บทที่ 7 บทที่ 18 ใจเต้น

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

กลางดึกสงัด เสี่ยวจือหลับสนิทแล้ว ซานเอ๋อร์ถึงตักน้ำ ถือแปรงและผงซักฟอกออกไปที่ประตูหลังเงียบๆ 

 

 

อักษรสีแดงหน้าประตูเหล่านั้น…เธอทำได้เพียงเลือกเวลากำจัดมันทิ้งเพียงลำพัง ไม่อย่างนั้นวันพรุ่งนี้เธอคงค้าขายไม่ได้ 

 

 

เรื่องแบบนี้ให้ผู้หญิงมาทำ…แต่เธอก็ต้องทำเองในทุกเรื่องอยู่แล้ว 

 

 

ในตอนที่เธอเดินออกมาที่ด้านหลังและคิดจะเปิดประตูนั้นก็พบว่าประตูเปิดอยู่ ทำให้ซานเอ๋อร์ตกใจมาก เพราะเธอยังได้ยินเสียงแปลกๆ อีกด้วย 

 

 

ทันใดนั้นซานเอ๋อร์ก็ถือไม้หาบที่วางอยู่ข้างๆ ไว้ในมือ มองไปไปนอกประตูอย่างระมัดระวัง 

 

 

แต่เธอกลับมองเห็นมาร์คจุดตะเกียงวางไว้บนพื้น มือถือแปรงกำลังทำความสะอาดอักษรสีแดงบนกำแพงอยู่ 

 

 

แอ๊ด เสียงเปิดประตูไม้ดังออกมา 

 

 

 “คุณ…” ซานเอ๋อร์เดินออกมา 

 

 

มาร์ค…หรือคุกหันมองเพียงแวบเดียวและไม่ได้หยุดมือ แต่ขัดถูอักษรสีแดงต่อ 

 

 

ซานเอ๋อร์เห็นมาร์คไม่พูดอะไรก็วางถังน้ำที่ตนเองเอามาและถูอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ 

 

 

เมื่อมีแสง อักษรเหล่านี้ก็ยิ่งโดดเด่นแสบตา สีแดงเหมือนเลือดบนผนัง ซานเอ๋อร์ตาแดง รู้สึกปวดใจ จากนั้นก็ขัดแรงขึ้น  

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน 

 

 

ทันใดนั้นซานเอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงของมาร์คว่า “พรุ่งนี้เช้าผมจะไปจากที่นี่” 

 

 

ร่างกายของซานเอ๋อร์สั่นสะท้านและไม่พูดอะไร เพียงแต่ขยับถูแรงขึ้น 

 

 

 “เธอก็อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย ที่นี่ไม่เหมาะกับเธอ” 

 

 

เป็นอีกครั้งที่ซานเอ๋อร์ได้ยินเสียงของมาร์ค การเคลื่อนไหวของเธอช้าลง ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “จากไปเหรอ ฉันจะไปอยู่ที่ไหนได้ ฉันจะไปอยู่ข้างนอกได้ยังไง” 

 

 

 “ความสามารถในการคงอยู่ของมนุษย์ เหนือกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก” 

 

 

ซานเอ๋อร์หยุดมือและมองไปที่มาร์ค…สำหรับเธอแล้ว คำพูดของผู้ชายสูงใหญ่ลึกลับคนนี้เหมือนมีพลังโน้มน้าวที่แข็งแกร่งมาก 

 

 

แต่ว่า 

 

 

 “พูดน่ะง่าย ฉันยังต้องดูแลลูกของฉัน ถ้าอยู่ข้างนอกจะใช้ชีวิตยังไง” ซานเอ๋อร์ค้าน ความอดสูในใจถูกปลดปล่อยออกมา “อยู่ข้างนอก ไม่รู้จักใครสักคน ไม่มีคนให้พูดคุยด้วย คุณจะให้ฉันใช้ชีวิตอยู่ยังไง” 

 

 

 “เธออยู่ที่นี่ก็ไม่มีคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้เหมือนกัน” 

 

 

มาร์คยังคงเย็นชา 

 

 

ซานเอ๋อร์โยนแปรงลงในถังน้ำ ไปนั่งที่บันไดประตูหลังแล้วปิดหน้าสะอื้น…นี่เป็นคำพูดที่ทำให้เธอปวดใจมากที่สุด 

 

 

เขาขมวดคิ้วขึ้น เมื่อเห็นท่าทีของซานเอ๋อร์แล้วก็เดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็หยุดเท้า ด้านหนึ่งเขาคิดว่าการปลอบใจจะทำให้เกิดเรื่องพัวพันที่ไม่จำเป็นมากมาย อีกด้านหนึ่ง… 

 

 

เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ คุกจึงหันไปในทันที 

 

 

เขามองเห็นผู้ชายพันหน้าด้วยผ้าขนหนูง่ายๆ ถือชะแลงและถังมา 

 

 

 “พวกนายเป็นใคร” คุกตะคอกเสียงเข้มออกไป 

 

 

คนที่สวมชุดแบบนี้เข้ามาในกลางดึกก็คงไม่ใช่คนดีอะไรแน่ เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงตะคอกถามแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่กลัวแต่กลับมองหน้ากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว 

 

 

พวกเขาสี่คนถือชะแลงอยู่ในมือ ยังจะกลัวคนต่างชาติคนเดียวอีกทำไม 

 

 

ซานเอ๋อร์ได้ยินเสียงก็รีบมองมา ชั่วขณะนั้นสีหน้าก็ฉายแววหวาดกลัวและยืนขึ้นมาในทันที 

 

 

 “อักษรบนผนังก็เป็นฝีมือของพวกนายงั้นเหรอ” คุกถามเสียงเรียบออกไป 

 

 

ผู้ชายคลุมหน้าสี่คนไม่พูดอะไร เพียงแต่พุ่งเข้ามาพร้อมเงื้อชะแลงในมือ…ดูท่าทางแล้วคงต่อสู้แบบนั้นมามากจนทำให้เกิดบรรยากาศที่ดูดุดันรุนแรง 

 

 

คุกขมวดคิ้วขึ้น ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัว เขาหันไปมองไม้หาบที่ซานเอ๋อร์เพิ่งถือออกมาและวางพิงอยู่ข้างผนัง จากนั้นก็เตะเบาๆ 

 

 

เขาจับปลายอีกด้านหนึ่งของไม้หาบ ในพริบตาที่ไม้เข้ามาอยู่ในมือ คุกก็เหมือนใจลอย เกิดความรู้สึกคุ้นเคย 

 

 

รู้สึกว่าเขาเคยใช้ท่วงท่าแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ครุ่นคิดอย่างละเอียด เข้าเผชิญหน้ากับการโจมตีของผู้ชายคลุมหน้าสี่คน 

 

 

ไม้ในมือของคุกกวาดเป็นวง ความรู้สึกรุ่มร้อนปรากฏอยู่ในร่างกาย เหมือนสัญชาตญาณกำลังควบคุมร่างกาย 

 

 

ดังนั้นเขาจึงขยับ 

 

 

ปลายไม้ที่เรียบขาวเหมือนมีหมอกพิษสีดำปรากฏขึ้นคล้ายกับนกฮัมมิ่งเบิร์ดทะยานสู่ฟ้า พุ่งเข้าที่ส่วนไหล่ของชายคลุมหน้าคนหนึ่งทำให้เขาลอยกระเด็นออกไปสามเมตร 

 

 

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น กระดูกไหล่ของผู้ชายคนนั้นหักเพราะการโจมตีที่รุนแรงนี้ ผู้ชายคลุมหน้าคนนั้นร้องขึ้นก่อนจะสลบไปเพราะความเจ็บปวด 

 

 

คนที่เหลืออีกสามคนเห็นก็ยิ่งโจมตีอย่างดุดันขึ้น ชะแลงสามอันฟาดเข้าใส่หัวของคุก ไม่มีกฎกติกาอะไร แต่เป็นท่วงท่ามุ่งเอาชีวิตคนที่พวกเขาฝึกฝนมานานหลายปี 

 

 

คุกส่งเสียงเบาๆ ไม้หาบในมือพุ่งออกไปสามครั้งอย่างรวดเร็วเหมือนงู โจมตีเข้าที่ข้อมือของผู้ชายคลุมหน้าทั้งสามคนเหมือนผ่านการคำนวณมาอย่างแม่นยำ อีกทั้งยังทำให้ชะแลงในมือของพวกเขากระเด็นลอยออกไปพร้อมกัน 

 

 

ทั้งสามคนร้องโหยหวนขึ้นพร้อมกัน จับที่ข้อมือของตนเอง รู้สึกเหมือนโดนก้อนหินทุบ 

 

 

ตอนชะแลงสามอันตกลงมา คุกก็ขยับไม้ ชะแลงทั้งสามหมุนวนรอบไม้ 

 

 

ทันใดนั้นคุกก็สลัดชะแลงลง ชะแลงทั้งสามส่งเสียงดังปังขึ้นมาและปักเข้าไปในกระเบื้องหินเก่าแก่เหมือนจุดธูปสามดอกปักอยู่ด้านหน้าผู้ชายคลุมหน้าทั้งสามคน 

 

 

ทั้งสามคนตกใจมาก ไม่สนใจแล้วว่านี่โหดร้ายหรือไม่ รีบคลานไปพยุงเพื่อนที่สลบไปก่อนแล้วของตนเองขึ้นมาและหนีไปจากตรอก 

 

 

คุกไม่ได้ตามไป เพียงแต่ตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวมากเหมือนจะระเบิด ไม่สนใจที่จะไล่ตามอีก เขาใช้ไม้ค้ำร่างกาย บีบหว่างคิ้วของตนเอง นิ่งไม่ขยับ 

 

 

 “มาร์…มาร์ค คุณ คุณเป็นอะไร” 

 

 

หลังผ่านไปนาน ซานเอ๋อร์ที่หวาดกลัวจนสีหน้าซีดขาวถึงได้แตะบ่าของมาร์คเบาๆ   

 

 

เขาถึงลืมตาขึ้นมา ส่ายหัว…จากนั้นความรู้สึกปวดหัวถึงค่อยผ่อนคลายลง 

 

 

เขารู้สึกว่ามีบางอย่างอยากพุ่งออกมาจากสมองของเขา แต่กลับมีตาข่ายใหญ่กางขวางไว้ ล็อกของที่สำคัญสำหรับเขาไม่ให้โผล่ออกมา 

 

 

 “พวกเขา…เป็นใคร” ซานเอ๋อร์ถามอย่างหวาดกลัว 

 

 

คุกขมวดคิ้วขึ้น เดินไปถึงหน้าถังน้ำมันสีขาวที่ผู้ชายคลุมหน้าทั้งสี่รีบจนลืมเอาไว้ที่นี่และเปิดดู เงยหน้ามองซานเอ๋อร์และถามว่า “เธอได้ล่วงเกินใครไว้หรือเปล่า นี่คือน้ำมัน พวกเขาน่าจะคิดวางเพลิง” 

 

 

 “วางเพลิง” ซานเอ๋อร์ตกใจจนขาอ่อน 

 

 

แต่ในตอนนี้มีแสงไฟขึ้นในบ้านของเพื่อนบ้าน คุกมองไปและรีบพูดว่า “เข้าไปคุยกันในบ้าน” 

 

 

เขารีบหิ้วถังน้ำมัน ใช้ไม้แบกถังน้ำ พาซานเอ๋อร์เข้าไปในประตูหลังอย่างไม่ลังเล อีกทั้งยังปิดประตูลงกลอน 

 

 

เขายังคงสงบนิ่งมาก 

 

 

แต่ซานเอ๋อร์ไม่รู้จะทำยังไงดี 

 

 

 “ถ้าคิดดีๆ แล้วจะเป็นใครได้” คุกถามอีกครั้ง 

 

 

ซานเอ๋อร์ตั้งสติ คิดถึงคนที่โต้เถียงจนเกือบตีกันในสถานรับเลี้ยงเด็ก…แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้วก็คิดว่าไม่ใช่ 

 

 

อันดับแรกไม่ทันเวลาแน่ เธอใช้เวลาเพียงครู่เดียวกลับมาจากสถานรับเลี้ยงเด็ก อีกฝ่ายกลับจัดเตรียมคนมาเขียนคำด่าหน้าบ้านของตนเองแล้ว อีกอย่าง ถ้าวางเพลิงเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น…มันเกินไป 

 

 

 “ฉันไม่รู้” ซานเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างจนใจ 

 

 

คุกครุ่นคิดและพูดว่า “เธอล็อกประตูบ้านให้แน่น ฉันจะออกไปดูรอบๆ…อีกอย่าง พรุ่งนี้ฉันจะยังไม่ไป” 

 

 

ซานเอ๋อร์ชะงัก กำลังจะพูดก็เห็นมาร์คถือไม้ขึ้นมา ผลักประตูออกไป เงาร่างนั่นทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

 

 

… 

 

 

… 

 

 

นีโรวางกล้องส่องทางไกลลง นัยน์ตาของนีโรมีแสงสีฟ้าวาบขึ้นอีกครั้ง แต่เธอยังไม่รู้ตัว เพียงหรี่ตาและหัวเราะออกมา 

 

 

 “อาฮะ สรุปแล้วก็ยังต้องลงมือเอง” 

 

 

คุณหนูทรราชหัวเราะ เกิดความคิดในใจ “ต้องขอบคุณฉันนะ คุก…ฉันส่งช่วงเวลาแห่งความรักในต่างแดนให้นายเชียวนะ” 

 

 

เธอฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครในร้านขายน้ำเต้าหู้สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของเธอได้แอบเข้าไปข้างใน