บทที่ 445.1 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ด้านนอกภูเขาสุ้ยซาน

ผู้อำนวยการสถานศึกษาท่านหนึ่งมาถึงอย่างเงียบเชียบ และยังคงรอคอยคำตอบด้วยความอดทน

แม้แต่องค์เทพเกราะทองตนนั้นยังเริ่มรู้สึกเวทนา

บัณฑิตคนหนึ่งที่มีหวังว่าจะกลายเป็นรองเจ้าลัทธิในศาลบุ๋นกลับถูกซิ่วไฉเฒ่าที่แม้แต่เทวรูปยังถูกทุบแตกปล่อยให้รอคอยอย่างนี้มาเกินครึ่งเดือนแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ลำพังเพียงแค่น้ำลายของบัณฑิตในใต้หล้าไพศาล คาดว่าคงท่วมทับภูเขาสุ้ยซานได้เลยกระมัง

บนยอดเขาสุ้ยซาน

สำหรับการที่ทางฝ่ายศาลบุ๋นระดมคนอย่างจริงจัง ซิ่วไฉเฒ่ายังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกวันเขาที่อยู่บนยอดเขาแห่งนี้จะต้องอนุมานแนวโน้มของสถานการณ์ เดี๋ยวก็พูดบ่น เดี๋ยวก็ชื่นชมตัวอักษรบนหลักศิลา ให้คำชี้แนะแก่ผืนแผ่นดิน เดินเตร็ดเตร่ไปมา หากใช้คำพูดขององค์เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานมาพูดก็คือ ซิ่วไฉเฒ่าเหมือนแมลงวันแก่ตัวหนึ่งที่หาขี้กินไม่ได้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับยังตบลงบนเสื้อเกราะสีทองขององค์เทพแห่งขุนเขา กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “คำพูดนี้เข้าท่า วันหน้าหากข้าเจอตาเฒ่าก็จะเอาคำพูดนี้ของเจ้าเป็นคำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงให้พวกนักปราชญ์ที่เทวรูปตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นพวกนั้น”

องค์เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานสีหน้าเย็นชา “หากเจ้ากล้าพูดอย่างนี้ วันหน้าก็ไม่ต้องมาที่ภูเขาสุ้ยซานอีก”

ซิ่วไฉเฒ่ารีบถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือ แล้วเอามาเช็ดเสื้อเกราะสีทองให้องค์เทพใหญ่ “แค่คำพูดล้อเล่นก็ยังฟังไม่ออก เจ้านี่น่าเบื่อซะจริง”

องค์เทพเกราะทองที่ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ร้ายที่สุดในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่สะทกสะท้าน สองมือกุมกระบี่ ทอดสายตามองไปยังชายแดนนอกเขตการปกครองของภูเขาสุ้ยซาน ท่าทางคุ้นเคยกับการกระทำเช่นนี้ของซิ่วไฉเฒ่าเป็นอย่างดี นี่แสดงให้เห็นว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เขาต้องเจอกับความยากลำบากจากซิ่วไฉเฒ่ามาไม่น้อย เรียกได้ว่าถูกย่ำยีกลั่นแกล้งจนเต็มอิ่ม ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นเฉยชาขนาดนี้

มือหนึ่งของซิ่วไฉเฒ่าเอื้อมไปเกาท้ายทอย ยืนอยู่ข้างกายองค์เทพเกราะทอง “คนที่เป็นอาจารย์ เจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าคำพูดไหนที่ตัวเองพูดออกไป หลักการเหตุผลข้อไหนที่ตัวเองอธิบายออกไป เรื่องไหนที่ตัวเองทำลงไปจะถูกลูกศิษย์จดจำไว้ขึ้นใจจนชั่วชีวิต หากเป็นบัณฑิตที่เรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า ‘ช่วยให้ความรู้ไขข้อข้องใจแก่ปวงประชาในใต้หล้า’ อย่างแท้จริง อันที่จริงลึกๆ ในใจจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าจึงอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวอย่างใหญ่หลวงนี้จนไม่อาจถอนตัวออกมาได้ สุดท้ายกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก เพราะข้าพบว่าจุดด่างพร้อยไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ในบรรดาตัวของลูกศิษย์ตัวเอง ล้วนมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าข้าเป็นคนสร้างขึ้น”

องค์เทพเกราะทองหัวเราะหยัน “ที่แท้ก็ไม่ใช่แค่แกว่งเท้าหาเสี้ยน”

ซิ่วไฉเฒ่าเต้นผางสบถด่า “ข้าเตือนเจ้าไว้เลยนะ อย่าอาศัยว่าพวกเราสนิทสนมกันแล้วคิดว่าเจ้าจะสามารถเลียนแบบบัณฑิตจอมปลอมพวกนั้นมาพูดจาเหน็บแนมกันได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเกลียดเรื่องนี้ที่สุด? ข้าอดทนกับเจ้ามาหลายร้อยปีแล้ว หากเจ้ายังไม่เปลี่ยนนิสัยแย่ๆ นี่ วันหน้าข้าจะไม่ย้ายไปไหนแล้วจริงๆ จะอยู่ที่นี่ทำให้เจ้ารำคาญมันทุกวันเลยนี่แหละ”

องค์เทพร่างทองหัวเราะร่า “ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำ “ซิ่วไฉเจอกับทหาร มีเหตุผลก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน”

องค์เทพร่างทองเอ่ยถาม “ตามผลลัพธ์ที่เจ้าอนุมานได้ ชุยฉานที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปเดี๋ยวก็ตีตะวันออก เดี๋ยวก็กระหนาบตะวันตก (เปรียบเปรยว่าทำอะไรไม่มองภาพรวม ไม่คิดให้รอบคอบ) สุดท้ายวางแผนทุกย่างก้าวเพื่อเล่นงานเด็กคนนั้น นอกจากคิดจะชักคะเย่อดึงให้ชุยตงซานมาอยู่ข้างกายตัวเองแล้ว เป็นเพราะยังมีแผนการร้ายที่ใหญ่กว่านี้อีกหรือไม่?”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มตาหยี “คนฉลาดสุดยอดที่รู้ฟ้ารู้ดินรู้ทุกอย่างเช่นข้า ย่อมต้องรู้ถึงสิ่งที่ชุยฉานแสวงหาอย่างแท้จริง แต่ข้าไม่พูดให้เจ้าฟังหรอก”

องค์เทพร่างทองพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเจ้าว่าอย่าพูดดีกว่า”

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ ดึงผมเส้นหนึ่งออกมาเบาๆ แล้วยื่นส่งให้เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานที่อยู่ด้านข้าง

องค์เทพร่างทองขมวดคิ้วถาม “ทำอะไร?”

ซิ่วไฉเฒ่าหน้าเครียด “ตอไม้ทึ่มทื่อที่เรียนรู้อะไรก็ไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า เอาผมเส้นนี้ไปแขวนคอตายซะ”

องค์เทพร่างทองหัวเราะ “เจ้าคิดจะหาทางลงให้ตัวเอง เลยจะยั่วให้ข้าโมโห เมื่อถูกหนึ่งกระบี่ของข้าผ่าให้ออกไปจากอาณาเขตของภูเขาสุ้ยซาน เจ้าก็จะได้ออกไปพบผู้อำนวยการใหญ่คนนั้น ขอโทษที ไม่มีเรื่องดีๆ แบบนี้หรอก”

ซิ่วไฉเฒ่าจุ๊ปากพูด “เจ้าไม่โง่จริงๆ”

สีหน้าที่ถูกปกปิดอยู่ใต้หน้ากากขององค์เทพร่างทองพลันเคร่งเครียดขึ้นมา “เรื่องใหญ่หลายเรื่องที่เจ้าอนุมาน ยังคงพร่าเลือนไม่ชัดเจนหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าหุบยิ้ม “ยุ่งยากมาก ด่านโบราณแห่งนั้น หากข้าลงมือด้วยตัวเองก็อาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่จะช้าอย่างยิ่ง น้ำไกลไม่อาจช่วยดับไฟใกล้ ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยอยากพบผู้อำนวยการใหญ่สถานศึกษาที่อยู่ริมชายแดนภูเขาสุ้ยซานผู้นั้น ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ คราวนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอาจริงแล้ว ที่นั่นมีผู้มากพรสวรรค์หลายคนที่เหมือนจะเกิดมาพร้อมโชค การประลองที่กำแพงเมืองปราณกระบี่คราวนั้นก็เป็นแค่การประลองเล็กๆ ของพวกคนรุ่นเยาว์ไม่กี่คนเท่านั้น แต่นั่นก็ถือเป็นเงินก้อนใหญ่มากๆ แล้ว ดังนั้นข้าถึงได้ไปหาเจ้าคนคร่ำครึที่นาตยทวีปผู้นั้น เตือนเขาว่าหากไม่ระวังต้องตายอย่างแน่นอน แล้วยังต้องถูกคนด่านานร้อยปีพันปีด้วย”

องค์เทพร่างทองกำลังจะเปิดปากพูด

ซิ่วไฉเฒ่ากลับส่ายหน้า “เจตนารมณ์สวรรค์มิอาจแพร่งพราย สำนักหยินหยางสายของสกุลลู่แผ่นดินกลางนี้ ข้าไม่อาจเชื่อใจได้โดยเด็ดขาด ขาดก็แค่ไม่ได้เอาผลลัพธ์จากการอนุมานทั้งหมดของพวกเรามาย้อนลองฟังก็เท่านั้น”

องค์เทพร่างทองกล่าว “ทางฝั่งของป๋ายเจ๋อ ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้ได้ไปชนตอเข้า ทางฝั่งของเกาะนอกทะเล ผู้อำนวยการใหญ่สายของหย่าเซิ่งก็ยิ่งอนาถ ได้ยินมาว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้พบ ท่านสุดท้ายผู้นี้ก็ต้องกินน้ำแกงประตูปิดอยู่ดีไม่ใช่หรือ ผู้อำนวยการใหญ่ทั้งสามท่านของสถานศึกษากลับโชคร้ายขนาดนี้ ทำไม ลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตกันถึงขั้นนี้แล้วหรือ? อดีตพันธมิตรและคนกันเองกลับเลือกที่จะนิ่งดูดาย นั่งมองภูเขาและแม่น้ำพังทลายลงมา?”

ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจพลางลูบหนวด “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตาเฒ่าและหลี่เซิ่งคิดอย่างไรกันแน่”

องค์เทพร่างทองหัวเราะหยัน “เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนฉลาดไม่ใช่หรือไง?”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องใหญ่ที่แท้จริงไม่เคยอาศัยความฉลาด แต่อาศัย…ความโง่”

องค์เทพร่างทองกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่ประโยคเหลวไหลประโยคนี้ ถูกผิดและหลักการเหตุผลทั้งหมดบนโลกก็ล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”

ซิ่วไฉเฒ่ายังคงส่ายหน้า “ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่ประโยคเหลวไหลที่มีหลายนัยยะ เจ้าไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ฉลาด แต่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์ แต่ยืนอยู่แค่บนยอดเขา ความสุขความทุกข์และการพบพรากบนโลกใบนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าไหม? ก็เกี่ยวอยู่บ้าง แต่ก็สามารถมองเมินไม่ต้องไปคิดถึงได้ นี่เป็นเหตุให้ยากที่เจ้าจะเอาตัวไปวางไว้ในสถานการณ์แล้วคิดถึงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งได้อย่างแท้จริง แต่เจ้าต้องรู้ว่า ใต้หล้ามีคนมากมายขนาดนั้น เรื่องเล็กๆ หลายเรื่องสะสมรวมกัน ภูเขาสุ้ยซานร้อยลูกรวมกันแล้วก็ยังไม่สูงเท่ามัน ขอถามเจ้าหน่อย หากถึงเวลานั้นลมฟ้าลมฝนพลันมาเยือน พวกเราถึงเพิ่งจะค้นพบว่าเรือนหลังที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์แต่ละรุ่นของลัทธิขงจื๊อทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างขึ้นเพื่อให้ปวงประชาใต้หล้าได้หลบลมหลบฝนนั้น มองดูเหมือนใหญ่มาก มั่นคงมาก แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นแค่หอเรือนกลางอากาศหลังหนึ่งที่คิดจะล้มก็ล้ม ถึงเวลานั้นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ด้านในจะทำอย่างไร? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว สายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อพวกเรายืดหยุ่นทนทานมาก สามารถทุบเรือนหลังเก่าทิ้งแล้วสร้างกระท่อมหลังใหม่ที่ใหม่กว่า ใหญ่กว่า มั่นคงกว่าขึ้นมาได้ แต่เมื่อเรือนที่พังครืนลงมาของเจ้าล้มทับชาวบ้านมากมายให้ตายไป ทำให้คนมากมายพลัดที่นาคาที่อยู่ ความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญมากมายขนาดนั้นในชีวิตคน จะคิดคำนวณอย่างไร? อาศัยความรู้ของลัทธิพุทธมาสร้างความมั่นคงสบายใจให้กับตัวเองงั้นหรือ? ถึงอย่างไรข้าก็ทำไม่ได้”

องค์เทพร่างทองส่ายหน้า “อย่ามาถามข้า”

ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า ทอดสายตามองไปไกล “บัณฑิตทุกคนที่พอเดินไปยังตำแหน่งสูงแล้วก็ควรจะตั้งใจคิดได้แล้วว่ามโนธรรมคืออะไรกันแน่”

ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำ “เมื่อกินอยู่ไม่ทุกข์ยากจึงจะนึกสนใจมารยาทพิธีการ คำพูดที่ดีขนาดนี้ เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ฟัง? หรือว่าจะปล่อยให้ตาเฒ่ามรรคาจารย์เต๋าผู้นั้นหัวเราะเยาะลัทธิขงจื๊อของพวกเราปีแล้วปีเล่าไปอีกหมื่นปีอย่างนั้นหรือ?”

 องค์เทพร่างทองเคยเข้าร่วมฟังการโต้วาทีของสามลัทธิมาสองครั้ง เกี่ยวกับคำพูดประโยคนี้ของซิ่วไฉเฒ่า แท้จริงแล้วมันคือหัวข้อโต้วาทีที่น่าตื่นตกใจหัวข้อหนึ่ง แม้เขาจะถือว่าเป็นสหายของซิ่วไฉเฒ่าก็ยังรู้สึกว่าไม่ว่าจะเถียงอย่างไรก็เถียงไม่ชนะ แต่สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่ากลับยังสามารถพูดโน้มน้าวคนของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าได้ ในการโต้วาทีที่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งครั้งนั้นยังมีการโต้เถียงถึงหัวข้อที่เกี่ยวกับ ‘เมื่อมหามรรคาถูกทอดทิ้ง จึงต้องพูดถึงเมตตาธรรมคุณธรรม’ ซึ่งลูกศิษย์ของลัทธิเต๋าคนหนึ่งในป๋ายอวี้จิงนำมาถกปัญหากับซิ่วไฉเฒ่า นั่นก็เป็นการโต้วาทีที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง ผลกลับกลายเป็นว่าซิ่วไฉเฒ่าไม่เพียงแต่เอาชนะลูกศิษย์ลัทธิเต๋าที่มีความสามารถเลิศล้ำผู้นั้นมาได้ ยังถือโอกาสพูดโน้มน้าวให้ลูกศิษย์ลัทธิพุทธที่ชมศึกโต้วาทีอยู่ด้านข้างยอมศิโรราบไปด้วย

หลังจากที่ซิ่วไฉเฒ่าเอาชนะได้แล้ว ตำราทั้งหมดของลัทธิเต๋าที่มีอยู่ในใต้หล้าไพศาลต่างก็ต้องใช้พู่กันแต้มชาดแดงขีดประโยคหนึ่งที่เป็นของมรรคาจารย์เต๋าทิ้งไป! อีกทั้งขอแค่เป็นตำราลัทธิเต๋าที่จัดพิมพ์ในใต้หล้าไพศาลหลังจากนั้นก็ล้วนต้องตัดประโยคนี้รวมไปถึงบทความที่เกี่ยวข้องทิ้งไปด้วย

ประโยคนั้นก็คือ ‘เมื่อสูญเสียกฎของมรรคาจะแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของคุณธรรม เมื่อสูญเสียคุณภาพแห่งคุณธรรมจะแสดงให้เห็นถึงความล้ำค่าของเมตตาธรรม เมื่อสูญเสียความล้ำค่าของเมตตาธรรมจึงจะแสดงให้เห็นถึงความสัตย์จริงของความชอบธรรม เมื่อสูญเสียความสัตย์จริงของความชอบธรรมจึงต้องอาศัยรากฐานแห่งมรรยาท’

ศึกของสามลัทธิไม่ใช่แค่ว่าผู้มีพรสวรรค์สามคนไปนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงอย่างแท่นบูชาเทพเจ้าแล้วลับฝีปากกันเท่านั้น แต่อิทธิพลที่มันมีต่อโลกมนุษย์ของสามใต้หล้ากลับใหญ่หลวง ลึกล้ำยาวไกล อีกทั้งยังเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น

องค์เทพเกราะทองสัมผัสได้ถึงความผิดหวังของซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ข้างกายซึ่งนับเป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดก็ให้รู้สึกเห็นใจอีกฝ่าย จึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยที่ค่อนข้างผ่อนคลาย “ฉีจิ้งชุนไม่มีวิธีรับมือทิ้งไว้เบื้องหลังจริงๆ หรือ? เฉินผิงอันคือลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เขาช่วยเลือกให้เจ้าเชียวนะ”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “หากยื่นมือไปช่วยผิงอันน้อยทำลายสถานการณ์ครั้งนี้ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที ฉีจิ้งชุนไม่มีทางทำเช่นนี้ เพราะนั่นจะเท่ากับว่าแพ้ให้ชุยฉานตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว”

องค์เทพเกราะทองส่ายหน้า กล่าวอย่างระอาใจ “เพราะจิตใจคนที่อืดอาดชักช้าเช่นนี้ถึงทำให้เกิดการฝึกตนของพวกเจ้า เหตุใดฉีจิ้งชุนยังต้องหาเรื่องหงุดหงิดให้ตัวเองด้วย”

ซิ่วไฉเฒ่าพลันหัวเราะออกมา เขายืนเอามือไพล่หลัง ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด “ดังนั้นองค์เทพอย่างพวกเจ้าจึงไม่มีทางรู้ว่าเหตุใดโลกมนุษย์ถึงได้เละเทะขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็มีทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามถึงเพียงนี้ ขอแค่คนเงยหน้าก็จะมองเห็นได้ทันที บางทีคนส่วนใหญ่อาจแค่เงยหน้ามองครั้งเดียวแล้วก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตัวเองต่อไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังทำให้คนเพียงหยิบมือเกิดใจแสวงหา อยากจะนั่งลงถกปัญหา หรือไม่ก็ลุกขึ้นก้าวเดิน!”

ซิ่วไฉเฒ่าพลันชูมือชี้ไปยังม่านฟ้า “ข้าก้มหน้าลงมองโลกมนุษย์ ข้าปฏิบัติต่อโลกมนุษย์ด้วยความดี!”

เงียบงันไปครู่หนึ่ง

องค์เทพเกราะทองเอ่ย “ตาเฒ่าที่…เจ้าพูดถึง น่าจะไม่ได้ยินคำพูดอย่างห้าวเหิมนี้ของเจ้า”

ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ไอ้ข้าก็อุตส่าห์รวบรวมอารมณ์ฮึกเหิมเสียเต็มเปี่ยม!”

……

หอสูงสกุลฟ่านในนครน้ำบ่อ เวลานี้เรียกได้ว่าคนจากไปหอเรือนว่างเปล่า

หอเรือนที่สูงตระหง่านยิ่งใหญ่ที่สุดในนครน้ำบ่อแห่งนี้ เดิมทีคือหอชมทิวทัศน์ที่สกุลฟ่านภาคภูมิใจ ยามที่แขกมาเยือน สถานที่แห่งนี้จะต้องเป็นที่แรกที่ถูกเลือก

เพียงแต่ว่าตอนนี้สกุลฟ่านไม่เพียงแต่สั่งปิดหอเรือนแห่งนี้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา ยังถึงขนาดมีลางว่าจะปิดกิจการลงด้วย หน้าประตูหอเรือนเงียบสนิทไร้ผู้คน บนถนนนอกประตูก็ไม่มีภาพบรรยากาศอันคึกคักที่ผู้คนและรถม้าสัญจรไปมาขวักไขว่อีกแล้ว

วันนี้ฟ่านเหยี่ยนมายืนอยู่ด้านล่างหอ ในฐานะเจ้าของสกุลฟ่านที่แท้จริง หากเป็นเมื่อก่อน ในเมื่อเขาเป็นผู้ออกคำสั่งห้ามเข้าด้วยตัวเอง แน่นอนว่าไม่ต้องรักษากฎก็ได้ คิดจะขึ้นไปชมทิวทัศน์ของทะเลสาบบนหอเรือนตัวเอง จะนับเป็นอะไรได้

แต่ฟ่านเหยี่ยนกลับไม่กล้า

‘เจ้านครน้อยคนโง่’ แห่งนครน้ำบ่อที่หลอกคนของทะเลสาบซูเจี่ยนได้เกือบหมดผู้นี้ จนถึงตอนนี้สติก็ยังไม่กลับเข้าร่าง ราวกับว่าถูกคนใช้มีดแกะสลักวาดกรีดลงบนหัวใจอย่างสะเปะสะปะ เวลานี้แค่คิดถึงมีดเล่มนั้น โดยเฉพาะคนที่ถือมีดแกะสลักผู้นั้น หัวใจเขาก็จะเจ็บแปลบขึ้นมาทันที และแค่คิดถึงทั้งคนและทั้งมีด ฟ่านเหยี่ยนก็จะรู้สึกปวดหัวเหมือนหัวจะแตก

วันที่ชุยตงซานไปจากนครน้ำบ่อ

ตอนนั้นหิมะแรกยังไม่ตกลงมาบนทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ฟ่านเหยี่ยนกลับต้องเผชิญกับหิมะใหญ่ในชีวิตที่ทำให้เขาเกือบต้องแข็งตายไปแล้ว ต่อให้เป็นตอนนี้ ฟ่านเหยี่ยนก็ยังคงรู้สึกหนาวเสียดลึกไปถึงกระดูก

วันนั้นชุยตงซานเรียกฟ่านเหยี่ยนให้ไปหา

ก่อนหน้านี้ที่อยู่ชั้นบนของหอเรือน ฟ่านเหยี่ยนถูกพ่อแม่ตบหน้าไปหลายสิบที พอออกมาจากหอเรือน อยู่ในห้องลับของสกุลเหยี่ยน ฟ่านเหยี่ยนก็ให้บิดามารดาแท้ๆ ของตนผลัดกันตบหน้ากันเองต่อหน้าตน ใบหน้าของคนทั้งสองบวมฉึ่ง เลือดสดไหลนอง แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว

จากนั้นไม่กี่วันฟ่านเหยี่ยนก็ไป ‘เข้าพบ’ เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น

—–