ลั่วชิวที่เป็นเจ้าของสมาคมต้องอาศัยจำนวนการแลกเปลี่ยนในการเพิ่มพลัง ถ้าคิดจะสำรวจดูเรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวาย เพียงแค่อาศัยมุมมองอื่นเท่านั้น
ครั้งที่เขาฝังเมล็ดเข้าไปจิตวิญญาณของนีโรนั้นก็เป็นเพราะเกิดความคิดขึ้นชั่วขณะเท่านั้น ฉวยโอกาสตอนมอบข้อมูลมหาศาลให้นีโรปลูกเมล็ดมุมมองนี้เข้าไป
มันเป็นครั้งแรกที่ลั่วชิวลองเปลี่ยนไปใช้มุมมองของนีโร
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ในตอนที่เขาใช้มุมมองของนีโรนั้น เขามีความรู้สึกแตกต่าง ดูเหมือนเขาจะได้รับความรู้สึกก่อนเป็นเจ้าของสมาคมกลับมาอีกครั้ง
แต่ตอนที่มุมมองของเขากลับมายังตัวของตนเองนั้น ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งดุจดั่งน้ำในบ่อโบราณ…น้ำที่ใกล้จะตาย
บางทีอาจจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์ที่จากไปของตนเองได้…ผ่านมุมมองของนีโร
ทันในนั้นการเคลื่อนไหวของเจ้าของสมาคมลั่วก็หยุดชะงัก มองดูโยวเย่ที่กำลังตัดขาแกะย่างให้เขา
ดูเหมือนจะใจลอย
“นายท่าน มีปัญหาอะไรเหรอคะ” เมื่อวางเนื้อแกะย่างชิ้นหนึ่งใส่จานของนายท่านที่อยู่ด้านหน้าแล้ว โยวเย่ก็ถามเบาๆ
ลั่วชิวส่ายหน้า กล่าวชมว่า “แค่รู้สึกว่าวันนี้เธอสวยมาก”
โยวเย่ยิ้มและพยักหน้ารับคำชมนี้
ส่วนเขาก็กลับมาเป็นเจ้าของสมาคมอีกแล้ว
…
…
สำหรับเสี่ยวจือแล้ว เธอมีสมบัติมากมาย ในสถานรับเลี้ยงเด็กมักมีผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจสมบัติเหล่านี้
สมบัติของเสี่ยวจือในตอนนี้คือหงส์ไม้เล็กๆ ที่สวยงามมากอันหนึ่ง นี่เป็นของที่ลุงมาร์คมอบให้เธอ หลังจากที่ได้รับแล้ว เสี่ยวจือก็ไม่ยอมให้หงส์ไม้ออกจากกระเป๋าเล็กๆ ของตนเองเลย
แต่วันนี้มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เสี่ยวจือไม่มีความสุขเท่าไหร่ นั่นก็คือเพื่อนๆ คนอื่นในสถานรับเลี้ยงเด็กรังแกเธอ
เรื่องราวเป็นแบบนี้ นั่นก็คือตอนบ่ายครูให้ทุกคนวาดรูป ใช้ดินสอสีวาดรูปพ่อแม่ แต่ถึงสุดท้ายแล้วเสี่ยวจือก็วาดภาพออกมาไม่ได้
“ฮ่าๆ เสี่ยวจือไม่มีพ่อ”
“เสี่ยวจือทำการบ้านไม่เสร็จ เป็นเด็กไม่ดี”
“เด็กๆ เงียบเสียงหน่อย อย่ารังแกเสี่ยวจือแบบนั้น”
“ฮิๆๆๆ”
ครูในชั้นเรียนไม่สามารถควบคุมเด็กมากมายขนาดนี้ได้
ถ้าเธอต่อว่าจะมีเด็กบางคนตกใจจนร้องไห้ เธอพยายามพูดโน้มน้าว แต่ห้ามคนหนึ่งก็ห้ามอีกคนไม่ได้ เมื่อก้มลงมองเสี่ยวจือที่มีน้ำตาเอ่อคลอ ครูก็ทั้งปวดใจทั้งร้อนใจ
คาดไม่ถึงว่าตอนนี้เสี่ยวจือจะพลิกโต๊ะเล็กลงบนพื้น พุ่งเข้าไปหาเด็กผู้ชายที่เกเรที่สุด
ชั่วขณะนั้นเด็กสองคนก็ตีกัน
ผลลัพธ์ก็คือ…เละ
…
หลังซานเอ๋อร์ได้รับข่าวแล้วก็ไม่สนใจธุรกิจร้านขายเต้าหู้ รีบปิดประตูสวมรองเท้าแตะ แม้แต่กระโปรงคลุมกันเปื้อนก็ไม่ได้ปลดออก รีบวิ่งออกไปทันที
“ขอโทษด้วย ลูกฉันซุกซนเกินไป ขอโทษ ขอโทษจริงๆ”
ซานเอ๋อร์ขอโทษพ่อแม่ของเด็กที่ถูกกัด ครูยืนคอยดูอยู่ข้างๆ การที่ลูกชายโดนกัดสำหรับพ่อแม่ที่อายุถึงสามสิบกว่าปีถึงจะมีลูกนั้นรู้สึกปวดใจมาก ไม่คิดจะหายโมโหง่ายๆ
ฝ่ายผู้หญิงพุ่งเข้าไปหาซานเอ๋อร์อย่างโมโห พูดเสียงแหลมว่า “เธอสั่งสอนลูกยังไงกัน สอนจนเหมือนเด็กเถื่อน ยังเล็กก็ป่าเถื่อนขนาดนี้แล้ว โตขึ้นมาจะขนาดไหน อ๋อ หรือเธอเอาแต่คิดจะขโมยเอาผู้ชายของคนอื่นเลยไม่มีเวลาสั่งสอนลูก”
“ได้โปรด…ให้เกียรติกันด้วย” ดวงตาซานเอ๋อร์แดง จ้องมองอีกฝ่าย
“ให้เกียรติเหรอ” ผู้หญิงคนนั้นพูดแย่ขึ้นเรื่อยๆ “ให้เกียรติก็ต้องดูก่อนว่าตนเองน่าให้เกียรติไหม ใครไม่รู้บ้างว่าเธอซ่อนผู้ชายต่างชาติไว้ในบ้าน เป็นยังไง ผู้ชายคนนั้นทำให้เธอรู้สึกดีมากสินะ พูดสิ เธอมันคนสำส่อน…กรี๊ด”
คาดไม่ถึงว่าเสี่ยวจือจะจับขาของผู้หญิงคนนั้นและกัดอย่างแรง
“นังเด็กป่าเถื่อน กล้ากัดฉันเหรอ ฉันจะตีแก” ผู้หญิงยื่นมือออกไปดึงเสี่ยวจือขึ้นมา เงื้อมือจะตีลงไป
“อย่าตีลูกสาวของฉัน” ซานเอ๋อร์ทนดูไม่ไหวรีบพุ่งเข้าไปแย่งเสี่ยวจือกลับมา
“วันนี้ฉันต้องสั่งสอนเธอ” ผู้หญิงคนนั้นก็ดุร้ายมาก เอามือคว้าจับผมของซานเอ๋อร์ไว้
“หยุดทะเลาะกันได้แล้วค่ะ ถ้าพวกคุณยังเป็นอย่างนี้อีก ฉันจะเรียกตำรวจมา” ตอนนี้ครูพูดอย่างร้อนใจว่า “ถ้าเรื่องไปถึงสถานีตำรวจ ไม่ว่าใครก็ดูไม่ดี ไม่ใช่เหรอคะ มีอะไรก็พูดกันดีๆ เถอะค่ะ”
คงเป็นเพราะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ผู้หญิงคนนี้จึงปล่อยซานเอ๋อร์ มือหนึ่งดึงลูกของตนเองและพูดอย่างเย็นชาว่า “ตอนเย็นฉันกับสามีฉันจะไปจัดการเธอที่ร้านพังๆ นั่น ชิ”
เสี่ยวจือตกใจกลัว จับเสื้อของซานเอ๋อร์ ฝังหน้าเข้าไปร้องไห้
“อย่ากลัวๆ ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว” ซานเอ๋อร์ปลอบใจ
เวลานี้ครูถึงถอนหายใจและพูดว่า “คุณแม่ ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ เธอก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ถ้าเธอไปหาคุณจริงๆ ก็อย่าลืมมาบอกฉัน ฉันจะช่วยคุณเองนะคะ”
ซานเอ๋อร์มองครูผู้นี้อย่างซาบซึ้งใจ…แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
ครูคนนี้…แม้เรียกว่าครู แต่ความจริงแล้วก็แค่คนทำงานในสถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่เห็นแม้แต่ใบประกอบการสอนอนุบาล ครอบครัวก็อยู่ที่นี่ จะล่วงเกินคนง่ายๆ ได้อย่างไร
ซานเอ๋อร์ถอนหายใจ พยักหน้าให้กับครูคนนี้ จากนั้นก็กอดเสี่ยวจือจากไป
ระหว่างทางกลับ แม้จะถูกซานเอ๋อร์จูง แต่เสี่ยวจือก็ยังก้มหน้าไปตลอดทาง ซานเอ๋อร์ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จูงมือลูกสาวไปอย่างนั้น รู้สึกเพียงว่าระยะทางดูไกลกว่าวันก่อนๆ
“แม่คะ…ขอโทษด้วย” เสี่ยวจือร้องไห้พร้อมพูดไปด้วย
ซานเอ๋อร์พูดว่า “ขอโทษอะไรกัน”
เสี่ยวจือกอดขาของซานเอ๋อร์ร้องไห้ “เสี่ยวจือไม่ควรตีคน เสี่ยวจือไม่ควรตีคน…แต่ว่า แต่ว่าป้าคนนั้นไม่ดี เธอ เธอ เธอด่าแม่ เสี่ยวจืออึดอัด อึดอัดมาก”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว” ซานเอ๋อร์ย่อกายลงไป กอดเสี่ยวจือ ตบหลังของเสี่ยวจือและพูดเบาๆ ว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว แม่ไม่เป็นไร”
เสี่ยวจือสูดจมูก พูดอย่างอดสูว่า “แม่คะ ให้ลุงมาร์คเป็นพ่อของเสี่ยวจือได้ไหม…”
ซานเอ๋อร์ชะงัก ริมฝีปากกระตุก พูดเสียงดังอย่างร้อนใจและโมโหว่า “ทำไมลูกถึงพูดอย่างนี้”
“เพราะว่า เพราะว่าถ้าเสี่ยวจือมีพ่อก็จะไม่มีใครล้อเสี่ยวจือว่าไม่มีพ่ออีก…” เสี่ยวจือก้มหน้าพูดว่า “และก็จะไม่มีใครรังแกแม่อีก…แม่คะ หนูอยากมีพ่อ”
ซานเอ๋อร์ตาแดง อุ้มเสี่ยวจือขึ้นมา ให้พิงไหล่ของตนเอง ไม่ให้เธอมองเห็นใบหน้าของตน ข่มความเศร้าพูดว่า “เสี่ยวจือเด็กดี แม่กลับบ้านแล้วทำลูกชิ้นให้กินดีไหม”
นี่น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเบี่ยงความสนใจของเสี่ยวจือ เห็นเพียงเธอพยักหน้าพูดว่าดี “อยากกินแบบหวาน”
“ได้ จะทำแบบหวานทั้งหมดเลย”
เสี่ยวจือฟุบเข้าไปในอ้อมอกของซานเอ๋อร์และหลับไป
ซานเอ๋อร์เดินกลับบ้านพร้อมกับเรื่องราวในใจ คิดถึงคำพูดของเสี่ยวจือแล้วก็รู้สึกเศร้า อดร้องไห้ไม่ได้…ทำไมเธอจะไม่คิด ถ้าสามารถมีที่พึ่งได้
แต่มาร์คสำหรับเธอแล้วลึกลับเกินไป
ซานเอ๋อร์ส่ายหน้า
ตอนเธอกลับมาถึงหน้าร้านขายเต้าหู้นั้นก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยโอบล้อมหน้าร้านของเธอ ชี้นิ้วดูอะไรบางอย่าง ซานเอ๋อร์ไม่กล้าเข้าไปถามทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่ยืนมองหน้าร้านของตนเองเงียบๆ
เมื่อมองดูแล้วซานเอ๋อร์ก็ตกใจจนหน้าซีดขาว
เพราะตรงประตูหน้าร้านตนเอง มีคนเขียนคำไม่สุภาพสีแดงตัวใหญ่เอาไว้
‘หน้าไม่อาย’ ‘สำส่อน’ ‘สุนัขหญิงชาย’ ‘เลว’…
ใครเป็นคนทำ ซานเอ๋อร์คิดไม่ออก ตอนนี้สิ่งที่เธอกลัวยิ่งกว่าก็คือกลัวว่าพวกเพื่อนบ้านเหล่านี้จะเห็นว่าเธออยู่ตรงนี้ กลัวสายตาของพวกเขามองเธอ
เมื่อคิดถึงสถานการณ์แบบนั้นแล้ว ร่างกายของซานเอ๋อร์ก็เย็นเฉียบ กลัวจนร่างกายสั่นขึ้นมา
“แม่ ยังไม่ถึงบ้านอีกเหรอ”
เสี่ยวจือได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงตื่นขึ้นมา ซานเอ๋อร์รีบจับหัวของเธอไว้จากนั้นก็หันหน้าวิ่งเข้าตรอกเล็กๆ ไป อ้อมรอบหนึ่งแล้วกลับมาที่ประตูหลังของร้านตนเอง
แต่เธอก็ยังเห็นตัวอักษรใหญ่สีแดงถูกเขียนเต็มไปหมดอยู่ที่นี่เช่นกัน
ซานเอ๋อร์เปิดประตูออกอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ปิดประตูแบบไม่พูดอะไร ลงกลอน พิงกับบานประตูนั่งลง กอดลูกสาวและสะอื้นอย่างปวดใจ
“แม่ แม่ เป็นอะไรไป แม่…แม่…เสี่ยวจือกลัว อย่าร้องได้ไหม…”
เธอกอดลูกสาวแน่นขึ้น
“แม่…”
เสี่ยวจือเองก็ร้องไห้เช่นกัน