้าถึงได้นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้และขอให้ท่านพ่อตาอย่าได้ถือสาเอาความ”

แม่ทัพฉีโมโหแต่สามารถนำมาให้ก็เป็นเรื่องที่ดี

“งั้นเจ้ากลับไปนำมันมา”

“เมื่อครู่ข้าบอกกับอวิ๋นอวิ๋น อวิ๋นอวิ๋นจึงคิดที่จะเก็บไว้ผืนหนึ่ง” หนานกงเย่กล่าวขึ้นทันที

แม่ทัพฉีกล่าวอย่างเย็นชา: “อวิ๋นอวิ๋นพูดหรือว่าเจ้าพูด?”

“เป็นอวิ๋นอวิ๋น”

หนานกงเย่สีหน้ามั่นคงแน่วแน่ แม่ทัพฉีคิดถึงว่าลูกชายเป็นผู้ให้กำเนิดเองและลูกสาวก็เป็นเลือดเนื้อไม่เช่นนั้นก็คนละหนึ่งผืน

“เช่นนั้นพวกเจ้าเก็บไว้ผืนหนึ่ง ที่เหลือนำกลับมา”

“สักครู่ลูกเขยจะกลับไปนำมา”

หนานกงเย่หันหลังจากไปแม่ทัพฉีถึงได้กลับไป

หนานกงเย่กลับไปในห้องแล้วพูดเรื่องที่จะเก็บเอาไว้ผืนหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียดายอยู่เต็มอกแล้วหนังเสือหนึ่งผืนจะให้ผู้ใดดี

พักผ่อนยามกลางคืนฉีเฟยอวิ๋นนึกเรื่องหนึ่งออก องค์หญิงใหญ่มีหนังเสือผืนหนึ่งและสามารถนำมาได้

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมาแล้วพูดเรื่องนี้กับหนานกงเย่ หนานกงเย่มองดูเวลาจากนั้นมองนางด้วยความโมโห: “หนังเสือสำคัญหรือว่าข้าสำคัญ?”

“หนังเสือ!”

หนานกงเย่กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา: “นอนซะ หากว่าไม่นอนข้าจะนำเอาอีกผืนหนึ่งมาด้วย”

ฉีเฟยอวิ๋นนอนลงทันที จากนั้นห่มผ้าห่มแล้วหลับตาลง หนานกงเย่หันไปมองนางแล้วค่อยดับไฟด้วยความโมโห

เรื่องหนังเสือกลายเป็นปัญหาหนึ่งอยู่ในใจของฉีเฟยอวิ๋น กลับจวนอ๋องเย่แล้วก็คิดถึงเรื่องนี้แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เหม่อลอยอยู่กับหนังเสือผืนหนึ่ง

เสี่ยวเฉียวมานางก็มอบให้เสี่ยวเฉียว เสี่ยวเฉียวชื่นชอบยิ่งนักแล้วปูหนังเสือบนพื้นซึ่งรู้สึกสบายยิ่งนักในขณะนอน

“ท่านแม่ ท่านให้หนังเสือนี้กับข้าแล้วน้องสาวหล่ะ?” เสี่ยวเฉียวได้ยินว่าในครรภ์ของฉีเฟยอวิ๋นเป็นน้องสาว

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดครู่หนึ่ง: “แม่จะจัดหาอีกผืนให้กับน้องสาว!”

“สามารถนำของเสี่ยวเฉียวให้กับน้องสาว!” เสี่ยวเฉียวช่างรู้ความนักแล้วมองย้อนกลับไปยังฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ: “น้องสาวยังไม่เกิดให้เจ้าก่อน หากน้องสาวเกิดยังไม่มี พวกเจ้าอาศัยอยู่ด้วยกันเจ้าจำไว้ว่าต้องดูแลน้องให้ดีก็พอ”

“อืม”

เสี่ยวเฉียวรับปากฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นเดินออกไป แม้ว่านางจะกล่าวเช่นนั้นแต่ว่านางก็ยังคงต้องการหนังเสือผืนหนึ่งยิ่งนัก

วันนี้หนานกงเย่นับสิ่งของในจวนอ๋องตวน ตามธรรมเนียมแล้วจะต้องส่งของทั้งหมดเข้าวัง ฉีเฟยอวิ๋นว่างจึงพาเฟยอิงไปยังจวนอ๋องตวนโดยเดิมคิดว่ามีสิ่งใดสามารถช่วยเหลือได้ ไปแล้วถึงได้รู้ว่าในจวนอ๋องตวนมีสิ่งของมากมายในจวนอ๋องตวน

ผ้าไหมก็มีเป็นพันๆชิ้น และเป็นวัสดุชั้นดีทั้งนั้น

หนานกงเย่รับผิดชอบในการขนส่งและเขามีหน้าที่จดบันทึก

ฉีเฟยอวิ๋นไปดูแล้วไข่มุกเม็ดเท่าดวงตาของม้านั้นมีอยู่หลายพันเม็ด อีกทั้งแต่ละเม็ดเต็มเม็ดเต็มหน่วยและประกายไข่มุกงดงามยิ่งนัก

ฉีเฟยอวิ๋นกุมไปกำหนึ่งแล้วกล่าวว่า: “พูดอยู่เสมอว่าเมืองต้าเหลียงไม่มีเงิน นี่ไม่ใช่หรือ?”

วางลงแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปด้านในและในไม่ช้าฉีเฟยอวิ๋นก็เจอของดีเข้า ในจวนอ๋องเย่นั้นมีหนังเสือขาวอยู่ผืนหนึ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นชื่นชอบยิ่งนักและยังไม่เคยใช้ด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบมาสัมผัส ดีกว่าที่ชิ้นที่นางนำกลับไปเสียอีก

เก็บเอาไว้แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ใส่ไว้ในอ้อมอกแล้วแบกท้องเดินจากไป

หนานกงเย่เห็นว่าท้องของฉีเฟยอวิ๋นแปลกๆจึงได้เดินตามไป

ไปถึงข้างกายฉีเฟยอวิ๋นหนานกงเย่ถามว่า: “สิ่งใด?”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ไม่มีสิ่งใดเลย”

“เหตุใดท้องถึงได้ใหญ่เช่นนี้?” หนานกงเย่ไม่คิดเลยว่าหัดขโมยของซะด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นสัมผัสท้อง: “คาดว่าจะคลอดแล้ว เด็กคนนี้แตกต่างจากคนอื่น ข้าจะกลับไปก่อนรู้สึกอาการไม่ค่อยดี ท่านอ๋องยุ่งเสร็จแล้วก็กลับมานะ”

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มท้องแล้วก็จากไป

หนานกงเย่มองดูฉีเฟยอวิ๋นเร่งรีบกลับจวนอ๋องเย่ เฟยอิงกล่าวขึ้นว่า: “ท่านอ๋อง ข้าน้อยไปก่อน”

“อืม”

หนานกงเย่กระทั่งยามดึกดื่นค่ำคืนถึงได้กลับมา เมื่อเข้าประตูมาแล้วก็ไปยังตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นแล้วถามว่า: “ของหล่ะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นหน้าตาประหลาดใจ: “ของสิ่งใด?”

หนานกงเย่นั่งลงเรียบร้อยจากนั้นก็เปลื้องเสื้อผ้าพร้อมกับมองฉีเฟยอวิ๋นไปด้วย: “วันนี้ไม่ให้พรุ่งนี้ข้าก็ไม่สามารถให้คำอธิบายได้!”