เล่มที่ 24 เล่มที่ 24 ตอนที่ 700 สะพานพรหมลิขิต

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สิ่งที่ไม่คาดคิดมีมากเกินไป ทำให้ซูจิ่นซีอดสงสัยไม่ได้ ทว่านางไม่รู้ว่าความสงสัยเริ่มจากที่ใด

ซูจิ่นซีจ้องมองจิ่วหรงอย่างแน่วแน่ เพื่อค้นหาสิ่งผิดปกติจากใบหน้าของเขา

แท้จริงแล้ว นางไม่ได้สงสัยจิ่วหรง ทว่านางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น แลหวังว่าจิ่วหรงจะตอบคำถามนางได้

เมื่อจิ่วหรงเห็นความผิดปกติในดวงตาของซูจิ่นซี เขาก็เดาได้ทันทีว่าซูจิ่นซีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ซึ่งเขาได้คิดคำอธิบายไว้ก่อนแล้ว

จิ่วหรงเก็บเข็มเหมันต์เทวะในมือของซูจิ่นซีให้เรียบร้อย

“เป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่ต้องช่วยเจ้าตามมันกลับมา เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเรากลับมาที่ตำหนักเซียนหลิน เจ้ายังถามอาจารย์ว่า เหตุใดเข็มเหมันต์เทวะที่ตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งพันปีจึงปรากฏขึ้นในตำหนักเซียนหลินอีกครั้ง”

ซูจิ่นซีพยายามคิด ทว่ายังคิดไม่ออก ยิ่งคิดมากก็ยิ่งปวดหัว

จิ่วหรงถ่ายเทพลังภายในให้ซูจิ่นซีอีกครั้ง โดยให้ซูจิ่นซีนั่งพิงกับก้อนหินด้านข้าง

“หากคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว สิ่งสำคัญไม่ใช่เพราะเหตุใดเข็มเหมันต์เทวะถึงมาอยู่กับเจ้า ทว่าสิ่งสำคัญคือ… สิ่งใดที่เป็นของเจ้า ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวก็ยังเป็นของเจ้า และมันจะเป็นของเจ้าในที่สุด! ”

แม้จิ่วหรงจะพูดเช่นนี้กับซูจิ่นซี ทว่าแท้จริงแล้ว เขาต้องการพูดให้ตนเองฟัง

สิ่งของบางอย่าง หากโชคชะตาลิขิตให้เป็นของเจ้า ต่อให้ไกลสุดขอบฟ้า ในที่สุด มันจะกลับมาอยู่เคียงข้างเจ้า

อย่างไรก็ตาม ยังมีครึ่งประโยคหลังที่ว่า หากไม่ใช่ของของเจ้าแล้ว ต่อให้บีบบังคับ ทว่าจะมีประโยชน์อันใด?

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ผล็อยหลับไปในท่าพิงก้อนหิน

ยามเย็น แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงดั่งเปลวเพลิง แสงนั้นสาดส่องลงบนร่างของซูจิ่นซี ทำให้แก้มของนางสว่างสดใสงดงามยิ่งขึ้นไปอีก

กลีบดอกไห่ถังหลากสีสันร่วงหล่นลงมาบนร่างของนาง มองดูแล้วงดงามจนไม่อาจละสายตาได้

จิ่วหรงเฝ้ามองอย่างเงียบงัน เขาเห็นดวงอาทิตย์ลาลับ และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

เขามองกลีบดอกไห่ถังที่ร่วงหล่นบนร่างของซูจิ่นซีทีละชั้น นางถูกปกคลุมด้วยกลีบดอกไห่ถังอย่างสมบูรณ์

ผีเสื้อที่บินวนเวียนเกาะอยู่บนร่างของซูจิ่นซี กลายเป็นหิ่งห้อยขนาดยักษ์

เขาต้องการหยุดช่วงเวลานี้ไว้ เพื่อให้เขาสามารถมองซูจิ่นซีเช่นนี้ตลอดไป มองซูจิ่นซีจนแก่เฒ่า ตราบ… ชั่วฟ้าดินสลาย

ภายใต้แสงดาว จิ่วหรงหยิบขลุ่ยที่อยู่ข้างกายออกมาบรรเลงบทเพลง

เสียงขลุ่ยลากยาวราวกับเสียงคลื่นที่ซัดสาดภายในหุบเขา เป็นเสียงธรรมชาติที่แท้จริงของสามโลกเจ็ดดินแดน

ความรักชั่วนิรันดร์ ความเกลียดชัง การกลับชาติมาเกิด

ละเมิดพรหมลิขิต ต้องอยู่คนละฟากฟ้า

ดวงหน้าซีดขาวราวหิมะ

หันมองครั้งสุดท้าย

มิลืมสัญญามองหิมะโปรย

คำสาบานคงอยู่ในใจชั่วนิรันดร์

เฝ้ารอรักในสามภพอย่างอาวรณ์

ขอให้ทุกสิ่งเป็นดั่งเมฆหมอก

สายน้ำแห่งหุบเขาลืมรัก มิอาจแก้ไขความเศร้าหมอง

ผ่านครรลองหนทางยาวไกลสู่อดีต

ตามหาภพภูมิใหม่ในธรณี

จุติอีกครั้งตามชะตาฟ้า

จับมือร่วมกันฟันฝ่า

คมดาบกรีดผ่านดวงตา

ทิ้งรอยไว้มิอาจลบเลือน

แสงรวีสาดส่องรอยเลือดในอดีต

แสงจันทร์ทอประกายฝันยามหลับใหล

เพียงภพหน้าได้พบกับเจ้า

หลังจากนั้น จิ่วหรงก็พาซูจิ่นซีไปเยือนสถานที่หลายแห่ง

เขาพานางไปยังแท่นคำนับอาจารย์ในหุบเขาเทียนอี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรก และพาไปยังศาลากระบี่หลิงเจี้ยนเฟิง ซึ่งเป็นที่ที่จิ่วหรงเลือกกระบี่เล่มแรกให้เทพธิดา

พวกเขายังไปหนานไห่ ดินแดนสือฮวงจิ่ว ภูเขาฮวางซานแสนปี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาเคยฝ่าด่านเคราะห์ด้วยกัน

จนกระทั่งค่ำคืนที่แสงจันทร์สาดส่อง ทั้งสองจึงหยุดอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง

ซูจิ่นซีมองดูถนนอันเงียบสงบในเมืองเล็กๆ ที่คึกคักและมีชีวิตชีวา

“อาจารย์ พวกเราเคยมาเมืองนี้หรือไม่? ข้ามองแล้วรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก ทว่าจำไม่ได้ว่ามาที่นี่เมื่อไร”

“อืม เคยมา! ”

“เคยมาจริงหรือ? ทว่า… เหตุใดข้าจึงจำไม่ได้แม้แต่น้อย! ”

แน่นอนว่านางจำไม่ได้

นานมาแล้ว ที่นี่คือแคว้นจิ้นโหลว

แคว้นที่ลึกลับอย่างมาก และไม่ติดต่อกับโลกภายนอก เส้นทางเดียวที่จะออกไปสู่โลกภายนอกได้ก็คือประตูเชียนจ้ง ประตูนี้อยู่ด้านล่างตำหนักฮว่างอินเสินซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาหลิงอวิ๋น

ได้ยินว่า เมื่อประตูเชียนจ้งปิดลง จะไม่สามารถเปิดได้อีกเลย

นอกจากนั้น ยังได้ยินมาว่า ประตูเชียนจ้งเคยปิดลงครั้งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ต้าโจว ตอนนั้น ประตูเชียนจ้งได้ปิดกั้นท่านอ๋องแคว้นฉู่ผู้ยิ่งใหญ่กับสตรีอันเป็นที่รักของเขา

ต่อมา ท่านอ๋องแห่งแคว้นฉู่ได้ทำการก่อสร้างเส้นทางขนาดใหญ่ซึ่งใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อขุดเส้นทางไปยังยอดเขาหลิงอวิ๋น และช่วยชีวิตสตรีผู้เป็นที่รักของเขา

ทว่า… ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นตำนาน ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

ซูจิ่นซีฟังเรื่องเล่าเหล่านั้นของจิ่วหรงอย่างละเอียด และอดทอดสายตามองออกไปไม่ได้ นางมองไปจนถึงยอดเขาหลิงอวิ๋น

ราวกับภาพเหตุการณ์ที่ท่านอ๋องแห่งแคว้นฉู่พยายามช่วยเหลือสตรีอันเป็นที่รักนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าและแผ่นดิน ทั้งยังสามารถมองเห็นได้จนถึงทุกวันนี้

ทว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับการที่พวกเราเคยมาที่นี่หรือ? ”

“เมื่อหลายปีก่อน หรือก็คือปีที่แปดที่ท่านอ๋องแคว้นฉู่แห่งซีโจวและสตรีผู้เป็นที่รักของเขาถูกปิดกั้นโดยประตูเชียนจ้ง

วันนั้น ในเทศกาลซางเหยียนของแคว้นจิ้นโหลว ฮ่องเต้แคว้นฉู่มีรับสั่งให้คนเปิดประตูเชียนจ้ง

เพื่อให้ท่านอ๋องฉู่ได้พบสตรีอันเป็นที่รักบนถนนที่พลุกพล่าน เจ้าจึงปลอมตัวเป็นฮูหยินผู้หนึ่ง และพาสตรีผู้นั้นไปที่สะพานพรหมลิขิต เพื่อให้นางและอ๋องฉู่ได้ผูกด้ายแดงบนสะพานพรหมลิขิต”

“พูดเช่นนี้ หมายความว่าข้าเป็นแม่สื่อของพวกเขาหรือ? ”

ทว่าซูจิ่นซีไม่มีความสุขแม้แต่น้อย นางขมวดคิ้วมุ่นและมองไปยังสะพานพรหมลิขิตที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟ

“ทว่า ข้าจำไม่ได้จริงๆ ”

แน่นอนว่านางจำไม่ได้

เหตุการณ์นั้น เป็นเวลากว่าสองพันปีมาแล้ว

นั่นเป็นครั้งแรกที่นางกลายร่างจากดอกบัวใต้พระที่นั่งซีหวังมู่ไปเป็นมนุษย์ และเป็นครั้งแรกที่เขากลายร่างจากนกกระเรียนพิทักษ์สระบัวไปเป็นมนุษย์เช่นกัน

ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองลงไปที่เขาคุนหลุนเพื่อฝ่าด่านเคราะห์

ชาวเผ่าสวรรค์ล้วนต้องฝ่าด่านเคราะห์ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่าด่านเคราะห์จะถูกลืมเลือนหลังจากนั้น

ส่วนเหตุผลที่จิ่วหรงยังจำได้… เกรงว่าคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้

วันนี้เป็นอีกครั้งที่มีเทศกาลซางเหยียน แม้แคว้นจิ้นโหลวจะไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ทว่าประเพณีที่สืบทอดจากสถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่

ขณะเดียวกัน ในเทศกาลซางเหยียน ผู้คนยังคงใช้ด้ายแดงซึ่งเป็นเส้นด้ายมงคล ผูกไว้เต็มสะพานพรหมลิขิต

ทำให้จากหัวสะพาน แทบมองไม่เห็นปลายอีกด้านของสะพาน

หญิงสาวยืนอยู่ทางขวา ชายหนุ่มยืนอยู่ทางซ้าย แต่ละคนยืนอยู่ตรงปลายอีกด้านของสะพาน

ชายหญิงที่ต้องการแต่งงาน สามารถมาที่นี่เพื่อเลือกเส้นด้าย เมื่อพันเส้นด้ายรอบมือแล้ว ก็เดินไปยังสุดปลายอีกด้านของสะพาน

หากคนที่อยู่ปลายสะพานจับด้ายเส้นเดียวกับเจ้า แสดงว่าเขามีพรหมลิขิตและโชคชะตาต้องกันกับเจ้า

แม้จะจำไม่ได้ว่าเกิดอันใดขึ้นในช่วงเวลาที่ฝ่าด่านเคราะห์ ทว่าประเพณีดึงด้ายแดงของสะพานพรหมลิขิตนั้น เพียงมองจากระยะไกล ซูจิ่นซีก็สามารถเข้าใจได้

ทั้งนางยังมองจนหัวใจเต้นแรง

ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดอันใดอยู่ในใจ นางตกอยู่ในความเงียบ แก้มค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะหันศีรษะมองไปทางจิ่วหรงที่อยู่ด้านหลังด้วยท่าทางเขินอาย

จิ่วหรงเฝ้ามองแผ่นหลังของซูจิ่นซี เขาจะไม่เข้าใจความคิดในตอนนี้ของซูจิ่นซีได้อย่างไร?

เขาก้าวเท้าใหญ่สองก้าวเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีอย่างองอาจ

“ต้องการลองดูหรือไม่”

หัวใจของซูจิ่นซีเต้นรัวจนแทบจะพุ่งออกมาจากลำคอ นางเม้มริมฝีปากแน่นและหันหน้าไปด้านข้าง ไม่กล้าพูดเพราะความเขินอาย

ไม่พูด หมายถึงยอมรับโดยปริยาย

จิ่วหรงจับมือซูจิ่นซี และเดินไปที่สะพานพรหมลิขิต

ลมพัดผ่านใบหู เส้นผมของพวกเขาปลิวไสวอย่างต่อเนื่อง… พลิ้วไหว ทว่าขณะที่ด้ายแดงกำลังพันกันนั้น ลมกลับพัดให้มันปลิวออกจากกัน

ซูจิ่นซีเดินตามหลังจิ่วหรง นางมองดูแผ่นหลังอันงดงามของเขาด้วยแววตาเสน่หา นางไม่รู้ว่าควรก้าวเท้าอย่างไร ทั้งหัวใจก็แทบหยุดนิ่ง

อาจารย์… ท่านจะพาตนเองไปดึงด้ายแดงบนสะพานพรหมลิขิตหรือ?