ตอนที่ 627 เมืองหลิงอิ่น

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อมีหูแหลมยาวตามลักษณะของเอลฟ์ปรากฏขึ้นมา ฉินอวี้โม่ผู้มีรูปลักษณ์น่าหลงใหลอยู่แล้วก็ยิ่งทรงเสน่ห์ชวนมองมากกว่าเดิมจนไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจละสายตาได้

ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวผ่องและประกายแสงสีเขียวในดวงตาที่ระยิบระยับเป็นครั้งคราวทำให้นางในตอนนี้ดูเหมือนเอลฟ์อย่างแยกไม่ออก หากไม่สังเกตอย่างละเอียดก็ไม่มีทางตั้งข้อสงสัยได้เลยว่าสตรีงามผู้นี้มิใช่สมาชิกของชนเผ่าเอลฟ์

รูปลักษณ์ของหานโม่ฉือก็เปลี่ยนแปลงไปบางส่วนเช่นกันและดูเหมือนสมาชิกของชนเผ่าเอลฟ์มากขึ้น บุรุษหนุ่มรูปงามหล่อเหลาเจือด้วยความงดงามบอบบางและดูน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม

สั่วซีหย่ามองดูการเปลี่ยนแปลงของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างไม่แปลกใจ เดิมทีทั้งสองมีรูปลักษณ์งดงามสะดุดตากว่าทุกคนอยู่แล้ว แม้แต่ในหมู่เอลฟ์เอง ทั้งสองก็ยังโดดเด่นอย่างที่สุด

“ทีนี้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”

หลังจากพยักศีรษะเบา ๆ อย่างพึงพอใจ กลุ่มคนทั้งสามก็มุ่งหน้าออกจากป่าโบราณนี้ทันที

ชนเผ่าเอลฟ์มีชีวิตที่สงบสุขอย่างยิ่ง แม้ในป่าผืนใหญ่จะมีอสูรมายาอยู่ไม่น้อย ทว่าพวกมันก็แทบไม่เคยลงมือจู่โจมก่อน ฉินอวี้โม่และอีกสองคนก็ไม่คิดที่จะยั่วยุอสูรเหล่านั้นเช่นกัน พวกนางเพียงมุ่งหน้าออกจากป่าที่ดูเก่าแก่อย่างเงียบ ๆ ก่อนพบตัวเมืองปรากฏให้เห็นตรงหน้า

มันคือเมืองที่เก่าแก่อย่างยิ่งและดูไม่ต่างจากเมืองของมนุษย์เท่าใดนัก กำแพงเมืองก่อตัวจากก้อนอิฐสีน้ำเงินและประตูขนาดใหญ่แบบโบราณเสริมให้ทั้งเมืองแห่งนี้ดูเก่าแก่โบราณมากยิ่งขึ้น

เวลานี้มีผู้คนเดินทางผ่านเข้า-ออกหน้าประตูเมืองไม่มากนักและทั้งหมดเป็นชาวเอลฟ์ซึ่งล้วนมีรูปลักษณ์ที่งดงามชวนมอง เมื่อเห็นกลุ่มสามคนของฉินอวี้โม่ พวกเขาเหล่านั้นเพียงชำเลืองมองครู่หนึ่งโดยไม่ได้สนใจมากนัก

ถึงแม้ว่าในชนเผ่าเอลฟ์จะมีลูกครึ่งเอลฟ์อยู่ไม่มากนัก ทว่าลูกครึ่งเอลฟ์ทุกชีวิตก็ล้วนอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อยอย่างยิ่งและไม่เคยอยู่ในสายตาของเหล่าเอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์

ฉินอวี้โม่สังเกตเอลฟ์เหล่านั้นอย่างละเอียดและค้นพบว่าพวกเขาเหล่านั้นดูไม่กระปรี้กระเปร่านัก อีกทั้งสีหน้าแววตายังบ่งบอกถึงความกังวลที่พยายามปกปิดไว้ราวกับเกิดเรื่องร้ายบางอย่างขึ้น

ทั้งสามเดินเข้าไปในตัวเมืองและท่องไปรอบ ๆ ก่อนพบกับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

เมื่อเข้ามาภายใน เด็กรับใช้คนหนึ่งก็ออกมาต้อนรับพวกนางทันที เขาเป็นลูกครึ่งเอลฟ์เช่นเดียวกับสั่วซีหย่าและใบหน้าแสดงถึงความเคารพนอบน้อมอย่างเต็มเปี่ยม

“ท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งสามต้องการพักอยู่ในโรงเตี๊ยมของเราหรือไม่ขอรับ ?”

เด็กหนุ่มกล่าวทักทายด้วยวาจาสุภาพ  เขาสังเกตเห็นสั่วซีหย่าผู้ซึ่งเป็นลูกครึ่งเอลฟ์เช่นเดียวกับตนและมองนางด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อยก่อนสีหน้ากลับเป็นความนอบน้อมเช่นเดิม

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือต่างก็มีรูปลักษณ์ที่งดงามและดูมีสง่าราศี รวมถึงยังมีกลิ่นอายที่ยอดเยี่ยมแผ่ออกมา เขาจึงมองว่าคนทั้งสองน่าจะมีสถานะที่สูงส่งในชนเผ่าเอลฟ์

“ใช่”

ฉินอวี้โม่เพียงพยักศีรษะและกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนที่พวกนางจะได้ทราบถึงสถานการณ์ของชาวเอลฟ์ การที่ทำตัวสงบเสงี่ยมและกลมกลืนย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีเพียงสองชั้นโดยชั้นแรกเป็นพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในขณะที่ชั้นที่สองเป็นห้องพักสำหรับแขกของโรงเตี๊ยม

บุรุษหนุ่มนำทางทั้งสามตรงไปที่ห้องพักชั้นบนและกล่าวอย่างนอบน้อมไม่เปลี่ยนแปลง “ท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งสาม ท่านต้องจ่ายค่ามัดจำเป็นหนึ่งร้อยแก่นวิญญาณก่อนเข้าพักขอรับ”

แก่นวิญญาณเป็นสกุลเงินสำหรับแลกเปลี่ยนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชนเผ่าเอลฟ์ มันสามารถหลอมได้จากต้นไม้พืชพรรณและสามารถใช้ซื้อขายในศูนย์การค้าของเอลฟ์ได้

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่ก่อนหน้านี้ทั้งสองไม่มีเวลาแลกเปลี่ยนแก่นวิญญาณและไม่ทราบว่าต้องแลกมันจากที่ใด

“เสี่ยวเอ้อ ระหว่างรีบเดินทางมาที่นี่ เราก็ใช้แก่นวิญญาณที่มีไปจนหมดแล้วและตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะแลกมันได้ ข้าจะวางอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพไว้เป็นหลักประกันก่อนและจะแลกแก่นวิญญาณมาให้กับเจ้าในภายหลัง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนและกล่าวอย่างใจเย็น นางเชื่อว่าในชนเผ่าเอลฟ์ก็น่าจะมีอาวุธและโอสถอยู่มากมายหลายชนิด และอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นพิภพก็น่าจะเป็นที่นิยมในหมู่เอลฟ์เป็นอย่างมาก

และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ เมื่อเด็กรับใช้ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เขาก็มิได้นึกสงสัยแม้แต่น้อย หลังจากมองดูกระบี่เล่มยาวระดับวิจิตรขั้นพิภพที่ฉินอวี้โม่หยิบออกมา ท่าทางของเขาก็แสดงถึงความเคารพต่อนางและหานโม่ฉือมากยิ่งขึ้น

เพราะถึงอย่างไรในหมู่เอลฟ์ ช่างหลอมก็ถือว่าเป็นอาชีพที่มีสถานะสูงมาก ช่างหลอมระดับสูงสามารถพัฒนาตำแหน่งตนเองกลายเป็นผู้อาวุโสในชนเผ่าเอลฟ์ได้อย่างง่ายดายและได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง

“ท่านจอมยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องมีการหลักประกันหรอกขอรับ เชิญท่านพักอยู่ที่นี่ก่อนได้และนำแก่นวิญญาณมาจ่ายเมื่อท่านสะดวก”

เขายื่นกระบี่ยาวคืนให้กับฉินอวี้โม่ เขาไม่กล้ารับสิ่งของล้ำค่าเช่นนี้และก็ไม่ต้องการกระทำสิ่งใดที่อาจทำให้แขกคนสำคัญขุ่นเคืองใจได้

“อีกอย่าง…นี่เป็นครั้งแรกที่เรามาที่เมืองหลิงอิ่นแห่งนี้ ไม่ทราบว่าเราจะแลกเปลี่ยนแก่นวิญญาณได้จากที่ใดรึ ?”

ฉินอวี้โม่เก็บกระบี่ยาวตามเดิมและกล่าวถามเบา ๆ ขณะกลิ่นอายของผู้สูงส่งแผ่ออกไปในอากาศเล็กน้อย

“ท่านสามารถแลกได้ที่ศูนย์การค้าทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลิงอิ่นขอรับ เพียงแต่ข้าไม่แน่ใจว่าตอนนี้จะแลกได้หรือไม่”

เด็กหนุ่มตอบด้วยวาจานอบน้อมไม่เปลี่ยนแปลง “เชิญท่านทั้งสามพักผ่อนได้เลยขอรับ ข้าขอตัวลงไปทำงานที่ชั้นล่างก่อน หากท่านมีข้อสงสัยใด ๆ ก็เรียกข้าได้ตลอดเวลาขอรับ ข้าจะบอกทุกอย่างที่ข้ารู้”

เมื่อแขกจำนวนหนึ่งมาที่ชั้นล่าง เด็กหนุ่มก็กล่าวลาฉินอวี้โม่อย่างสุภาพก่อนแยกตัวจากไป

จากนั้นทั้งสามก็เข้าไปในห้องพัก

แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่ทั้งสามจะต้องพักอยู่ในโรงเตี๊ยม ทว่าพวกนางเพียงต้องการสืบหาข่าวสารต่าง ๆ เท่านั้น การที่มีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ พวกนางไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้แต่น้อย

หลังจากรอเวลาครู่หนึ่งเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ทั้งสามก็เดินลงไปชั้นล่างก่อนสั่งอาหาร น้ำชาและนั่งลงที่โต๊ะใกล้หน้าต่าง

หลังจากจิบน้ำชา ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงรสฝาดอย่างรุนแรงซึ่งเป็นรสที่แย่กว่าชาที่อื่นด้วยซ้ำ นางจึงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

“เสี่ยวเอ้อ ไม่ใช่ว่าน้ำแร่ของชนเผ่าเอลฟ์มีรสชาติหวานละมุนหรอกรึ เหตุใดรสชาจึงฝาดเช่นนี้ ?”

สั่วซีหย่าเคยดื่มชาของชนเผ่าเอลฟ์มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ในอดีตครานั้น บิดาของนางเคยนำน้ำแร่ของเอลฟ์ไปให้สองแม่ลูกซึ่งนางจำได้ดีว่ามันมีรสชาติดีและหวานละมุนอย่างยิ่ง

ฉินอวี้โม่เองก็กำลังจะเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการรู้ ทว่าคำตอบเกี่ยวกับน้ำชานี้ก็ทำให้นางได้รับข้อมูลมาหลายอย่าง

“ขออภัยท่านทั้งสามด้วยขอรับ แท้จริงแล้วน้ำแร่ของชนเผ่าเอลฟ์ทั้งรสดีและหวานอร่อย ทว่าจู่ ๆ ช่วงที่ผ่านมานี้มันกลับขมฝาดอย่างกะทันหัน ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับสภาวะมลพิษของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์”

เด็กหนุ่มตอบกลับตามความจริงและไม่สงสัยในเจตนาของคนทั้งสามแม้แต่น้อย

เวลานี้เขาคิดว่าฉินอวี้โม่และอีกสองคนน่าจะเป็นจอมยุทธ์ของชนเผ่าเอลฟ์ที่เก็บตัวจำศีลมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงเคารพต่อทั้งสามอย่างยิ่ง

“โอ้ ? ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ได้รับมลพิษบางอย่างหรือ…เหตุใดเราจึงไม่ทราบเรื่องนี้ ?”

ฉินอวี้โม่แสร้งแสดงสีหน้าประหลาดใจและเอ่ยถามออกไป

“ท่านทั้งสามจะต้องเป็นจอมยุทธ์ลับที่เก็บตัวฝึกฝนในที่ห่างไกลเป็นแน่ !”

เมื่อเด็กรับใช้ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เขาก็มั่นใจในตัวตนของพวกนางมากยิ่งขึ้น เขายิ้มกว้างและกล่าวตอบ “ไม่แปลกเลยขอรับ เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่ถึงครึ่งเดือนที่ผ่านมาเท่านั้นและการที่ท่านทั้งสามยังไม่ทราบก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติ”

เมื่อประมาณครึ่งเดือนก่อน เกิดเรื่องประหลาดบางอย่างในเมืองราชวงศ์ของชนเผ่าเอลฟ์ จู่ ๆ ราชินีเอลฟ์ก็เป็นโรคประหลาดและตกอยู่ในสภาวะหลับใหลไม่ได้สติ หมอมากหน้าหลายตาต่างก็มุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อวินิจฉัยโรคและพยายามรักษา ทว่าก็ไม่มีผู้ใดทำได้สำเร็จและไม่ทราบสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น

ในวันที่สองหลังจากราชินีเอลฟ์หลับใหลไม่ได้สติ ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ในเขตต้องห้ามในเมืองเอลฟ์ก็แผ่พลังงานสีดำทะมึนที่ประหลาดออกมา จากนั้นมันก็เหี่ยวแห้งโรยราลงอย่างรวดเร็ว

ผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าเอลฟ์ค้นพบความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและรวมพลังกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เพื่อเติมพลังชีวิตให้กับต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์โดยหวังว่าจะช่วยชะลอการโรยราของต้นไม้ไปได้บ้าง อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีหนทางที่จะหยุดการเหี่ยวเฉาของมันได้อย่างสมบูรณ์

ไม่มีผู้อาวุโสคนใดพบสาเหตุของการเหี่ยวเฉาโรยรานี้ แม้คาดเดาได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับกลุ่มอากาศดำทะมึนนั้น อย่างไรก็ตาม พลังงานสีดำทะมึนก็ปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียวและหายไปอย่างไร้ร่องรอยส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถสืบเบาะแสจากมันได้

ตลอดเวลาสิบวันที่ผ่านมา สถานการณ์ของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ย่ำแย่ลงในทุก ๆ วัน ในขณะที่ราชินีเอลฟ์ก็ไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นตัวขึ้นมา แม้ทุกคนจะเป็นกังวลยิ่งนัก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย หลายคนจึงเริ่มเสนอให้ขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอกด้วยหวังว่าจะช่วยให้ชนเผ่าเอลฟ์ของตนผ่านพ้นหายนะครานี้ไปได้

นับตั้งแต่ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์เริ่มโรยรา ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างก็เกิดขึ้นในชนเผ่า โอสถหายากบางชนิดที่เคยเติบโตอย่างดีกลับแห้งเหี่ยวและหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน น้ำแร่ที่หวานละมุนมาตลอดก็กลับกลายเป็นรสขมฝาดจนยากจะดื่มกิน แม้แต่ทะเลสาบบางแห่งเองก็เริ่มที่จะแห้งเหือด ซ้ำร้ายสภาวะพลังในมิติพิเศษแห่งนี้ก็ค่อย ๆ สลายหายไปและร่างกายของเหล่าเอลฟ์ก็เหมือนจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ

หากไม่สามารถหาสาเหตุการเหี่ยวเฉาโรยราของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์และคิดหาวิธีการแก้ไขมัน เกรงว่าชาวเอลฟ์ทั้งชนเผ่าจะต้องหายสาบสูญไปในไม่ช้า

เดิมทีเมืองหลิงอิ่นแห่งนี้คึกคักไปด้วยผู้คนเนื่องจากมันอยู่ติดกับป่าโบราณ เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้หลายคนก็มุ่งหน้าไปที่เมืองราชวงศ์ด้วยหวังว่าจะหาทางช่วยแก้สถานการณ์นี้ เมืองหลิงอิ่นแห่งนี้จึงเงียบเหงาอย่างยิ่ง

เด็กรับใช้ไม่ทราบข้อมูลเบื้องลึกมากนัก เขาเป็นเด็กรับใช้ดูแลโรงเตี๊ยมและยังเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ที่ถือว่ามีสถานะต่ำต้อย ข้อมูลเหล่านี้ที่เขาทราบมาล้วนได้รับมาจากแขกหลายคนที่แวะเวียนมาที่นี่ ส่วนจะเป็นความจริงหรือไม่นั้น เขาไม่มีหนทางยืนยันได้เลย ทว่าในเมื่อฉินอวี้โม่เอ่ยถาม เขาก็ไม่คิดที่จะปิดบัง

“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้นนี่เอง”

เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากบุรุษหนุ่ม ทั้งสามก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไม่น้อย ราชินีเอลฟ์หลับใหลไม่ได้สติและต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับมลพิษบางอย่างจนค่อย ๆ แห้งเหี่ยวอย่างไม่มีทางหยุดยั้ง สถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์ในตอนนี้ย่ำแย่ยิ่งนักและทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ทว่าสถานการณ์ดังกล่าวก็เป็นโอกาสทองสำหรับคนทุกฝ่ายที่คิดร้ายต่อชนเผ่าเอลฟ์

เรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือของผู้ที่อยู่ในระดับสูงในชนเผ่าเอลฟ์เป็นแน่ หากราชินีเอลฟ์ฟื้นขึ้นมา นางจะสามารถชี้ตัวผู้ร้ายได้อย่างแน่นอน และกบฏที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จะต้องถูกค้นพบ

อย่างไรก็ตาม การที่ต้องการจะทำให้ราชินีเอลฟ์ฟื้นขึ้นมาถือว่ามิใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อผู้เป็นกบฏกล้าทำการใหญ่เช่นนี้ คนผู้นั้นย่อมมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม โรคประหลาดของราชินีเอลฟ์จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรักษาได้ง่าย ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น มันก็มิใช่เรื่องง่ายเลยที่ฉินอวี้โม่จะเข้าใกล้ตัวราชินีเอลฟ์ คนผู้นั้นจะต้องเตรียมการไว้เป็นอย่างดี หากมีผู้ใดที่ช่วยรักษาราชินีเอลฟ์จนฟื้นขึ้นได้ คาดว่ากบฏผู้นั้นจะต้องถูกประหารทันที และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นได้

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์อยู่ในขั้นวิกฤติแล้วอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม หากสามารถคลี่คลายปัญหานี้ได้ สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาจะคุ้มค่ากับความพยายามทั้งหมดอย่างแน่นอน…

.