สิ่งที่ไม่คาดคิดมีมากเกินไป ทำให้ซูจิ่นซีอดสงสัยไม่ได้ ทว่านางไม่รู้ว่าความสงสัยเริ่มจากที่ใด
ซูจิ่นซีจ้องมองจิ่วหรงอย่างแน่วแน่ เพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติจากใบหน้าของเขา
แท้จริงแล้ว นางไม่ได้สงสัยจิ่วหรง ทว่านางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น แลหวังว่าจิ่วหรงจะตอบคำถามนางได้
เมื่อจิ่วหรงเห็นความผิดปกติในดวงตาของซูจิ่นซี เขาก็เดาได้ทันทีว่าซูจิ่นซีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ซึ่งเขาได้คิดคำอธิบายไว้ก่อนแล้ว
จิ่วหรงเก็บเข็มเหมันต์เทวะในมือของซูจิ่นซีให้เรียบร้อย
“เป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่ต้องช่วยเจ้าตามมันกลับมา เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเรากลับมาที่ตำหนักเซียนหลิน เจ้ายังถามอาจารย์ว่า เหตุใดเข็มเหมันต์เทวะที่ตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งพันปีจึงปรากฏขึ้นในตำหนักเซียนหลินอีกครั้ง”
ซูจิ่นซีพยายามคิด ทว่ายังคิดไม่ออก ยิ่งคิดมากก็ยิ่งปวดหัว
จิ่วหรงถ่ายเทพลังภายในให้ซูจิ่นซีอีกครั้ง โดยให้ซูจิ่นซีนั่งพิงกับก้อนหินด้านข้าง
“หากคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่เพราะเหตุใดเข็มเหมันต์เทวะถึงมาอยู่กับเจ้า ทว่าสิ่งสำคัญคือ… สิ่งใดที่เป็นของเจ้า ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ยังเป็นของเจ้า และมันจะเป็นของเจ้าในที่สุด! ”
แม้จิ่วหรงจะพูดเช่นนี้กับซูจิ่นซี ทว่าแท้จริงแล้ว เขาต้องการพูดให้ตนเองฟัง
สิ่งของบางอย่าง หากโชคชะตาลิขิตให้เป็นของเจ้า ต่อให้ไกลสุดขอบฟ้า ในที่สุด มันจะกลับมาอยู่เคียงข้างเจ้า
อย่างไรก็ตาม ยังมีครึ่งประโยคหลังที่ว่า หากไม่ใช่ของของเจ้าแล้ว ต่อให้บีบบังคับ ทว่าจะมีประโยชน์อันใด?
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ผล็อยหลับไปในท่าพิงก้อนหิน
ยามเย็น แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงดั่งเปลวเพลิง แสงนั้นสาดส่องลงบนร่างของซูจิ่นซี ทำให้แก้มของนางสว่างสดใสงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
กลีบดอกไห่ถังหลากสีสันร่วงหล่นลงมาบนร่างของนาง มองดูแล้วงดงามจนไม่อาจละสายตาได้
จิ่วหรงเฝ้ามองอย่างเงียบงัน เขาเห็นดวงอาทิตย์ลาลับ และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เขามองกลีบดอกไห่ถังที่ร่วงหล่นบนร่างของซูจิ่นซีทีละชั้น นางถูกปกคลุมด้วยกลีบดอกไห่ถังอย่างสมบูรณ์
ผีเสื้อที่บินวนเวียนเกาะอยู่บนร่างของซูจิ่นซี กลายเป็นหิ่งห้อยขนาดยักษ์
เขาต้องการหยุดช่วงเวลานี้ไว้ เพื่อให้เขาสามารถมองซูจิ่นซีเช่นนี้ตลอดไป มองซูจิ่นซีจนแก่เฒ่า ตราบ… ชั่วฟ้าดินสลาย
ภายใต้แสงดาว จิ่วหรงหยิบขลุ่ยที่อยู่ข้างกายออกมาบรรเลงบทเพลง
เสียงขลุ่ยลากยาวราวกับเสียงคลื่นที่ซัดสาดภายในหุบเขา เป็นเสียงธรรมชาติที่แท้จริงของสามโลกเจ็ดดินแดน
ความรักชั่วนิรันดร์ ความเกลียดชัง การกลับชาติมาเกิด
ละเมิดพรหมลิขิต ต้องอยู่คนละฟากฟ้า
ดวงหน้าซีดขาวราวหิมะ
หันมองครั้งสุดท้าย
มิลืมสัญญามองหิมะโปรย
คำสาบานคงอยู่ในใจชั่วนิรันดร์
เฝ้ารอรักในสามภพอย่างอาวรณ์
ขอให้ทุกสิ่งเป็นดั่งเมฆหมอก
สายน้ำแห่งหุบเขาลืมรัก มิอาจแก้ไขความเศร้าหมอง
ผ่านครรลองหนทางยาวไกลสู่อดีต
ตามหาภพภูมิใหม่ในธรณี
จุติอีกครั้งตามชะตาฟ้า
จับมือร่วมกันฟันฝ่า
คมดาบกรีดผ่านดวงตา
ทิ้งรอยไว้มิอาจลบเลือน
แสงรวีสาดส่องรอยเลือดในอดีต
แสงจันทร์ทอประกายฝันยามหลับใหล
เพียงภพหน้าได้พบกับเจ้า
…
หลังจากนั้น จิ่วหรงก็พาซูจิ่นซีไปเยือนสถานที่หลายแห่ง
เขาพานางไปยังแท่นคำนับอาจารย์ในหุบเขาเทียนอี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรก และพาไปยังศาลากระบี่หลิงเจี้ยนเฟิง ซึ่งเป็นที่ที่จิ่วหรงเลือกกระบี่เล่มแรกให้เทพธิดา
พวกเขายังไปหนานไห่ ดินแดนสือฮวงจิ่ว ภูเขาฮวางซานแสนปี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาเคยฝ่าด่านเคราะห์ด้วยกัน
จนกระทั่งค่ำคืนที่แสงจันทร์สาดส่อง ทั้งสองจึงหยุดอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ซูจิ่นซีมองดูถนนอันเงียบสงบในเมืองเล็กๆ ที่คึกคักและมีชีวิตชีวา
“อาจารย์ พวกเราเคยมาเมืองนี้หรือไม่? ข้ามองแล้วรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ทว่าจำไม่ได้ว่ามาที่นี่เมื่อไร”
“อืม เคยมา! ”
“เคยมาจริงหรือ? ทว่า… เหตุใดข้าจึงจำไม่ได้แม้แต่น้อย! ”
แน่นอนว่านางจำไม่ได้
นานมาแล้ว ที่นี่คือแคว้นจิ้นโหลว
แคว้นที่ลึกลับอย่างมาก และไม่ติดต่อกับโลกภายนอก เส้นทางเดียวที่จะออกไปสู่โลกภายนอกได้ก็คือประตูเชียนจ้ง ประตูนี้อยู่ด้านล่างตำหนักฮว่างอินเสินซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาหลิงอวิ๋น
ได้ยินว่า เมื่อประตูเชียนจ้งปิดลง จะไม่สามารถเปิดได้อีกเลย
นอกจากนั้น ยังได้ยินมาว่า ประตูเชียนจ้งเคยปิดลงครั้งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ต้าโจว ตอนนั้น ประตูเชียนจ้งได้ปิดกั้นท่านอ๋องแคว้นฉู่ผู้ยิ่งใหญ่กับสตรีอันเป็นที่รักของเขา
ต่อมา ท่านอ๋องแห่งแคว้นฉู่ได้ทำการก่อสร้างเส้นทางขนาดใหญ่ซึ่งใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อขุดเส้นทางไปยังยอดเขาหลิงอวิ๋น และช่วยชีวิตสตรีผู้เป็นที่รักของเขา
ทว่า… ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นตำนาน ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ซูจิ่นซีฟังเรื่องเล่าเหล่านั้นของจิ่วหรงอย่างละเอียด และอดทอดสายตามองออกไปไม่ได้ นางมองไปจนถึงยอดเขาหลิงอวิ๋น
ราวกับภาพเหตุการณ์ที่ท่านอ๋องแห่งแคว้นฉู่พยายามช่วยเหลือสตรีอันเป็นที่รักนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าและแผ่นดิน ทั้งยังสามารถมองเห็นได้จนถึงทุกวันนี้
ทว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับการที่พวกเราเคยมาที่นี่หรือ? ”
“เมื่อหลายปีก่อน หรือก็คือปีที่แปดที่ท่านอ๋องแคว้นฉู่แห่งซีโจวและสตรีผู้เป็นที่รักของเขาถูกปิดกั้นโดยประตูเชียนจ้ง
วันนั้น ในเทศกาลซางเหยียนของแคว้นจิ้นโหลว ฮ่องเต้แคว้นฉู่มีรับสั่งให้คนเปิดประตูเชียนจ้ง
เพื่อให้ท่านอ๋องฉู่ได้พบสตรีอันเป็นที่รักบนถนนที่พลุกพล่าน เจ้าจึงปลอมตัวเป็นฮูหยินผู้หนึ่ง และพาสตรีผู้นั้นไปที่สะพานพรหมลิขิต เพื่อให้นางและอ๋องฉู่ได้ผูกด้ายแดงบนสะพานพรหมลิขิต”
“พูดเช่นนี้ หมายความว่าข้าเป็นแม่สื่อของพวกเขาหรือ? ”
ทว่าซูจิ่นซีไม่มีความสุขแม้แต่น้อย นางขมวดคิ้วมุ่นและมองไปยังสะพานพรหมลิขิตที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟ
“ทว่า ข้าจำไม่ได้จริงๆ ”
แน่นอนว่านางจำไม่ได้
เหตุการณ์นั้น เป็นเวลากว่าสองพันปีมาแล้ว
นั่นเป็นครั้งแรกที่นางกลายร่างจากดอกบัวใต้พระที่นั่งซีหวังมู่ไปเป็นมนุษย์ และเป็นครั้งแรกที่เขากลายร่างจากนกกระเรียนพิทักษ์สระบัวไปเป็นมนุษย์เช่นกัน
ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองลงไปที่เขาคุนหลุนเพื่อฝ่าด่านเคราะห์
ชาวเผ่าสวรรค์ล้วนต้องฝ่าด่านเคราะห์ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่าด่านเคราะห์จะถูกลืมเลือนหลังจากนั้น
ส่วนเหตุผลที่จิ่วหรงยังจำได้… เกรงว่าคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
วันนี้เป็นอีกครั้งที่มีเทศกาลซางเหยียน แม้แคว้นจิ้นโหลวจะไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ทว่าประเพณีที่สืบทอดจากสถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่
ขณะเดียวกัน ในเทศกาลซางเหยียน ผู้คนยังคงใช้ด้ายแดงซึ่งเป็นเส้นด้ายมงคล ผูกไว้เต็มสะพานพรหมลิขิต
ทำให้จากหัวสะพาน แทบมองไม่เห็นปลายอีกด้านของสะพาน
หญิงสาวยืนอยู่ทางขวา ชายหนุ่มยืนอยู่ทางซ้าย แต่ละคนยืนอยู่ตรงปลายอีกด้านของสะพาน
ชายหญิงที่ต้องการแต่งงาน สามารถมาที่นี่เพื่อเลือกเส้นด้าย เมื่อพันเส้นด้ายรอบมือแล้ว ก็เดินไปยังสุดปลายอีกด้านของสะพาน
หากคนที่อยู่ปลายสะพานจับด้ายเส้นเดียวกับเจ้า แสดงว่าเขามีพรหมลิขิตและโชคชะตาต้องกันกับเจ้า
แม้จะจำไม่ได้ว่าเกิดอันใดขึ้นในช่วงเวลาที่ฝ่าด่านเคราะห์ ทว่าประเพณีดึงด้ายแดงของสะพานพรหมลิขิตนั้น เพียงมองจากระยะไกล ซูจิ่นซีก็สามารถเข้าใจได้
ทั้งนางยังมองจนหัวใจเต้นแรง
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดอันใดอยู่ในใจ นางตกอยู่ในความเงียบ แก้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะหันศีรษะมองไปทางจิ่วหรงที่อยู่ด้านหลังด้วยท่าทางเขินอาย
จิ่วหรงเฝ้ามองแผ่นหลังของซูจิ่นซี เขาจะไม่เข้าใจความคิดในตอนนี้ของซูจิ่นซีได้อย่างไร?
เขาก้าวเท้าใหญ่สองก้าวเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีอย่างองอาจ
“ต้องการลองดูหรือไม่”
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นรัวจนแทบจะพุ่งออกมาจากลำคอ นางเม้มริมฝีปากแน่นและหันหน้าไปด้านข้าง ไม่กล้าพูดเพราะความเขินอาย
ไม่พูด หมายถึงยอมรับโดยปริยาย
จิ่วหรงจับมือซูจิ่นซี และเดินไปที่สะพานพรหมลิขิต
ลมพัดผ่านใบหู เส้นผมของพวกเขาปลิวไสวอย่างต่อเนื่อง… พลิ้วไหว ทว่าขณะที่ด้ายแดงกำลังพันกันนั้น ลมกลับพัดให้มันปลิวออกจากกัน
ซูจิ่นซีเดินตามหลังจิ่วหรง นางมองดูแผ่นหลังอันงดงามของเขาด้วยแววตาเสน่หา นางไม่รู้ว่าควรก้าวเท้าอย่างไร ทั้งหัวใจก็แทบหยุดนิ่ง
อาจารย์… ท่านจะพาตนเองไปดึงด้ายแดงบนสะพานพรหมลิขิตหรือ?