บทที่ 883 ดารานิรันดร์ที่ล่มสลาย!/บทที่ 884 ทางเดียวคือต้องสู้!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 883 ดารานิรันดร์ที่ล่มสลาย!

พลังปราณของชายหนุ่มระเบิดกระจายออกมา ดวงเนตรปีศาจลืมตาตื่น ด้วยการเสริมพลังจากเกราะจักรพรรดิและพลังจากอาวุธเทพทำให้การฟาดฟันนั้นสั่นคลอนทั้งฟ้าดิน ต้านทานหมอกโลหิตเอาไว้ได้และฟันขาดครึ่งเป็นสองส่วน ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม เลือดสดๆ กระอักออกมาจากมุมปาก แรงปะทะสั่นสะเทือนไปรอบด้าน กระตุ้นให้พายุสุริยะบนดารานิรันดร์โหมกระหน่ำขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพัดกระจายไปทั่วเหมือนน้ำพุปะทุขึ้นในทันใด

พลังระเบิดรุนแรงมากจนราวกับว่าจะสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง สีหน้าของหวังเป่าเล่อพลันแปรเปลี่ยน แม้แต่ผู้อาวุโสฝ่ายขวายังต้องหรี่ตาและถอยกลับไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาส่องประกายขณะตั้งผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและโจมตีออกไปทั่วทิศทางพร้อมถอยหลังกลับ การโจมตีเหมือนจะสุ่มไปมั่วๆ แต่ก็ได้ผลอย่างยิ่งยวด!

นั่นเพราะ…เมื่อเขาทำการโจมตี พายุสุริยะที่โหมกระหน่ำก็ได้รับการกระตุ้นอีกครั้งและระเบิดออกเป็นวงกว้าง เข้าเขมือบหวังเป่าเล่อไว้ภายใน

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาร้องคำราม เขาแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปากขณะกำลังใช้พลังทั้งหมดในการป้องกันตนเอง

“เหออวิ๋นจื่อบอกว่า ถ้าไม่มีอำนาจควบคุม คนที่ได้ฝึกวิชาดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ บนดารานิรันดร์นี้ หลงหนานจื่อ อย่าคิดว่าเจ้าแตกต่างไปจากใครคนอื่นที่นี่…ครั้งนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”

“บ้าชะมัด!” หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังเทพทั้งหมดที่มีด้วยสีหน้าราบเรียบเข้าต้านทานพายุสุริยะที่ตรงเข้ามากลืนกินไปพร้อมกับรีบรุดถอยหนี เขาตระหนักขึ้นมาในตอนนั้นว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาจุดอ่อนเพื่อหลบหนีออกไป ชายหนุ่มไม่สามารถขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปได้เพราะความรุนแรงของพายุ

แม้จะดูเหมือนว่าเขาสามารถต้านทานการโจมตีของผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ แต่คลื่นความร้อนที่พายุสุริยะสร้างมาก็ทำให้ชายหนุ่มสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่แสงจ้าบดบังสายตา นอกจากนี้ ร่างกายของหวังเป่าเล่อเหมือนจะเกิดการปริแตกและแทบระเหิดหายไปเมื่อพายุเข้ากลืนกิน

ต้องทุ่มทุกอย่างที่มี! เมื่อตระหนักว่าไม่สามารถหลบได้ หวังเป่าเล่อก็ร้องคำรามเมื่อเกราะจักรพรรดิเข้าเสริมพลังให้เขาราวกับมันได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ดวงเนตรปีศาจเบื้องหลังขยายใหญ่และแปรสภาพเป็นดวงเนตรปีศาจจำนวนมากที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม แม้แต่เปลวไฟสีดำในร่างก็พัดกระจายไปรอบด้าน ชายหนุ่มทุ่มทุกอย่างที่มี ร่างของเขาและผู้อาวุโสฝ่ายขวากำลังจะถูกพายุสุริยะที่พุ่งเข้ามากลืนกินในไม่ช้า

พายุพัดผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึงชั่วสิบอึดใจ ก่อนจะพัดกระจายจากบริเวณที่ทั้งสองอยู่ออกไปยังจักรวาลที่อยู่ห่างไกล เมื่อพลังพายุสุริยะพัดกระจายไป ร่างของหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ปรากฏให้เห็นจากภายใน

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาสั่นระริกไปทั่วร่าง รอบกายมีสมบัติเวทจำนวนมากช่วยคุ้มกัน ร่างของเขาซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัดขณะที่สมบัติเวทมากมายสลายกลายเป็นฝุ่นผง ความหวาดกลัวฉายวาบขึ้นในแววตา พอได้สัมผัสพายุเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าตนเองคิดผิดไป แม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่พลังมหาศาลเมื่อครู่ก็ทำให้หัวใจและกล้ามเนื้อทุกส่วนสั่นรัว

ถ้าหลงหนานจื่อไม่ตาย ก็ต้องบาดเจ็บหนัก! แม้จิตใจจะยังสั่นเทิ้ม เขาก็ยังหันไปทางหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อเลื่อนสายตาไป ดวงตาของผู้อาวุโสก็ต้องเบิกกว้าง

ความจริงที่เห็นนั้น…แม้หวังเป่าเล่อจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้บาดเจ็บหนักเหมือนที่คิดเอาไว้ แท้จริงแล้ว หลังจากพายุพัดกระจายออกไป หวังเป่าเล่อกลับปลดปล่อยพลังเต็มพิกัดหลบหนีออกไปไกลในชั่วพริบตา

หืม หรือเจ้านั่นจะมีสมบัติเวทบางอย่าง…แต่บนดารานิรันดร์แห่งนี้ ไม่ว่าสมบัติเวทจะแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่มีทางทานทนได้นาน! เมื่อคิดย้อนไปว่าหวังเป่าเล่อมีเรือบินรบเวทมากมาย ชายหนุ่มก็น่าจะมีสมบัติสำหรับป้องกันสักชิ้นสองชิ้น ดังนั้นผู้อาวุโสฝ่ายขวาจึงไม่ได้คิดอะไรต่อให้มากความ ก่อนจะกัดฟันออกไล่ตามไป!

แต่ผู้อาวุโสไม่ได้รู้เลยว่า…หวังเป่าเล่อในตอนนี้มีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ในใจ นั่นก็เพราะ…พายุสุริยะเมื่อครู่นั้นแม้จะดูน่าพรั่นพรึง แต่หลังจากระเบิดไปรอบบริเวณ กลับไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เขาคิดเอาไว้!

อธิบายให้ชัดเจนคือชายหนุ่มมีพลังต้านทานบางอย่างในร่างกายที่สามารถต้านทานพลังเกือบครึ่งของพายุสุริยะที่เข้ามากลืนกิน ทำให้เขาสามารถทานทนพายุได้

เกิดอะไรขึ้นกัน

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ใช่คนเขลา เขาบอกว่าวิชาดวงเนตรปีศาจใช้ไม่ได้ผลที่นี่ก็ต้องเป็นเช่นที่เขาว่าสิ เพราะเหออวิ๋นจื่อก็ได้ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจเช่นกัน อีกอย่างพวกเขาเคยยึดดารานิรันดร์แห่งนี้ ดังนั้นจึงสามารถทดสอบดูตอนไหนก็ได้

ถ้าไม่เป็นเช่นที่ว่า ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงไม่ตามมาใกล้เช่นนี้ เขาต้องมั่นใจว่าท่ามกลางภัยอันตรายในระดับเท่ากันนี้ ข้าจะต้องตายก่อนเขา…

เช่นนั้น…ทำไมพลังพายุสุริยะครึ่งหนึ่งถึงไม่เป็นผลตอนที่กลืนกินข้า หรือเป็นเพราะเปลวไฟสีดำ ไม่ใช่ ตอนที่ข้าสกัดเปลวเพลิงดารานิรันดร์ออกมา ถึงเปลวไฟสีดำจะมีผลบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากอะไร ถ้าอย่างนั้น…ก็เป็นไปได้แค่อย่างเดียว!

…………………..

บทที่ 884 ทางเดียวคือต้องสู้!

หวังเป่าเล่อไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมั่นใจว่าวิชาดวงเนตรปีศาจช่วยลดทอนพลังครึ่งหนึ่งของพายุสุริยะไป ถึงกระนั้นก็ใกล้ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว แม้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์และน่าจะมีหนทางในการลดทอนพลังไปบ้าง สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ต้องอ่อนแอกว่าชายหนุ่ม

ดังนั้น…ถ้าหวังเป่าเล่อรู้สึกว่าใกล้ถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ต้องใกล้ถึงขีดจำกัดด้วยเช่นกัน!

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเขาหันไปมองผู้อาวุโสฝ่ายขวา สภาพปัจจุบันของอีกฝ่ายนั้นดูเลวร้ายอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมหายไปจากหัวหมด ร่างกายซูบเซียวจนดูเหมือนโครงกระดูก พลังปราณที่แผ่ออกมาก็ดูอ่อนแรงลง เงามายาของดาวเคราะห์ปรากฏอยู่ด้านนอกร่างกายของผู้อาวุโส และดูเหมือนกำลังจะแหลกสลาย

ทั้งหมดพิสูจน์ได้จากความคลุ้มคลั่งและการไม่ยอมรับที่ฉายชัดในแววตาของชายชรา ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อสามารถลดทอนพลังดารานิรันดร์ได้ การลดทอนพลังดังกล่าวไม่ได้มาจากสมบัติเวท แต่เป็นพลังของชายหนุ่มเอง!

ผู้อาวุโสตระหนักเรื่องนี้ช้าเกินไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าหวังเป่าเล่อพยายามซ่อนเรื่องนี้ไว้ด้วยการกระอักเลือดสดๆ และร้องครวญครางออกมาเป็นพักๆ ขณะหลบหนีเพื่อตบตา ผู้อาวุโสฝ่ายขวาย่อมสามารถมองออกได้ทันทีว่าเป็นกับดัก

แต่หวังเป่าเล่อกลับเงียบมาโดยตลอดและพุ่งทะยานออกไปอย่างดุดัน การกระทำของชายหนุ่มทำให้ผู้อาวุโสมองออกได้ยากว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล กระนั้นเขาก็ตอบโต้อย่างรวดเร็ว หลังจากมองพิจารณาหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสก็เริ่มถอยหนีออกห่างอย่างไม่ลังเลใจ เขาไม่ได้แค่หนี แต่ยังยกมือสองข้างตั้งผนึกฝ่ามือขณะถอยออกห่าง พยายามสร้างพลังผนึกป้องกันไม่ให้หวังเป่าเล่อหลบหนีออกไปได้เหมือนเช่นตนเองโดยเลือกที่จะลงมือก่อน

“หลงหนานจื่อ เจ้าเล่ห์นักหรือ ข้ายอมรับว่าข้าสะเพร่าเกินไป แต่…ในเมื่อเจ้าเลือกเข้ามาที่นี่ ก็เท่ากับว่าเจ้าได้เลือกที่จะจบชีวิตแล้ว ข้าไม่ต้องโจมตีอะไรเจ้ามาก แค่กันไม่ให้เจ้าออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว!” เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาคว่ำฝ่ามือลง พลังเทพก็ปะทุออกมา ผนึกมือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและพุ่งไปปะทะหวังเป่าเล่อ

“ในหมู่ผู้ฝึกตน สิ่งสำคัญที่สุดคือระดับการฝึกตน ข้าอยู่ระดับดาวพระเคราะห์ ส่วนเจ้าอยู่แค่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ บนดารานิรันดร์แห่งนี้ ขอแค่ข้าทนอยู่ได้นานกว่าเจ้า เจ้าก็ต้องจบชีวิตลงที่นี่แน่!”

ดวงตาของผู้ฝึกตนฝ่ายขวาส่องประกายคลุ้มคลั่งขณะที่พลังปราณระเบิดออกมาจากทั่วร่าง ในฐานะที่เป็นทั้งผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และเป็นผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงผ่านการต่อสู้มามากมายและกลายเป็นคนเด็ดขาด ตอนนั้นเขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าดาวเคราะห์ของตนจะเริ่มปริแตกขณะพยายามจัดการหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสต้องการเปลี่ยนความคิดที่จะเข้าไปใกล้ชั้นดารานิรันดร์ของชายหนุ่มให้กลายเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องนึกเสียใจเพราะมันเปรียบเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย!

“จริงหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า แม้รอยยิ้มนั้นจะดูไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมโหด

“แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าเจ้าไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์อีกต่อไป” หวังเป่าเล่อพูด แววเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในตา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นรอไว้ก่อนแล้ว ในมือของเขา…มีแผ่นหยกอยู่!

“สาป!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะปล่อยพลังปราณไปผสานรวมกับแผ่นหยกในมือ ทำให้แผ่นหยกสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมปลดปล่อยด้ายสีดำจำนวนมากออกมา ด้ายสีดำเป็นเหมือนใยแมงมุม ทันใดที่ปรากฏมันก็พุ่งเป้าไปที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจพายุดารานิรันดร์ในบริเวณ พุ่งตรงไปยังจุดระหว่างคิ้ว หมายจะเข้ากลืนกิน!

“นี่มัน…” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาหน้าซีดเผือดในทันใด สัญญาณอันตรายซึ่งเกินกว่าที่ดารานิรันดร์ทำให้ชายชรารู้สึกระเบิดขึ้นภายในใจ เขาสังหรณ์ใจว่าจะให้ด้ายนั่นเข้าใกล้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นจะต้องจบชีวิตลงเป็นแน่

ขณะที่กำลังตื่นตกใจสุดขีด ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ตั้งผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและปล่อยพลังเทพออกไปต้านทานไว้ นอกจากนี้ยังปล่อยสมบัติเวทมากมายออกมาช่วยอีกแรง

แต่ก็ไม่เป็นผล!

ด้ายดำเคลื่อนตัวทะลุผ่านพลังเทพและสมบัติเวทของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ระหว่างเคลื่อนตัวผ่าน ด้ายก็มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นจุดสีดำพุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ไม่เปิดโอกาสให้เป้าหมายได้ตอบโต้อะไร เหมือนว่าทุกอย่างได้กำหนดไว้แล้ว พริบตาต่อมา…ด้ายดำก็ปรากฏตัวฝังอยู่ตรงช่องว่างระหว่างคิ้วของชายชรา

เสียงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง ร่างผู้อาวุโสสั่นเทิ้มรุนแรงขณะที่เขากรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ผนึกและฝ่ามือมายาตรงหน้าที่เพิ่งปล่อยไปสลายหายไปทันที ขณะที่กรีดร้องอยู่นั้น พลังปราณของเขาเหมือนจะโดนยับยั้งไว้ จุดสีดำตรงหว่างคิ้วเปล่งแสง ก่อนจะกะพริบติดต่อกันเก้าครั้ง พลังปราณของผู้อาวุโสลดทอนจากระดับดาวพระเคราะห์…ลงมาเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์!

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างจากตอนที่หวังเป่าเล่อใช้คำสาปจัดการกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ครั้งนี้น่าตื่นตะลึงกว่ามาก เพราะเป็นการลดทอนพลังปราณจากระดับดาวพระเคราะห์ และนี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงไม่ยอมใช้คำสาปนี้กับผู้อาวุโสฝ่ายขวาก่อนหน้านี้

เขารู้ว่าการจะทำให้ระดับพลังปราณของผู้อาวุโสฝ่ายขวาตกลงได้นั้น จะต้องจัดการในตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในสภาพไม่สู้ดี จึงเป็นเหตุให้…ชายหนุ่มเลือกเข้าไปใกล้ชั้นดารานิรันดร์ ทั้งหมดนี้…เขาทำไปเพราะ…วางแผนจะใช้คำสาปนี้!

“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์อีกต่อไป ทีนี้ก็มาดูกันว่าใครจะทนอยู่ได้นานกว่ากัน กลัวว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่รอดแข่งขันกันกับข้าเพราะจะตายด้วยน้ำมือข้าไปเสียก่อน” จิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาหวังเป่าเล่อขณะที่เขาขยับตัวพุ่งตรงไปทางผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กำลังถอยหนีพร้อมกรีดร้องเสียงลั่น!

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่เกิดขึ้นทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่รู้ว่าจะต้องตอบโต้อย่างไร เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลงหนานจื่อที่อยู่ตรงหน้าจะมีเคล็ดวิชาน่าพรั่นพรึงเช่นนี้อยู่

โดยเฉพาะเมื่อชายชรานึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ขณะที่ร้องครวญครางจากความปวดร้าวราวกับวิญญาณกำลังถูกบดขยี้ ภาพแผนการวางกับดักและการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นในหัว ขณะเดียวกันเขาก็กำลังถอยหนีไปด้วยความหวาดกลัว

ทั้งฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ การที่ชายหนุ่มทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต้องบาดเจ็บหนัก การถ่วงเวลาผู้อาวุโสฝ่ายขวาไว้ทำให้ไม่สามารถตั้งผนึกใหม่ได้ทันเวลา ทั้งหมดรวมกับการที่ชายหนุ่มทำให้พายุสุริยะปั่นป่วน ส่งผลให้ผู้อาวุโสไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และต้องไล่ตามชายหนุ่มด้วยการปลดปล่อยพลังปราณ…

หลังจากนั้น หลงหนานจื่อก็เปลี่ยนทิศทางและมุ่งตรงไปยังชั้นดารานิรันดร์ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคิดว่าตนเองมองแผนการของหลงหนานจื่อได้ทะลุปรุโปร่งและมีแผนโต้ตอบเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายไว้พร้อมแล้ว แต่สุดท้าย…เขาก็พบว่าอีกฝ่ายยังมีเล่ห์กลซ่อนไว้อีก เป้าหมายของหลงหนานจื่อคือทำให้ตนอ่อนแอลงและปล่อยคำสาปน่าสะพรึงกลัวใส่

จากที่เคยคิดว่าถือไพ่เหนือกว่ากลับต้องตกเป็นรองในทันใด การคำนวณและกลยุทธ์เช่นนี้ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตื่นกลัวขึ้นมาจับจิต ก่อนหน้านั้น เขาก็ไม่ได้มองว่าหลงหนานจื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังประเมินอีกฝ่ายต่ำไปอยู่ดี

แต่ผู้อาวุโสก็รู้ตัวช้าไป และผลกระทบที่ตามมานั้นหนักหนาทีเดียว ขณะที่ความคิดมากมายฉายชัดขึ้นในหัว ร่างผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็กระตุกเกร็งจากการที่ต้องฝืนทนกับความเจ็บปวดที่ออกมาจากวิญญาณ เขารีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารหวังเป่าเล่อ แม้จะตื่นกลัวอยู่มากเพียงใด จิตสังหารก็ทวีคูณเพิ่มขึ้นเช่นกัน!

ข้าจะทุ่มทุกอย่างที่มี จะปล่อยให้คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!

แม้จะรู้ว่าตนเองตกหลุมพรางและอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง แต่เขาก็ยังมีไพ่ตายที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้!

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีกลยุทธ์อื่นใดหลงเหลืออยู่อีก แม้อีกฝ่ายจะยังมีไพ่ตายอะไรเหลืออยู่ก็คงไม่มีทางพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ได้ เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าคำสาปมีผลสูงสุดแค่สิบห้านาที ไม่ว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีวิธีการอะไร เมื่อคำสาปหมดฤทธิ์ เขาก็ต้องพบภัยอันตรายอยู่ดี

จะหนีก็ไม่ได้ เพราะหากยังติดอยู่ในดารานิรันดร์แห่งนี้ อนาคตต่อไปต้องมืดหม่นแน่ และคงจะถูกไล่ตามมาไม่เร็วก็ช้า นอกจากนี้ วิธีนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่หวังเป่าเล่อมักจะเลือกทำ

ดังนั้น…ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสู้!

ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะไม่ตื่นกลัวเมื่อตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขา ซึ่งก็คือไม่สามารถออกจากดารานิรันดร์แห่งนี้ได้เพราะได้ทำลายจุดอ่อนของที่นี่ไปเองตอนที่ไล่ตามมา พายุสุริยะบนดารานิรันดร์ปั่นป่วนหนักทำให้ทั้งสองไม่สามารถใช้สัมผัสสวรรค์ได้ ภัยอันตรายล้อมรอบตัว การจะหาจุดอ่อนของพลังธรรมชาติจุดอื่นให้เจอเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก!

ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไป ก็ยิ่งออกจากที่แห่งนี้ได้ยากยิ่งขึ้น

เว้นเสียแต่…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีวิธีอื่นที่ใช้ออกจากที่แห่งนี้ตอนไหนก็ได้ จึงกล้าตัดสินใจไล่ตามข้ามา!