ตอนที่ 626 แฝงตัวเข้าสู่ชนเผ่าเอลฟ์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากทราบเนื้อหาในจดหมายฉบับนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็สงสัยใคร่รู้มากยิ่งขึ้น

การที่จู่ ๆ ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้เหี่ยวเฉาอย่างกะทันหันคาดว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว กบฏที่แฝงตัวอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ผู้ซึ่งยอมจำนนต่อฝ่ายมารมาเป็นระยะเวลานานก็น่าจะเป็นผู้ที่มีสถานะสูงพอสมควร

คนผู้นั้นจะต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอนและจะต้องมีพลังอำนาจและอิทธิพลในชนเผ่าเอลฟ์ที่ไม่ธรรมดา

เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับคนผู้นั้นอยู่ในจดหมายฉบับนี้ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่ทราบด้วยซ้ำว่าคนผู้นั้นเป็นบุรุษหรือสตรี

“นายหญิง ท่านคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับท่านพ่อของข้าหรือไม่ ?”

สั่วซีหย่าลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามเสียงเบา นางไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบิดาของตน อย่างไรก็ตาม มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ทราบเกี่ยวกับตนและมารดา การที่มีใครบางคนส่งคนมาตามกำจัดนางและมารดาและยังทราบอย่างชัดเจนอีกว่าทั้งสองอาศัยอยู่ที่ใดนั้น มันไม่ยากเลยที่จะตั้งข้อสงสัยว่าเรื่องนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับบิดาของนาง

“ข้าก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่…ข้าคิดว่าพ่อของเจ้าอาจไม่รู้เรื่องนี้ น่าจะเป็นเพราะเขาเปิดเผยที่อยู่ของเจ้าและแม่โดยบังเอิญจึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา กบฏที่กล่าวถึงน่าจะเป็นคนใกล้ชิดกับพ่อของเจ้า เมื่อเราไปถึงที่ชนเผ่าเอลฟ์และพยายามสืบหาข้อมูลเรื่องนี้ เราก็อาจจะได้เบาะแสบางอย่างมา”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเชื่อว่าถึงเสือร้ายเพียงใดก็ไม่กินลูกของมันเอง นางจึงไม่คิดว่าบิดาของสั่วซีหย่าจะรู้เห็นเป็นใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นางเคยเห็นการแก่งแย่งชิงดีในชนเผ่ามามากและเคยดูซีรี่ย์ดราม่าของตระกูลราชวงศ์มามากมาย ฉินอวี้โม่จึงไม่แปลกใจสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เวลานี้นางเกิดข้อสันนิษฐานขึ้นในใจ คาดการณ์ได้ว่าที่บิดาของสั่วซีหย่าจากไปและไม่กลับมาเยี่ยมเยือนสองแม่ลูกอีกเลยน่าจะมีบางอย่างที่ลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่เห็นภายนอก ในระหว่างนั้น เกรงว่าคงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่สั่วซีหย่าและมารดาไม่ทราบ

* 虎毒不食子 เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง ความหมายคือ คนเราไม่ว่าเหี้ยมโหดแค่ไหนก็ไม่ทำร้ายลูกของตนเอง

สั่วซีหย่าพยักหน้าและกล่าวอย่างหนักแน่น “นายหญิง หากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะพ่อของข้าจริง ๆ ข้าจะฆ่าเขาด้วยตัวเองโดยที่จะไม่ลังเลเลยสักนิด”

หากบิดาของนางร่วมมือกับฝ่ายมาร นั่นก็หมายความว่าเขาเป็นศัตรูกับฉินอวี้โม่และเป็นศัตรูกับตัวนางเช่นกัน แม้จะเป็นบิดาบังเกิดเกล้า แต่เขาก็ไม่เคยเติมเต็มหน้าที่ความรับผิดชอบของการเป็นบิดาได้อย่างสมบูรณ์ หากเขาบงการเรื่องทั้งหมดจริง สั่วซีหย่าจะสังหารเขาด้วยมือตัวเองเพื่อล้างแค้นให้กับมารดาผู้ล่วงลับ

เมื่อได้ยินวาจาของสั่วซีหย่า ฉินอวี้โม่เพียงพยักศีรษะและไม่คัดค้านใด ๆ หลังจากติดตามมาจนถึงตอนนี้ ฉินอวี้โม่ก็เห็นแล้วว่าสั่วซีหย่ามิใช่สตรีลูกครึ่งเอลฟ์ผู้อ่อนแอและบอบบางเช่นเดิมอีกต่อไป หากแต่ค่อย ๆ พัฒนาฝีมือจนแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

“เส้นทางไปสู่ชนเผ่าเอลฟ์อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ เพียงแต่คนผู้นั้นปรากฏตัวและหายไปอย่างรวดเร็ว ข้าจึงไม่ทันจับสังเกตอะไรได้ ในจดหมายก็ไม่มีข้อมูลอะไรที่ระบุถึงมัน พวกเราจะเข้าไปได้อย่างไร ?”

ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองสายน้ำที่นิ่งสงบของทะเลสาบผืนใหญ่ตรงหน้าพลางคิดหาวิธีการอย่างรวดเร็ว คาดว่าบริเวณทะเลสาบนี้น่าจะมีกลไกบางอย่างซ่อนอยู่

“ข้าจะลงไปสำรวจดูเองเจ้าค่ะ”

สั่วซีหย่ากล่าวก่อนกระโจนลงทะเลสาบไปทันที

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยืนรอที่ริมฝั่งขณะเพ่งมองสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียด

ชนเผ่าเอลฟ์เป็นชนเผ่าที่ทรงพลังอย่างยิ่งและน่าจะมีกลไกกับดักหรือว่าสิ่งป้องกันบางอย่างที่ทะเลสาบแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม สั่วซีหย่ามีสายเลือดเอลฟ์อยู่ภายในร่างกาย เพราะเหตุนั้นหากเป็นนางที่ลงไปสำรวจก็คงจะไม่เกิดอันตรายใด ๆ ขึ้น

สั่วซีหย่ากลืนกินโอสถคุมวารีและดำดิ่งลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว ในเมื่อคนลึกลับเมื่อครู่ปรากฏขึ้นมาจากข้างในทะเลสาบ หากคนนอกต้องการเข้าไป มันก็น่าจะมีกลไกบางอย่างสำหรับเปิดมันอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้

หลังจากสำรวจทั่วพื้นที่เป็นระยะหนึ่ง สั่วซีหย่าก็ไม่พบสิ่งใด เห็นทีคงจะไม่มีกลไกที่ตามหาและไม่มีสิ่งใดพิเศษผิดแปลกในทะเลสาบแห่งนี้

“สั่วซีหย่า ลองใช้สิ่งนี้ดู”

ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็นึกถึงบางอย่างและหยิบมันโยนให้กับสั่วซีหย่าอย่างรวดเร็ว มันคืออุปกรณ์วิญญาณที่นางเคยหลอมในช่วงที่เบื่อหน่ายซึ่งถูกเรียกว่า ‘กระบองตรวจจับ’

กระบองตรวจจับแท่งนี้ไม่มีพลังโจมตีรุนแรงใด ๆ ทว่ามีคุณสมบัติที่พิเศษอย่างยิ่ง มันสามารถตรวจจับพลังโดยรอบและค้นหาสิ่งที่ผิดแปลกไปจากพวกได้

ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เพียงหลอมมันขึ้นมาทว่ายังไม่มีเวลาทดสอบจึงไม่ทราบผลลัพธ์ของมันมากนัก บัดนี้เมื่อนึกถึงมันขึ้นมาได้ นางจึงรีบหยิบมันออกมาเพื่อลองทดสอบดูทันที

สั่วซีหย่ารับวัตถุนั้นและดำลงไปใต้น้ำอีกครั้ง จากนั้นนางก็ใช้กระบองตรวจจับนี้เพื่อสำรวจหาบริเวณใต้น้ำด้วยหวังว่าจะพบสิ่งที่แปลกไปจากส่วนอื่น

เมื่อดำลงไปลึกกว่าเดิม จู่ ๆ กระบองตรวจจับก็เปล่งแสงสว่างเลือนรางขึ้นมา นี่ทำให้สั่วซีหย่าดีใจอย่างเอ่อล้นขณะที่ถือมันไว้และมุ่งหน้าต่อไป

หลังจากแหวกว่ายต่อไปอีกไม่นาน แสงสว่างที่เลือนรางนั้นก็สว่างจ้าชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเห็นได้ชัดว่ามันน่าจะตรวจพบอะไรบางอย่าง

ในที่สุด เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่มีพืชใต้น้ำสีเขียวปรากฏอยู่ แสงจ้าบนกระบองก็กะพริบครั้งหนึ่งก่อนที่จะสลัวลง

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซึ่งอยู่ริมฝั่งมองเห็นสถานการณ์ใต้น้ำทั้งหมดได้อย่างชัดเจน เมื่อมองเห็นพืชใต้น้ำสีเขียวนั้น ทั้งสองก็หันมองหน้ากันและคลี่ยิ้มบาง ๆ

สั่วซีหย่าเดินตรงเข้าไปเอื้อมมือแตะพืชน้ำต้นนั้นทว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้น เมื่อพยายามบิดมันไปมาก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใด จากนั้นนางก็พยายามดึงมันขึ้นมา ทว่าก็กลับพบว่ามันแข็งแกร่งและฝังแน่นจนไม่มีทางดึงขึ้นมาได้

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นางมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าพืชน้ำต้นนี้คือกลไกพิเศษบางอย่าง

“สั่วซีหย่า ลองหยดเลือดของเจ้าลงไปสิ”

ในเมื่อมันเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายนำทางไปสู่ชนเผ่าเอลฟ์ มันก็น่าจะมีผนึกพิเศษบางอย่าง สั่วซีหย่าเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ซึ่งบิดาของนางก็เป็นเอลฟ์ชนชั้นสูงและมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ หากเป็นจริงดังที่ฉินอวี้โม่คิดไว้ เลือดของสั่วซีหย่าน่าจะปลดผนึกดังกล่าวและเปิดทางเพื่อให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้าไปที่นั่นได้

สั่วซีหย่าพยักศีรษะก่อนหยดเลือดลงบนพืชใต้น้ำต้นนั้นอย่างไม่ลังเล

หยดเลือดของนางแทรกซึมลงในพืชน้ำต้นนั้น ทว่าก็ยังไม่เกิดปฏิกิริยาใดเช่นเดิม ดูเหมือนว่าข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่จะผิดไปและนี่ไม่ใช่วิธีที่จะเปิดเส้นทางไปสู่จุดหมายได้

สั่วซีหย่าถอดใจและกลับขึ้นไปหาฉินอวี้โม่ด้วยความผิดหวัง นางไม่อาจคิดหาทางอื่นได้เลย ทว่าขณะกำลังจะเอ่ยกล่าวบางอย่าง ทั้งสามก็ได้ยินเสียงอื้ออึงดังขึ้น

จู่ ๆ ทะเลสาบที่นิ่งสงบในตอนแรกก็เกิดคลื่นซัดสาดอย่างฉับพลัน ภายในเวลาเพียงครู่เดียว สายน้ำก็แยกออกจากกันเผยให้เห็นช่องทางสีทองอร่ามที่เคยปรากฏขึ้น

ช่องทางนี้ดูเหมือนไม่มีปลายทางสิ้นสุดและมันน่าจะเป็นช่องทางที่นำไปสู่ชนเผ่าเอลฟ์

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนกลับเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัว ในขณะที่สั่วซีหย่าถือคฤหาสน์ล่องหนหลังน้อยไว้ในมือและก้าวเดินตรงไปตามช่องทางสีทองนั้นอย่างใจเย็น

ขณะมุ่งหน้าไป สิ่งแวดล้อมโดยรอบก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อนางคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จู่ ๆ ม่านแสงก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า

มันคือค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เต็มไปด้วยพลังมหาศาล ก่อนก้าวเข้าไปในนั้น สั่วซีหย่าหรือแม้แต่ทั้งสองคนในคฤหาสน์เฟิงหัวก็สัมผัสได้ถึงพลังหนาแน่นที่แผ่มาจากอีกฟากหนึ่งของค่ายกล

“นายหญิง เรามาถูกทางแล้ว ข้ารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…ราวกับว่าสายเลือดในตัวของข้ากำลังดุเดือดพลุ่งพล่าน”

ชนเผ่าเอลฟ์คือบ้านของเอลฟ์ทุกชีวิตที่มีสายเลือดเอลฟ์ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย แม้เป็นเพียงลูกครึ่งเอลฟ์ก็จะรู้สึกได้ไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าสั่วซีหย่าจะมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งแรก แต่นางก็สัมผัสได้ถึงความโหยหาและความตื่นเต้นอย่างไม่อาจบรรยาย

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือในคฤหาสน์เฟิงหัวตอนนี้แตกต่างจากสั่วซีหย่าอย่างสิ้นเชิง หัวใจของทั้งสองเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและกังวลทว่าก็มีความมุ่งมั่นหนักแน่นอยู่เช่นกัน

ชนเผ่าเอลฟ์มิใช่ชนเผ่าที่ธรรมดาเลย หลังจากนี้พวกเขาจะต้องเผชิญกับวิกฤตมากมาย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับวิกฤตใด ๆ ทั้งสองก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ครานี้พวกเขาจะต้องคลี่คลายปัญหาของชนเผ่าเอลฟ์และตามหาต้นโพธิ์ให้ได้ ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจึงจะมีเครื่องมือในการต่อสู้กับฝ่ายมารมากขึ้นและจะมีความมั่นใจมากขึ้นในการเอาชนะกลุ่มคนที่ชั่วร้ายเหล่านั้น

หลังจากก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย สตรีลูกครึ่งเอลฟ์ก็หายไปจากป่าวังชา ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็หายวับไปเช่นกัน

ท้องฟ้าหมุนวนครู่ใหญ่ แม้แต่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวก็รู้สึกวิงเวียนตลอดเวลา หลังจากทรงตัวได้อีกครั้ง พวกนางก็พบว่าตนเองปรากฏตัวขึ้นมาในผืนป่าหนาทึบที่ดูเก่าแก่ ว่างเปล่าและไร้ที่สิ้นสุด

สภาวะพลังโดยรอบอุดมสมบูรณ์อย่างที่สุด ต้นไม้พืชพรรณเติบโตงอกงามและบรรยากาศสดชื่นกว่าโลกภายนอกมากนักส่งผลให้ทั้งสามรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อดูดดื่มกับบรรยากาศรอบตัวและอารมณ์ของทั้งสองก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ชนเผ่าเอลฟ์คู่ควรกับการเป็นชนเผ่าที่ดำรงอยู่มานานนับพันปีจริง ๆ มิติพิเศษแห่งนี้มีสภาวะพลังแกร่งกล้ายิ่งกว่าตระกูลหานนับร้อยเท่า”

หานโม่ฉือกล่าวด้วยความชื่นชม ชนเผ่าเอลฟ์คู่ควรกับการเป็นชนเผ่าโบราณที่คงอยู่มาพร้อมกับหมู่มวลมนุษย์และยังมีความแข็งแกร่งที่น่าทึ่ง มิติพิเศษซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเขาแตกต่างจากของมนุษย์อย่างมาก

สภาวะพลังที่นี่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกหลายเท่าตัวและบรรยากาศรอบตัวก็ดีกว่ามากเช่นกัน หากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จะต้องรู้สึกสบายกายสบายใจมากกว่าโลกภายนอกอย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่เห็นด้วยกับวาจาของหานโม่ฉือ การที่โตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน คนก็ย่อมเป็นแบบนั้น การที่ชนเผ่าเอลฟ์อาศัยอยู่ในที่ที่มหัศจรรย์เช่นนี้ ไม่แปลกใจว่าเหตุใดรูปลักษณ์ของทุกชีวิตในชนเผ่าล้วนแต่งดงามน่ามองทั้งสิ้น

“ที่นี่น่าจะเป็นป่าโบราณของชนเผ่าซึ่งอยู่ในบริเวณนอกรอบ เมื่อผ่านป่านี้เข้าไป เราจะไปถึงด้านในของชนเผ่าเอลฟ์และจะได้เข้าสู่ตัวเมืองของเอลฟ์”

เมื่อมาถึงที่นี่ จู่ ๆ ข้อมูลมากมายก็ปรากฏขึ้นในความคิดของสั่วซีหย่า หลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับชนเผ่ารวมถึงเส้นทางไปที่นั่น ทุกอย่างล้วนผุดขึ้นมาในตอนนี้ นางไม่เคยมาที่นี่ทว่ารู้สึกราวกับอยู่ที่นี่มานานและคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสั่วซีหย่า สิ่งนี้น่าจะเป็นพลังของสิ่งที่เรียกว่า ‘สายเลือด’ สั่วซีหย่าเป็นสมาชิกของชนเผ่าเอลฟ์และมีเลือดเอลฟ์อยู่ในตัว เพราะเหตุนั้น เมื่อเหยียบเข้ามาในผืนแผ่นดินนี้ หลายสิ่งหลายอย่างจึงพรั่งพรูเข้ามาในความคิดของนาง ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะส่งต่อมาจากบิดาของนางก็เป็นได้

สำหรับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เมื่อมาถึงสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ ทั้งสองก็ทำได้เพียงพึ่งพาอาศัยข้อมูลจากสั่วซีหย่า

“โม่เอ๋อร์ กินโอสถนี้ก่อนเถอะ”

หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้มและหยิบขวดลายครามขวดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติก่อนเทโอสถสองเม็ดออกมาและยื่นให้กับฉินอวี้โม่

นี่คือโอสถที่เขาได้รับมาจากไป่หลี่จิ่นซิ่วก่อนหน้านี้ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ‘โอสถแปลงกายา’ โอสถนี้สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมนุษย์ได้เล็กน้อยซึ่งช่วยให้หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองเพื่อกลมกลืนกับเอลฟ์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ได้

ถึงอย่างไรแล้วชนเผ่าเอลฟ์ก็เก็บตัวไม่สุงสิงกับชนเผ่าอื่น ๆ หากตัวตนในฐานะมนุษย์ของทั้งสองถูกเปิดเผยออกไป มันจะไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

ฉินอวี้โม่รับโอสถและกลืนกินมันทันที จากนั้นเพียงครู่เดียว รูปลักษณ์ของนางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตกตะลึง

.