บทที่ 444.3 กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เจ้าคนที่ไปก่อเรื่องในที่ว่าการกรมการคลังกลืนน้ำลาย ถึงอย่างไรก็เป็นคนฉลาดที่ขอเงินจากกรมการคลังมาได้ เขาจึงแสร้งทำเป็นไขสือเหมือนเจ้ากรมผู้เฒ่า “ใต้เท้าราชครู ท่านจะฆ่าข้าไม่ได้นะขอรับ ข้าเองก็ทำไปตามหน้าที่”

ชุยฉานพยักหน้ารับ “สิ่งที่เจ้าทำไม่เพียงแต่ไม่ผิด กลับกันยังทำได้ดีมาก ข้าจะจดจำชื่อของเจ้าไว้ วันหน้าก็พยายามให้มากกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจได้ดิบได้ดีไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องกัดฟันเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อไม่ให้กองทัพชายแดนต้องเสียหน้าเพียงแค่เพราะต้องมาเยือนที่ว่าการอย่างนี้อีก เงินซื้อเสื้อผ้าก้อนนี้ เมื่อออกไปจากที่นี่แล้ว เจ้าจงไปขอมาจากที่ว่าการกรมการคลัง นี่ไม่ใช่เงินที่เจ้าสมควรจ่าย แต่เป็นเงินที่ขุนนางบุ๋นราชวงศ์ต้าหลีติดค้างเจ้า ค่าใช้จ่ายทางกองทัพที่เจ้าขอเอาจากซ่งเหยียน นอกจากเงินส่วนที่ควรมอบให้กับอาจารย์สอนหนังสือผู้นั้นแล้ว ส่วนที่เหลือเจ้าก็สามารถเอาออกไปจากเมืองหลวงได้”

คนผู้นั้นทำสีหน้าเหลือเชื่อ “ใต้เท้าราชครู มีแค่เท่านี้จริงๆ หรือ?”

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดราชครูต้าหลีผู้ยิ่งใหญ่ถึงได้รู้เรื่องเล็กยิบย่อยอย่างเรื่องที่ตนซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาคิดให้มากความแล้ว

ชุยฉานคลี่ยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเท่านี้ เรื่องนี้ทำให้ข้าต้องเสียสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ ในเมื่อไม่อาจโทษเจ้าที่เป็นคนประสานงานได้ และเจ้ากรมหันก็เป็นพวกเจ้าเล่ห์จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้เล่นงานคนในกรมการคลังเสียเลย ดังนั้นก็คงได้แต่เอาเรื่องกับแม่ทัพหลักของพวกเจ้าแทนแล้ว ระหว่างการกรีฑาทัพลงใต้ บัญชีบางอย่างที่เขาหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ข้ากะว่าจะนำไปคิดกับเขาซูเกาซาน เจ้าไปบอกเขาว่า ทางด้านของราชสำนักได้หักล้างคุณความชอบที่เขาทำลายแคว้นเย่โหยวไปแคว้นหนึ่ง ดังนั้นตำแหน่งทูตผู้ตรวจการซึ่งเดิมทีเป็นของในกระเป๋าของเขาคงไม่มีหวังแล้ว หลังจากนี้เขาจะต้องร่วมมือกับเฉาผิงบุกโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งด้วยกัน จำไว้ว่าต้องออกแรงให้มากหน่อย หากสามารถบุกโจมตีเข้าไปในเมืองหลวงราชวงศ์จูอิ๋งได้ก่อนก็จะเป็นการสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ เขาที่มีชาติกำเนิดมาจากคนตัดต้นไม้ชอบฟันบัลลังก์มังกรมาทำเป็นฟืนนักไม่ใช่หรือ? ข้าสามารถรับปากเขาได้ตั้งแต่วันนี้เลยว่า บัลลังก์ตัวนั้น ขอแค่เขาซูเกาซานได้เห็นกำแพงสูงของเมืองหลวงก่อน บัลลังก์ที่มีค่ามากที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปตัวนั้นก็จะกลายมาเป็นฟืนของเขา ให้เขาใช้เปลวเพลิงฮุบกลืนบัลลังก์ และงูหลามเพลิงตัวที่เขาเลี้ยงไว้ก็มีหวังจะเลื่อนเป็นโอสถทอง”

สีหน้าของชายฉกรรจ์ที่มาจากกองทัพชายแดนผู้นั้นไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด

นี่เห็นได้ชัดว่าจะบีบให้ท่านแม่ทัพใหญ่ซูต้องทุ่มสุดชีวิตบุกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางสำคัญนี่นา

ชุยฉานวางถ้วยชาลง “ข้ายังมีธุระให้ต้องทำ เจ้าเองก็เหมือนกัน คงไม่เชิญให้เจ้าดื่มชาแล้ว ชาแค่ถ้วยสองถ้วยไม่สามารถทำให้เจ้าใจเย็นลงได้”

ชายฉกรรจ์ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ละทิ้งความคิดที่จะขอปรึกษากับใต้เท้าราชครูดูอีกครั้งไป เขากล้าไปอาละวาดในกรมการคลัง นั่นเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ จำต้องเป็นหมาจนตรอกที่กระโดดข้ามกำแพง แต่อยู่ที่นี่ ทำอย่างนั้นไม่มีความหมาย

ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะจากไป เขาปลุกความกล้าให้ตัวเองแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าราชครู ท่านจะยอมเสียเวลาอีกสักนิดให้ข้าพูดสักประโยคได้หรือไม่ แค่ประโยคเดียวเท่านั้น”

ชุยฉานยิ้มกล่าว “สองประโยคแล้วกัน”

ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้างพลางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ก่อนหน้านี้มักจะเคยได้ยินว่าบุคคลใหญ่โตในราชสำนักชอบพูดจาผายลมเหมือนมีแต่หมอกควัน ทำให้คนฟังต้องเดาเอาเอง ใต้เท้าราชครูเองก็พูดจาอ้อมค้อม แต่อ้อมค้อมไม่มาก แม้ว่าเรื่องในวันนี้จะทำให้ใต้เท้าราชครูวุ่นวายใจ แต่บอกตามตรง ในใจข้ายังคงยินดีมาก”

ชุยฉานโบกมือ “วันหน้าสามารถเอาไปคุยโวกับคนอื่นได้ แต่อย่าให้มากเกินไป คำพูดทำนองว่าได้พูดคุยกับข้าชุยฉานอย่างถูกคอ เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องนั่น อย่าได้เอาไปพูดเลย”

ชายฉกรรจ์นับถือจากใจจริง กุมหมัดกล่าวว่า “ใต้เท้าราชครูสมกับเป็นเทพเซียนอย่างแท้จริง”

ยากที่จะจินตนาการได้ว่า

เรื่องเล็กๆ ที่ชายฉกรรจ์จากกองทัพชายแดนคนหนึ่งไปทวงเงินจากกรมการคลังเมื่อปลายปีก่อนซึ่งไม่มีความสำคัญในทะเลสาบซูเจี่ยนเวลานั้น สุดท้ายแล้วจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มสถานการณ์และโชคชะตาของผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนในทะเลสาบซูเจี่ยนโดยตรง

นับตั้งแต่เมื่อปลายปีก่อนจนถึงปลายปีนี้ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มที่ซูเกาซานแม่ทัพหลักของกองทัพม้าเหล็กกองหนึ่งมีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่า ข้าผู้อาวุโสไม่มีเงิน ข้าผู้อาวุโสขาดเงิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บุกเข้าไปถึงภาคกลางแคว้นสือหาวซึ่งเป็นแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งแล้วยึดครองแคว้นสือหาวมาได้อย่างง่ายดาย แต่พอประเมินกองกำลังทหารของเจ้าเฉาผิงผู้นั้น ซูเกาซานก็พลันกลัดกลุ้ม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนว่าเจ้าคนหน้าขาวนั่นจะมีโอกาสชนะ ช่วงชิงคุณความชอบหลักในการบุกโจมตีเมืองหลวงแคว้นจูอิ๋งไปได้มากกว่า

คนเราจะใช้ชีวิตอดทนอดกลั้นเหมือนคนกลั้นฉี่จนตายไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ทัพใหญ่ตำแหน่งสูงที่กุมอำนาจอย่างซูเกาซาน ดังนั้นภายใต้กฎเกณฑ์ทุกอย่าง ต้องใช้เงิน และยิ่งต้องการเงินเทพเซียน

เขาจึงจับจ้องทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่ทางใต้ของแคว้นสือหาวตาเป็นมัน

เคยส่งคนไปเยือนนครอวิ๋นโหลวด้วยตัวเอง และพูดคุยกับถานหยวนอี้เกาะลี่ซู่มาครั้งหนึ่ง

เขาซูเกาซานไม่สนว่าจะเป็นหลิวจื้อเม่า หม่าจื้อเม่าหรือใครกันที่ได้เป็นเจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยน นี่ล้วนไม่สำคัญ ขอแค่มอบเงินให้ก็พอ แค่มีเงินมากพอ เขาก็สามารถเพิ่มความเร็วฝีเท้าม้าในการมุ่งหน้าลงใต้ เพื่อหนุนหลังให้กับคนผู้นี้ ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นเหมือนหนูวิ่งข้ามถนนกลุ่มนั้น ใครกันจะไม่ยินยอม ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เขาซูเกาซานเดินทางลงใต้ครั้งนี้ อย่าว่าแต่เซียนดินอิสระเลย ต่อให้เป็นภูเขาใหญ่ของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ถูกถล่มราบไปแล้วสี่สิบกว่าแห่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาในตอนนี้ หากไม่พูดถึงเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่ทางต้าหลีจัดหามาให้ ลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่รวบรวมมาตลอดทางก็มีมากถึงสองร้อยกว่าคนแล้ว และนี่ยังเป็นคนที่เข้าตาเข้าด้วย ไม่อย่างนั้นจำนวนก็คงมากทะลุพันไปนานแล้ว อีกทั้งขอแค่วางแผนทำการบุกเข้าสังหารบนภูเขาใหญ่ หลังก้นของกองทัพใหญ่เขา ยังมีพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือไม่ก็เทพเซียนถ้ำสถิตทั้งหลายของสถานที่ต่างๆ ที่ถูกเขาล่มแคว้นหรือไม่ก็ถูกต้าหลีรับเป็นแคว้นใต้อาณัติซึ่งเวลาอยู่ต่อหน้าเขาต้องก้มหัวค้อมเอวให้เรียกใช้ได้อีกสามสี่ร้อยคน อย่างน้อยคนจำนวนนี้ก็ล้วนว่าง่ายเชื่อฟัง ยอมมาเป็นกำลังเสริมให้เขาที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแต่โดยดี

แล้วนับประสาอะไรกับที่ในกองทัพใหญ่ยังมีเรือกระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับรับมือผู้ฝึกตนบนภูเขาโดยเฉพาะอยู่อีกด้วย นั่นเป็นวัตถุที่อาจารย์กลไกของสำนักโม่สร้างขึ้นมา ทะยานขึ้นฟ้าแล้วสาดยิงพร้อมกัน กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็สาดกระจายราวสายฝน

แค่เปลืองเงิน อีกทั้งยังเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ด้วย ทุกครั้งที่เอามาใช้ ซูเกาซานจะต้องรู้สึกเหมือนหัวใจถูกคว้าน ความรู้สึกนั้นราวกับว่าถูกคว้านเนื้อจากหัวใจตัวเอง

ทุกครั้งที่ได้ยินพวกกุนซือขุนนางบุ๋นวางแผนกันแล้วบอกว่าครั้งนี้ที่ใช้เรือกระบี่ ผลลัพธ์ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วก็พูดพล่ามอะไรอีกหลายอย่าง สุดท้ายบอกกับซูเกาซานว่าเสียเงินร้อนน้อยไปมากน้อยเท่าไหร่ ซูเกาซานก็แทบอยากจะส่งคนไปยังสำนักที่ถูกเขาทำลายจนแม้แต่ไม้ที่สร้างศาลบรรพจารย์ก็ยังถูกรื้อลงมาขายเป็นเงิน แล้วขุดดินลึกลงไปอีกสามฉื่อเพื่อควานหาทรัพย์สินทั้งหมดอีกรอบ หากเจอกับพวกทรัพย์สมบัติที่เก็บซ่อนไว้อย่างเป็นความลับ ไม่แน่ว่าอาจจะพอรักษาต้นทุน หรืออาจถึงขั้นได้กำไรบ้างก็ได้ เรื่องประเภทนี้ ระหว่างที่เดินทางลงใต้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนจริงๆ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่แก่หนังเหนียวตายยากเหล่านั้นคือหนูที่ขยันขุดรูแท้ๆ แต่ละคนซุกซ่อนสมบัติได้ลึกล้ำไม่แพ้กันเลย

พอนึกถึงทรัพย์สมบัติมากมายที่ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายในทะเลสาบซูเจี่ยนเก็บสะสมมาได้หลายร้อยปี ซูเกาซานก็เกือบจะทำหน้าหนาไปขอยืมเรือกระบี่หลายๆ ลำมาจากเจ้าหน้าขาวเฉาผิงผู้นั้นอีกครั้ง

ซูเกาซานคือผู้ที่มีอิทธิพลใหญ่ของต้าหลี อีกทั้งตัวเขาเองยังเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ในมือกุมอำนาจทางการทหาร เวลาทำอะไรจึงมักจะเน้นที่ความเรียบง่ายเสมอ

แต่สำหรับถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่ สายลับใหญ่คนหนึ่งที่เคยชินกับการคิดคำนึงถึงผลได้ผลเสียอยู่บนคมมีดแล้ว เมื่อต้องมาเจอกับแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจ บุคลลยิ่งใหญ่ที่ติดอันดับสิบคนแรกของกองทัพชายแดนต้าหลีอย่างแท้จริง อีกทั้งอนาคตยังเป็นว่าที่ทูตผู้ตรวจการอย่างซูเกาซานผู้นี้ ถานหยวนอี้ก็ทั้งดีใจและทั้งปวดหัว

เงินเก็บตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเกาะลี่ซู่ รวมไปถึงเงินเทพเซียนอีกเล็กน้อยที่ได้มาจากเกาะชิงจ่งและเกาะเทียนหมู่ สำหรับกองทัพม้าเหล็กที่จำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนแล้ว ก็กล่าวได้แค่คำว่า น้ำถ้วยเดียวไม่พอให้ดับไฟทั้งเกวียน

ซูเกาซานใช้สงครามเลี้ยงสงครามจนไม่อาจประคับประคองตัวได้อีกแล้ว ถึงอย่างไรการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ นอกจากเสียงกีบม้าของกองทัพต้าหลีที่ดังราวฟ้าคำรามแล้ว ยังมีผู้ตรวจตรากองทัพและขุนนางบุ๋นที่ทำหน้าที่เก็บกวาดซากที่เกิดเหตุโดยเฉพาะติดตามมาด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง ฝ่ายหลังพยายามอย่างสุดกำลังที่จะหลีกเลี่ยงการรีดไถเอารัดเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามที่รบพ่ายแพ้มากเกินไป เพราะเรื่องนี้ราชครูชุยฉานได้ตั้งกฎเกณฑ์ที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายิบย่อยมาไว้ชุดหนึ่ง แม่ทัพของกองทัพชายแดนจะชอบหรือไม่ชอบก็เรื่องของพวกเขา ถึงอย่างไรก็มีกุนซือคอยช่วยไขข้อข้องใจให้อยู่แล้ว อีกทั้งหากละเมิดกฎยังต้องจ่ายค่าตอบแทน สามารถทำความดีชดใช้ความผิด ขอแค่คุณความชอบในการสู้รบมีมากพอ เจอกับเมืองที่ดื้อดึงไม่ยอมรับการอบรมสั่งสอน โจมตีเนิ่นนานก็ยังไม่สำเร็จ ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก สุดท้ายหากเมืองถูกตีแตก แม่ทัพหลักถึงขั้นสามารถออกคำสั่งให้ประหารคนทั้งเมืองได้ อย่าว่าแต่คนที่มีสองขาเลย แม้แต่หมูหมากาไก่ก็อาจจะยังไม่ละเว้น แต่การกระทำที่ระบายความเคียดแค้นซึ่งขัดต่อกฎเกณฑ์การกรีฑาทัพลงใต้นี้ อย่างมากสุดผู้ตรวจตรากองทัพและขุนนางบุ๋นของต้าหลีที่ติดตามกองทัพมาด้วยจะแค่เสนอความคิดเห็นเท่านั้น ไม่พยายามห้ามปรามเอาเป็นความตาย ยิ่งไม่คิดจะส่งเรื่องร้องเรียน เพราะสถานการณ์เช่นนี้ก็อยู่ภายในกฎเกณฑ์ของราชครูต้าหลีเช่นกัน แค่ต้องเอาสมุดเล่มนั้นออกมากาง คุณความกล้าหาญที่บันทึกไว้จากการเข่นฆ่าสังหารศัตรูมาตลอดทาง รวมไปถึงคุณความชอบทางการทหารที่ตีเมืองได้สำเร็จ เมื่อเอามาคิดคำนวณกับราคาที่ต้องจ่ายจากการฆ่าล้างเมืองก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งหากเป็น ‘ทูตผู้ตรวจการ’ ตำแหน่งขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่ทางต้าหลีตั้งขึ้นมาใหม่ที่ตัดใจใช้คุณความชอบทางการทหารมาลบล้างความผิด ตัดใจให้ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์หลังจบเรื่องเป็นผู้ลงมือทำ ก็ทำได้ตามสบาย เพราะราชสำนักต้าหลีจะไม่มีทางมาคิดบัญชีย้อนหลังกับเจ้าเด็ดขาด

แต่หากคุณความชอบทางการทหารไม่มากพอ แต่ยังกล้าสังหารคนทั้งเมืองหรือฆ่าล้างทหารของฝ่ายที่พ่ายแพ้อย่างกำเริบเสิบสาน วิธีจัดการก็ง่ายยิ่งกว่า นั่นคือตัดหัว ผู้ตรวจตรากองทัพสามารถสั่งการเลขาธิการบู๊ทุกคนที่อยู่ในกองทัพได้โดยตรง ต่อให้จะเป็นเลขาธิการบู๊ที่เป็นคนสนิทอยู่ข้างกายแม่ทัพใหญ่ก็ยังต้องฟังคำสั่งจากป้ายคำสั่งที่ราชครูต้าหลีมอบให้แก่ผู้ตรวจตรากองทัพ แม่ทัพหลักที่ออกคำสั่งให้ฆ่าล้างเมืองจะถูกลากตัวไปตัดหัว จากนั้นหัวของเขายังต้องถูกส่งเวียนไปตามทัพต่างๆ ของต้าหลี หัวคนหนึ่งหัวยังไม่พอ ครอบครัวของเขาที่อยู่ในต้าหลีก็ต้องช่วยกันชดใช้ความผิดจนกว่าจะเพียงพอ หากฆ่าจนหมดแล้วก็ยังไม่พอ ไม่เป็นไร ราชครูต้าหลีกล่าวไว้แล้วว่า ก็ถือซะว่าต้าหลีมอบความเมตตาให้กับเจ้าที่ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาตลอดหลายปีนี้เป็นพิเศษก็แล้วกัน

แต่หากหลิวเหล่าเฉิงไม่ได้ปรากฏตัว

การค้าครั้งนี้ สำหรับถานหยวนอี้ สำหรับหลิวจื้อเม่า สำหรับแม่ทัพใหญ่ซูเกาซาน และสำหรับต้าหลีแล้ว ล้วนจะกลายเป็นสถานการณ์อันดีเยี่ยมที่ทั้งสี่ฝ่ายต่างก็ได้ผลประโยชน์

แต่กลับกลายเป็นว่าจู่ๆ หลิวเล่าเฉิงที่ไม่เคยปรากฎตัวบนเกาะกงหลิ่วเป็นเวลาสองร้อยปีกลับโผล่มา

เพราะฉะนั้นการปรากฎตัวของไม้กวนอาจมอย่างหลิวเหล่าเฉิงจึงทำให้หลิวจื้อเม่าสูญเสียการควบคุมทะเลสาบซูเจี่ยนไปภายในค่ำคืนเดียว จุดจบของถานหยวนอี้เองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากู้ช่านและสัตว์เดรัจฉานแห่งเกาะชิงเสียนั้นสักเท่าไหร่ ล้วนต่างก็เป็นคนที่เจอกับหายนะซึ่งมาเยือนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เวลานี้หลิวจื้อเม่ากำลังใช้ตามองจมูก จมูกมองใจ ราวกับภิกษุเฒ่านั่งเข้าฌาน

เฉินผิงอันยกมือขึ้นมาถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน “เจ้าเกาะถานมีความสัมพันธ์อย่างไรกับซูเกาซานแม่ทัพหลักต้าหลีที่โจมตีแคว้นสือหาว?”

ถานหยวนอี้ตอบตามสัตย์จริง “ความสัมพันธ์ธรรมดา สิ่งที่ซูเกาซานมองเห็นมีเพียงแค่เงินแสดงความกตัญญูและเงินซื้อชีวิตจากเกาะนับพันในทะเลสาบซูเจี่ยนเท่านั้น หากเอาออกมาไม่ได้ เขาก็อาจเปลี่ยนสีหน้าได้ตลอดเวลา แม้แต่ข้าที่ถือว่าเป็นคนกันเองกับเขาครึ่งตัวก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้จะบอกว่าแม่ทัพบู๊ไม่มีทางยื่นมือเข้าแทรกกิจธุระของศาลาคลื่นมรกตได้แน่นอน แต่สายลับที่เป็นคนในของศาลาคลื่นมรกตอย่างข้าก็มีมากถึงสิบกว่าคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีหนิวหม่าหลันและถงเหรินเผิ่งลู่ไถที่สันดานพอๆ กัน พวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าศาลาคลื่นมรกตเช่นกันเลย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือศาลาคลื่นมรกตเป็นองค์กรที่เหนียงเนียงท่านนั้นสร้างขึ้นมากับมือของตัวเอง แม้จะบอกว่าตอนนี้คนที่ดูแลคือราชครูต้าหลี แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา และที่แย่อย่างถึงที่สุดก็คือ สายลับตำแหน่งสูงเทียบเท่ากับเจ้าเกาะถานภายในศาลาคลื่นมรกตยังมีหลี่เป่าเจิน ซึ่งเส้นทางการเลื่อนขั้นของเขาได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องราบรื่นยิ่งกว่า นี่กลับกลายมาเป็นว่าขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์เก่าที่มีความอาวุโสในศาลาคลื่นมรกตอย่างเจ้าเกาะถานจะมีชีวิตที่ลำบากยิ่งกว่า”

ถานหยวนอี้ยิ้ม “ใต้เท้าราชครูไม่เคยปฏิบัติต่อหนิวหม่าหลันและศาลาคลื่นมรกตอย่างลำเอียง”

เฉินผิงอันพูดแทงใจดำ “การปฏิบัติต่อหนิวหม่าหลันและศาลาคลื่นมรกตย่อมไม่มีทางลำเอียงอยู่แล้ว แต่สำหรับคนเก่าแก่ที่สนิทสนมในศาลาคลื่นมรกตทุกคนที่เหนียงเนียงท่านนั้นเป็นผู้ดึงขึ้นมาล่ะ จะลำเอียงหรือไม่? หากท่านราชครูใจกว้าง ก็คงไม่ลำเอียง แต่หากเขาไม่ได้ใจกว้างมากขนาดนั้น ก็อาจลำเอียง วันนี้โลกวุ่นวายจำเป็นต้องใช้คนมีความสามารถ จึงไม่ลำเอียง แต่หากพรุ่งนี้โลกสงบสุข ก็อาจจะลำเอียง วันนี้อาจยื่นหนังสือแสดงความสวามิภักดิ์ ขีดเส้นแบ่งกับเหนียงเนียงอย่างชัดเจน พรุ่งนี้อยู่ดีๆ หายนะอาจหล่นลงมาจากฟ้า ถูกคนอื่นที่ไม่ค่อยฉลาดนำความเดือดร้อนมาให้ ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ทั้งหมด”

ถานหยวนอี้ถอนหายใจ ไม่ได้โต้เถียง

หลิวจื้อเม่ายังคงวางท่าผ่อนคลายเหมือนตัวเองเป็นคนนอกอยู่เหมือนเดิม

เฉินผิงอันเองก็ถอนหายใจอยู่ในใจเบาๆ

สำหรับถานหยวนอี้ผู้นี้ จะคลายเงื่อนตายในใจหรือไม่ มีความหมาย แต่ความหมายนั้นก็ไม่มาก

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังไม่ทันได้เริ่มทำการซื้อขายก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์ไม่มีทางสมใจปรารถนา การพูดคุยกันในคืนนี้เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งที่จำเป็นต้องดำเนินไปเท่านั้น

เฉินผิงอันต้องการใช้ความจริงเล็กๆ แต่ละอย่างจากจุดเล็กจุดน้อยที่ถานหยวนอี้แสดงออกมา ไปเคาะตีความสงสัยที่อยู่ในใจของเขา จากนั้นค่อยรวบรวม และแยกแยะเส้นสายของแนวโน้มสถานการณ์ที่มองดูเหมือนพร่าเลือน แต่ก็มีเบาะแสให้ตามหานี้

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่จริงๆ แต่ในเมื่อเป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมยาก เจ้าเกาะถาน เจ้าเกาะหลิว พวกเราควรมาเป็นพันธมิตรที่จริงใจต่อกันสักครั้งดีไหม? เริ่มพูดคุยถึงขั้นตอนแต่ละอย่างโดยละเอียด? ทั้งสามฝ่ายช่วยกันตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่ให้กันและกัน?”

ถานหยวนอี้ขยับตัวนั่งตรง กล่าวเสียงหนัก “ท่านเฉินยินดีมอบผลท้อมาให้ ถานหยวนอี้ย่อมมอบลูกหลีตอบแทน!”

หลิวจื้อเม่าก็ยิ่งเปิดปาก ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด!”

……

ยามดึก

เฉินผิงอันเดินออกมาจากจวนเหิงโปเพียงลำพัง ย้อนกลับไปที่ประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย วางเตาอุ่นมือที่ไฟดับลงแล้วไว้ในห้อง ห้อยแขวนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เปลี่ยนมาสวมชุดอาคมจินหลี่อีกครั้ง จากนั้นก็สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวตัวหนาคลุมทับไว้ภายนอก ชักกระบี่เจี้ยนเซียนที่ติดตรึงอยู่บนประตูออก สอดกลับใส่ฝักมาสะพายไว้ด้านหลัง เดินตรงไปที่ท่าเรือ คลายเชือกที่ผูกเรือลำเล็กออก แล้วมุ่งหน้าไปยังเกาะกงหลิ่ว

ระยะทางน้ำยาวไกล

เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อน เขาจ้วงไม้พาย เรือข้ามฝากก็เหมือนลูกธนูที่พุ่งจากแล่งแหวกสายน้ำออกไป

ทะเลสาบซูเจี่ยนกว้างขวางเกินไป ต่อให้เรือข้ามฟากจะเหมือนนกที่โผบิน แต่ฟ้าสว่างแล้วก็ยังคงมองไม่เห็นเงาของเกาะกงหลิ่วอยู่ดี

หิมะใหญ่ตกมองไม่เห็นเงานกบนนภา

เฉินผิงอันหยุดเรือไว้มุมหนึ่งของทะเลสาบ มือถือตะเกียบข้างหนึ่ง วางถ้วยขาวไว้ใบหนึ่งแล้วเคาะตะเกียบลงบนถ้วยเบาๆ เสียงดังแกร้งๆๆ

 เสียงไพเราะเสนาะหู

ทั้งคล้ายขอทานที่นั่งขออาหารอยู่ข้างทาง แต่ก็คล้ายเซียนหนุ่มที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษอิสระเสรีอยู่ในป่าเขา

เฉินผิงอันหาความสุขให้ตัวเองอยู่อย่างนั้นหนึ่งก้านธูป จากนั้นก็เก็บทั้งตะเกียบและชามใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

เฉินผิงอันเอามือถูซีกแก้มแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

กินลมเย็นจนเต็มอิ่ม!

—–