ดอกไห่ถังด้านหลังภูเขากำลังบานสะพรั่ง และกลีบดอกกำลังร่วงหล่น
จิ่วหรงจับมือซูจิ่นซีเดินผ่านโลกที่เต็มไปด้วยดอกไม้
ทั้งเหนือศีรษะและบริเวณโดยรอบล้วนเต็มไปด้วยกลีบดอกไห่ถังที่ปลิวไสว
ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้วที่นางกับอาจารย์ไม่ได้มาด้านหลังภูเขาเพื่อชมดอกไห่ถัง
ดูเหมือนว่าตอนที่จิ่นอีโหวยังมีชีวิตอยู่ นางได้รับคำสั่งให้ปกป้องเขา นับจากนั้น นางก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย
นานมากแล้วที่ไม่ได้มา เหมือนว่าต้นดอกไห่ถังด้านหลังภูเขาจะสูงขึ้น กลีบดอกดูงดงามมากกว่าเดิม และมีอีกหลายต้นที่เพิ่งปลูกใหม่
จิ่วหรงราวกับเห็นถึงข้อสงสัยของซูจิ่นซี จึงชี้ไปยังดอกไห่ถังสองสามต้นที่อยู่ไกลออกไป
“ต้นไม้เหล่านี้อาจารย์เพิ่งปลูก ต้นนี้หนานไห่เสินจวินประทานให้ ต้นนั้นซิงจุนแห่งเป่ยไห่ประทานให้ และต้นนี้อาจารย์ย้ายมาจากสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี”
“แคว้นหนานหลี? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
จิ่วหรงตระหนักได้ทันทีว่าเขาพลาดหลุดปากพูด
หากนับตามยุคสมัยซีโจว ยังไม่มีแคว้นหนานหลี
เขาจึงเปลี่ยนคำพูด “คือแคว้นหนานเยว่! ”
ซูจิ่นซีเคยได้ยินว่าแคว้นหนานเยว่เป็นแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ชายแดนของซีโจว ทว่านางไม่เคยไปที่นั่น
“อาจารย์ไปแคว้นหนานเยว่ตั้งแต่เมื่อใด? ”
ซูจิ่นซีช่างสงสัยเหมือนเด็ก นางถามและสงสัยทุกอย่าง เมื่อก่อนนางไม่เคยเป็นเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซูจิ่นซีจะถามอันใด จิ่วหรงก็ตอบซูจิ่นซีอย่างอดทนโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
“เพิ่งไปมาเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“แคว้นหนานเยว่น่าสนใจหรือไม่? ซีเอ๋อร์ก็อยากไปเช่นกัน หากคราวหน้าอาจารย์ไปอีก ท่านพาซีเอ๋อร์ไปด้วยได้หรือไม่? ”
“ตกลง! ”
…
จิ่วหรงยืนอยู่บนยอดเขาสูง ซูจิ่นซีเดินอยู่ท่ามกลางดอกไห่ถังหลากสีสัน นางส่งเสียงหัวเราะไม่หยุด แสงอาทิตย์สาดส่อง ช่างมีความสุขยิ่งนัก
จิ่วหรงจำไม่ได้ว่านานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ เขาเหม่อมองด้วยความหลงใหล แววตาของเขาทอดยาวออกไปราวกับไม่สามารถดึงกลับคืนมาได้อีก
ซูจิ่นซีถือกลีบดอกไห่ถังจำนวนหนึ่งและวิ่งไปยังข้างกายจิ่วหรง นางโรยกลีบดอกไห่ถังลงบนศีรษะของเขา
ท่ามกลางกลีบดอกไห่ถังหลากหลายสีสันที่กำลังร่วงหล่น บุรุษผู้นี้ยิ่งดูสง่างามราวกับเทพเซียน
จิ่วหรงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขามองดอกไห่ถังมากมายที่ร่วงหล่นลงมา ซูจิ่นซียืนยิ้มอยู่ไม่ไกล รอยยิ้มบนใบหน้าของนางสดใสยิ่งนัก ทั้งยังงดงามยิ่งกว่าดอกไม้เสียอีก
จิ่วหรงหรี่ตาลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินมาหาซูจิ่นซีและลูบผมของนางอย่างอ่อนโยน
ซูจิ่นซีอดหดคอไม่ได้ “อาจารย์ เมื่อครู่ท่านกำลังคิดสิ่งใด? ”
แววตาลึกซึ้งของจิ่วหรงมองเข้าไปในดวงตาสดใสและงดงามของซูจิ่นซี จากนั้นจึงโอบกอดซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขนของตนเอง
“อาจารย์กำลังคิดว่า มีวิธีใด… ที่สามารถทำให้เจ้าอยู่เคียงข้างอาจารย์ตลอดไป”
ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด หัวใจของนางสั่นไหว แววตาเผยความเจ็บปวดเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้… อาจารย์ไม่เคยพูดเช่นนี้กับนาง ความโปรดปรานอย่างกะทันหันนี้ ทำให้นางคาดไม่ถึง ทว่านางมีความสุขมาก
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา “ตลอดไปนั้นนานเพียงใดหรือ”
“จนถึงวันที่อาจารย์กลับสู่ความว่างเปล่า”
ในใจของซูจิ่นซีมีความสุข ทว่านางยังคงไม่พูดสิ่งใด และปล่อยให้จิ่วหรงโอบกอดนางอยู่เช่นนั้น
อาจารย์ไม่เคยกอดนางเช่นนี้มาก่อน
แม้ตอนที่นางยังเด็ก เขาจะกอดนางบ้างบางครั้ง ทว่าไม่ใช่เพราะความรู้สึกเช่นนี้
ช่วงหัวค่ำ ทั้งสองก่อกองไฟอยู่ข้างลำห้วยด้านหลังภูเขาเพื่อย่างปลา
จิ่วหรงจับปลา ล้างปลา และย่างปลาด้วยตนเอง ขณะที่ซูจิ่นซีนั่งอยู่ข้างกองไฟ สายตาของนางมองไปที่จิ่วหรง
ซูจิ่นซีพบว่าเมื่อนางฟื้นขึ้นมา อาจารย์ดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก
ในอดีต อาจารย์ไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้ ทั้งเขายังรักความสะอาดอย่างมาก
อาหารที่รับประทานนั้น หากไม่ได้ปรุงด้วยผู้เชี่ยวชาญของตำหนักเซียนหลิน แม้จะทำความสะอาดหลายครั้ง เขาก็จะไม่รับประทานเป็นอันขาด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกินปลาย่างด้านหลังภูเขา ทั้งเขายังลงมือทำมันเองอีกด้วย
จิ่วหรงย่างปลาเรียบร้อยแล้ว จึงแบ่งปลาครึ่งหนึ่งให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียื่นมือไปหยิบปลาขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าปลาที่เพิ่งย่างเสร็จจะร้อนถึงเพียงนี้ มันร้อนจนนางต้องชักมือกลับ
“ระวังหน่อย! ”
จิ่วหรงขมวดคิ้วและก้าวไปด้านหน้าเพื่อหยุดซูจิ่นซี ทว่าสายเกินไป มือของซูจิ่นซีถูกลวกจนกลายเป็นสีแดง
“ไม่ใช่เด็กแล้ว ยังไม่ระวังตัวอีก กินปลายังลวกมือตนเองได้”
จิ่วหรงยกมือดีดหน้าผากของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากพลางหดคอ ทว่าไม่พูดอันใด นางทำเพียงมองจิ่วหรงตรวจอาการบาดเจ็บของตน
แท้จริงแล้ว อาการบาดเจ็บนี้ไม่ได้มากมายอันใด เมื่อก่อนตอนที่นางทำอาหารให้อาจารย์ นางมักทำลวกตนเองเป็นประจำ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด วันนี้ได้เห็นอาจารย์เอาใจใส่นางเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ทำให้นางรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจเล็กน้อย
ส่วนลึกของหัวใจคาดหวังให้เวลาเดินช้าลง ช้าลง ช้าลงอีกนิด
ขณะที่จิ่งหรงรักษาบาดแผลให้ซูจิ่นซี แขนของเขาสัมผัสถูกนิ้วมือของซูจิ่นซีโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางอ่อนไหว หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น ทว่าซูจิ่นซีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เมื่อไม่มั่นใจในการคาดเดาของตนเอง ซูจิ่นซีจึงคว้าข้อมือของจิ่วหรงในตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัว
การจับข้อมือจิ่วหรงทำให้การคาดเดาที่อยู่ในใจแน่ชัดยิ่งขึ้น ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น
“อาจารย์ ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ? เหตุใดท่านจึงบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้? ท่านได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อใด? ”
ซูจิ่นซีพยายามคิดกลับไป ทว่าในความคิดของนางไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์แม้แต่น้อย
จิ่วหรงดึงมือกลับด้วยความประหลาดใจ และรักษาระยะห่างจากซูจิ่นซี เมื่อเผชิญกับความกังวลใจของซูจิ่นซี การแสดงออกบนใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยนอย่างมาก
“ไม่เป็นอันใด บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย”
“บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยหรือ? ” ซูจิ่นซีกล่าวเสียงแหลม
“จากอาการบาดเจ็บนี้ ตอนที่ได้รับบาดเจ็บ วิญญาณของอาจารย์เกือบแตกสลายไปแล้ว ท่านจะไม่เป็นอันใดได้อย่างไร? ”
จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางปลอบใจซูจิ่นซี “ไม่เป็นอันใด อาจารย์รู้ตัวเองดี! ”
“อาจารย์ ท่านห้ามปกปิดข้า ร่างกายของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร? ”
ตอนอยู่ที่โลกเขตแดน เพื่อพาซูจิ่นซีออกไป จึงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ทว่าคำพูดเช่นนี้ จิ่วหรงไม่มีทางพูดกับซูจิ่นซีเป็นอันขาด
ทั้งสองต่างชะงักไปชั่วครู่ จิ่วหรงยังคงนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด ซูจิ่นซีรู้ว่าเรื่องที่อาจารย์ไม่ต้องการพูด แม้นางจะบังคับอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
นางจึงนั่งลงตรวจชีพจรให้จิ่วหรงอย่างระมัดระวัง
จิ่วหรงรู้สึกอึดอัด เขาต้องการดึงมือออก ทว่าซูจิ่นซีกลับจับไว้แน่น
วิชาแพทย์ของจิ่วหรงนั้นไม่มีผู้ใดในโลกทัดเทียมได้ เขาเป็นคนจับชีพจรรักษาให้ผู้อื่น นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้อื่นตรวจชีพจรของเขา ทั้งยังอยู่ในลักษณะบีบบังคับอีกด้วย
คาดไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่ตรวจชีพจรให้เขาครั้งแรก… จะเป็นซูจิ่นซี
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของซูจิ่นซี ดวงตาของจิ่วหรงก็เริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ ทั้งยังไม่อาจละสายตาออกจากพวงแก้มของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีตรวจชีพจรอย่างละเอียด จากนั้นจึงนำเม็ดยาออกมาจากระบบถอนพิษ และป้อนเข้าไปในปากของจิ่วหรง ทั้งนางยังนำเข็มเหมันต์เทวะออกมา และสั่งให้จิ่วหรงถอดเสื้อผ้าออก
จิ่วหรงหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะทำตามที่นางสั่ง
ซูจิ่นซีฝังเข็มให้จิ่วหรงอย่างระมัดระวัง การกระทำทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นและจริงจังอย่างมาก
ซูจิ่นซีเป็นผู้ที่ทุ่มเทในการทำงาน ไม่เหมือนเทพธิดาคนก่อน ราวกับเป็นคนละคน ทว่าจิ่วหรงไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย
จนกระทั่งเข็มเงินเล่มสุดท้ายถูกดึงออก ซูจิ่นซีจึงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“อาการบาดเจ็บของอาจารย์รุนแรงยิ่งนัก แม้ข้าจะให้ท่านทานยารักษาและฝังเข็มให้แล้ว ทว่าบรรเทาได้เพียงชั่วคราว หากต้องการให้อาการดีขึ้น ยังต้องทานยารักษาอีกพักใหญ่ ต่อไปนี้อีกหลายปี อาจารย์ต้องอยู่ในหุบเขาเทียนอีเพื่อพักฟื้นรักษาอาการบาดเจ็บ ไม่อนุญาตให้ไปที่ใด”
“ตกลง! ”
จิ่วหรงตอบตกลงทันควัน
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีที่กำลังเก็บเข็มเหมันต์เทวะกลับค้นพบอันใดบางอย่าง นางหยุดชะงัก พลางมองเข็มเหมันต์เทวะในมือของตนอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“ข้าจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ ตอนที่ต่อสู้กับจอมมารบนภูเขาฮวางซานแสนปี เข็มเหมันต์เทวะได้ตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งพันปีโดยบังเอิญ เหตุใด… มันจึงอยู่ในมือข้าได้? ”