ตอนที่ 720: การตัดสินใจ
ในตอนนี้หัวหน้าตระกูลของตระกูลเจียงหยางก็ได้จากไปแล้ว เจี้ยนเฉินจึงได้กลายเป็นหัวหน้าตระกูล แม้แต่สมาชิกอาวุโสก็ยังเห็นด้วย ภายใต้การบัญชาของเจี้ยนเฉินนั้น คฤหาสน์เจียงหยางก็ถูกปิดและปฏิเสธที่จะรับแขกใด ๆ พวกเขากันคนของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่มาเพื่อแสดงความเสียใจไว้ด้านนอก ทำให้รอบ ๆ คฤหาสน์เต็มไปด้วยผู้คน ที่หน้าทางเข้าคฤหาสน์นั้นมีคนออกันอยู่กระจุกใหญ่จนแม้แต่น้ำยังยากที่จะไหลผ่านเข้ามาได้
แม้จะเป็นแบบนี้ พวกคนที่ถูกกันอยู่ด้านนอกก็ไม่กล้าที่จะไม่พอใจ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่มีอัจฉริยะที่อยู่ในตระกูลตอนนี้และตระกูลเจียงหยางยังเจอกับหายนะที่รุนแรงในวันนี้ ดังนั้นถึงพวกเขาจะทำตัวแปลก ๆ วันนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ภายในห้องโถงของคฤหาสน์เจียงหยาง มันเต็มไปด้วยผู้คน ผู้เฒ่าผู้แก่และสมาชิกของตระกูลทั้งหมดรวมกันอยู่ที่นี่ ต่อหน้าทุกคนนั้นมีเตียงหรูหราซึ่งเป็นที่ที่ไป๋หยุนเทียนและเจียงหยางป้านอนอยู่
เจี้ยนเฉินนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างข้างเตียง สายตาที่อ่อนแรงของเขาจ้องไปที่ร่างพ่อและแม่ของเขาที่ไร้ชีวิตและเขาดูเหมือนจะถูกสะกดไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
ที่ข้าง ๆ เจี้ยนเฉิน ใบหน้าที่ซีดขาวของป้าใหญ่และป้าสามของเจียนฉินเต็มไปด้วยน้ำตา พวกนางยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ และเศร้าโศก ในขณะที่ป้ารองของเจี้ยนเฉินก็ร้องให้จนตาบวมและแดงก่ำ
อีกด้านหนึ่ง เจียงหยางหู่นั่งอยู่ที่รถเข็นและจ้องไปยังคนทั้งสองที่อยู่บนเตียง เจียงหยางหู่คือคนที่ยังรักษาอาการสงบนิ่งอยู่เกี่ยวกับเรื่องการตายของเจียงหยางป้าและไป๋หยุนเทียนได้ อย่างไรก็ตาม แววตาของเขายังคงแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็เป็นทุกข์เศร้าเสียใจ บางทีก็รู้สึกสูญเสีย บางทีก็ห่อเหี่ยว บางครั้งก็หม่นหมอง บางครั้งก็สงบนิ่ง ในตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าเจียงหยางหู่คิดอะไรอยู่
แม้ว่าห้องใหญ่ที่หรูหรานั้นจะเต็มไปด้วยผู้คน แต่มันก็เงียบผิดปกติ บรรยากาศนั้นอึมครึมมาก
ข่าวเกี่ยวกับการตายของหัวหน้าตระกูลเจียงหยางและแม่ของเจียงหยางเซียงเทียนนั้นยังคงกระจายออกไป ในวันที่สอง ราชาของอาณาจักรเกอซุนมาถึงที่คฤหาสน์พร้อมกับผู้บังคับบัญชาขององครักษ์ที่ชื่อไป๋เต๋าพร้อมกับเซียนปฐพี
1 ชั่วยามถัดมา อาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตที่ชื่อคาเฟอร์ก็มาที่ตระกูลเจียงหยาง หลังจากนั้นผู้คนที่เป็นที่เคารพทั้งหลายในอาณาจักรเกอซุนก็มารวมกันที่เมืองลอร์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลเจียงหยางได้สร้างความสับสนวุ่นวายอย่างมาก ผู้คนต่างมาเพื่อยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งมาเพื่อแสดงความเสียใจ
อย่างไรก็ตาม ผู้คนเหล่านั้นถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในคฤหาสน์โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ พวกเขาเข้าไปในตระกูลไม่ได้ ในขณะที่เฉพาะราชาและอาจารย์ใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตระกูลเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต
“น้องข้า พี่ชายคนนี้จะล้างแค้นให้กับเจ้า ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ตราบใดที่พี่ยังมีชีวิตอยู่ พี่จะแก้แค้นให้เจ้าให้ได้” ไป๋เต๋าดูท่าทางโศกเศร้าเสียใจอย่างมากขณะมองไปที่ไป๋หยุนเทียนซึ่งนอนอยู่บนเตียง เขากำหมัดแน่นจนเล็บที่ไม่ได้แหลมคมอะไรจิกเข้าไปในฝ่ามือของเขาและทำให้เขาเลือดออก ในขณะเดียวกัน ความทรงจำเก่า ๆ ก็ผุดขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาที่เขาหนีมากับน้องสาวของเขาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
ในตอนนั้นเอง ไป๋เต๋าได้ตัดสินใจทันทีว่า ในอนาคตเขาจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา !
แค่พริบตาเดียว อีกหนึ่งวันก็ผ่านไป ในวันนั้น โหยวเยว่, ไป๋เหลียน, เจียเต๋อไท่, นูบิส, ไป๋ไฮ และหวงหลวน ทั้งหมดมาที่ตระกูลเจียงหยางจากกลุ่มทหารรับจ้างอัคนีที่ห่างไกลพร้อมกับเทียนมู่หลิงจากตระกูลเทียนมู่และหญิงชราที่เป็นเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 8
หญิงชรากวาดสายตามองมาที่คฤหาสน์ นางดูเหมือนว่ามองทะลุกำแพงได้และเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนในเขต นางถอนหายใจเบา ๆ ในใจแล้วคิด “ใครกันที่สั่งให้โจมตีเจี้ยนเฉินถึงกับต้องใช้เซียนผู้คุมกฎหลายคนเพื่อจัดการกับพ่อแม่ของเขาและทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้ ? ครั้งนี้หลิงเอ๋อไม่รีรอที่จะมาและได้สั่งให้ชายชราช่วยเฝ้ากลุ่มทหารรับจ้างอัคนีเอาไว้ ดูเหมือนว่าเจี้ยนเฉินคงจะสำคัญมากกว่าธรรมดาในใจของหลิงเอ๋อแล้ว อย่างไรก็ตาม ตระกูลเทียนมู่ได้ช่วยเจี้ยนเฉินไว้อย่างมากคราวนี้และข้าไม่คิดว่าเจี้ยนเฉินจะลืมมัน เรื่องเกี่ยวกับเหมืองทังสเตนคงจะง่ายที่จะจัดการมากขึ้นแล้วตอนนี้”
ชายชราที่หญิงชรานั้นเอ่ยถึงก็คือปู่ของเทียนมู่หลิงที่ชื่อจุน เขาเป็นเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 9 ซึ่งทรงพลังมากและเป็นสามีของท่านย่าของเทียนมู่หลิงซึ่งชื่อหวัง
หลังจากที่รู้เรื่องสถานการณ์เกี่ยวกับไป๋หยุนเทียนและเจียงหยางป้าแล้ว ไป๋เหลียนและโหยวเยว่ก็เสียใจอย่างมาก โดยเฉพาะไป๋เหลียน นางเป็นทุกข์จากความเศร้าเสียใจจนเป็นลมไป กับไป๋ไฮที่เป็นคนก่อตั้งตระกูลไป๋ เขาข่มความเกรี้ยวโกรธและประกาศออกมาว่าเขาจะฉีกพวกฆาตกรทั้งห้าคนในนั้นให้เป็นชิ้น ๆ ด้วยมือของเขาเอง ไป๋หยุนเทียนเป็นหนึ่งในลูกหลานไม่กี่คนที่เขาเหลืออยู่ การจากไปของนางจึงทำให้เขาโศกเศร้าใจเป็นอย่างมาก
ตระกูลเจียงหยางไม่ได้จัดงานศพที่ยิ่งใหญ่ให้กับเจียงหยางป้าและไป๋หยุนเทียน สมาชิกอาวุโสต้องการจะทำมัน แต่พวกเขาถูกหยุดไว้โดยเจี้ยนเฉินจึงทำให้พวกเขาหมดหนทาง
เจี้ยนเฉินอยู่ในห้องนั้นเป็นเวลา 3 วันและตอนนั้นเองจิตใจของเขาก็ฟื้นคืนจากความโกรธและความโศกเศร้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อนและเริ่มสงบขึ้น สามวันต่อมา ผู้คนส่วนใหญ่ออกไปจากห้องนั้นแล้ว มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่เหลืออยู่
เจี้ยนเฉินขยับเปลี่ยนท่าทางหลังจากที่เขาอยู่นิ่งเฉยมา 3 วัน เขาเดินไปที่เตียงนั้นทีละก้าวทีละก้าวและดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้พ่อและแม่ของเขา เขาพูดอย่างอ่อนโยน “ท่านแม่ ท่านพ่อ ข้าจะชุบชีวิตพวกท่านแน่นอน” สายตาของเจี้ยนเฉินแน่วแน่ เขารู้ว่ามีเพียงเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงที่ทรงพลังเท่านั้นที่จะมีพลังที่จะชุบชีวิตคนตายได้
การที่ได้ยินที่เจี้ยนเฉินพูดดังนั้น สายตาที่เข้าใจยากของเจียงหยางหู่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว มันถูกแทนที่ด้วยความสงบโดยไม่มีความเศร้าใจหรือความยินดี มันไม่แม้แต่จะแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกใด ๆ ทำให้มันดูเป็นความสงบที่น่ากลัว
“น้องข้า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วเพื่อท่านพ่อและท่านป้าสี่” เจียงหยางหู่พูดกับเจี้ยนเฉินเบา ๆ
เจี้ยนเฉินมองลึกลงไปที่ในตาของพี่ชาย เขาพยักหน้าแล้วพูด “พี่ข้า ไม่ต้องกังวลไป ข้าสาบานว่าข้าจะชุบชีวิตให้ท่านพ่อท่านแม่” ในตอนนั้น เจี้ยนเฉินตัดสินใจที่จะไปที่จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะให้บรรลุระดับ 6 ด้วยความแน่วแน่
เจี้ยนเฉินปลอบไป๋เหลียนที่โศกเศร้าเสียใจเล็กน้อยก่อนที่จะออกจากห้องไป เมื่อเขาไปถึงที่ห้องรับแขก เขาก็พบกับเทียนมู่หลิงและหญิงชราทันที อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยกับพวกเขาในตอนนี้ เขาออกไปจากห้องเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์หลังจากสนทนาได้เล็กน้อย
ที่ด้านนอก สายตาของเจี้ยนเฉินรวมและไปหยุดอยู่ที่ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีแดงที่อยู่ใกล้ใกล้ ชายทั้งสี่คนยืนข้าง ๆ กันพร้อมทั้งกอดอกและหลับตาอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะยืนอยู่อย่างปกติธรรมดา แต่พวกเขาก็ดูเหมือนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลก
ยามทุกคนของตระกูลเจียงหยางรู้ดีว่าคนสี่คนนี้แข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นแม้แต่คฤหาสน์เจียงหยางจะถูกปิด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไล่ชายเหล่านี้ออกไป ในตอนนั้น ผู้อาวุโสของบางตระกูลได้เข้าไปขอบคุณพวกเขาอย่างสุภาพ แต่ชายพวกนี้นิ่งเฉยมาก พวกเขาไม่ได้สนใจผู้อาวุโสที่มาแสดงความรู้สึกขอบคุณเลยและยังคงหลับตาอยู่
เจี้ยนเฉินจ้องมองและสำรวจไปที่ชายชุดแดงทั้งสี่ จากลักษณะภายนอกของคนทั้งสี่คนนี้แล้ว เขาก็พอเดาได้คร่าวคร่าวถ้าพวกนี้ไม่ได้ปรับตัวให้เหมือนกันเป๊ะ ก็คงเป็นแฝดสี่ที่หาพบได้ยากแน่
เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นใคร อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้ช่วยตระกูลเจียงหยางเอาไว้ตอนที่มีปัญหา ทำให้ตระกูลผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ซึ่งทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
ตอนที่เจี้ยนเฉินกำลังจะเข้าไปเพื่อที่จะขอบคุณคนทั้งสี่นั้น จู่ ๆ ตาของพวกเขาก็ลืมขึ้นมาและมองไปที่เจี้ยนเฉินพร้อม ๆ กัน พวกเขาไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ เลย
“เจี้ยนเฉิน พวกเรา 4 คนรอเจ้าจนถึงตอนนี้เพราะท่านหัวหน้านิกายมีข้อความฝากถึงเจ้า ราชาของตระกูลกิลลิกันได้ส่งมนุษย์ที่แข็งแกร่งหลายคนมาเพื่อต่อสู้กับเจ้า และท่านต้องการให้เจ้าระวังตัวมากขึ้น”
เจี้ยนเฉินได้ยินเสียงที่เย็นชาและไร้ซึ่งความรู้สึก นี่เป็นการส่งเสียงที่มีแต่เซียนผู้คุมกฎเท่านั้นที่จะใช้ได้ หลังจากที่พูดข้อความเหล่านั้นจบ ชายทั้งสี่ที่ดูเหมือนเชื่อมโยงกันด้วยวิญญาณก็ได้กลายเป็นลำแสงสีแดงและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาหายลับขอบฟ้าไปในพริบตา
ท่าทีของเจี้ยนเฉินตึงเครียด เขาจ้องไปที่ขอบฟ้าซึ่งชายทั้งสี่ได้หายไปด้วยนัยน์ตาที่สั่นไหวของเขา
“คนสี่คนนั้นเป็นใครกัน ? ใครคือหัวหน้านิกายที่พวกเขากล่าวถึง และทำไมเขาถึงรู้ว่าราชาของตระกูลกิลลิกันต้องการที่จะมาหาเรื่องข้า ? บางทีพวกเขาอาจรู้เรื่องพยัคฆ์ปีกเทวะด้วยหรือไม่ ? ” เจี้ยนเฉินคิดเกี่ยวกับคำถามนั้น ก่อนที่ภาพของท่านผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองทหารรับจ้างซึ่งก็คือเทียนเจี้ยนและท่านลุงเซี่ยผู้ลึกลับจะแวบเข้ามาในหัว อย่างไรก็ดี เขาก็ยังไม่แน่ใจ
สำหรับลุงเซี่ยนั้น เจี้ยนเฉินคิดมาก่อนแล้วว่าเขาคือเซียนผู้คุมกฎเพราะว่าเขาใช้ความสามารถของเซียนผู้คุมกฎ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจี้ยนเฉินได้เป็นเซียนผู้คุมกฎแล้ว เขาก็เริ่มไม่แน่ใจในความคิดนี้เพาะว่าเจี้ยนเฉินประเมินความแข็งแกร่งของลุงเซี่ยมาตลอด เจี้ยนเฉินไม่มั่นใจว่าจริงจริงแล้วลุงเซี่ยนั้นคือเซียนผู้คุมกฎหรือเหนือกว่านั้นกันแน่
ลุงเซี่ยนั้นยากที่จะหยั่งถึง ทั้ง ๆ ที่เขาก็ดูธรรมดา ๆ ต่อหน้าเจี้ยนเฉิน