บทที่ 2563 มรสุมงานวิวาห์ 4 (2) / บทที่ 2564 เป็นซ่างเสินรึ?!

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2563 มรสุมงานวิวาห์ 4 (2)

เธอช่วยเขาไม่ได้!

ไม่เพียงแต่ช่วยเขาไม่ได้เท่านั้น ยังรวมไปถึงลูกน้องเหล่านี้ที่จงรักภักดีต่อเขาด้วย!

เธอพลันดิ้นรนขึ้นมาอย่างไม่แยแสทุกสิ่งแล้ว ฝืนร้องตะโกนด้วยพลังทั้งหมด

“อย่าเข้าไปตายนะ!”

“อย่าเข้าไปตาย!”

“กลับมา!”

“อย่าเข้าไปตายนะ! ที่นั่นคือกับดัก”

จนปัญญาที่รอบข้างวุ่นวายเสมือนหม้อน้ำเดือด เธอทุ่มสุดพลังแล้ว เสียงที่ตะโกนออกมาก็ยังแผ่วหวิวน่าเวทนา ไม่มีใครได้ยินเลย! เธอทำได้เพียงเบิกตามองคนเหล่านั้นที่กำลังจะพุ่งเข้าไปยังเวทีที่ลุกไหม้นั้น…

‘เปรี้ยง!’ อสุนิบาตสายหนึ่งพลันผ่าลงมาจากฟากฟ้า! กระแสไฟฟ้าเจิดจ้าแยงตายิ่งกว่าแสงเพลิง พุ่งตรงเข้าสู่ใจกลางเวทีที่ลุกไหม้อยู่!

เสียงอสุนิบาตนั้นสะท้านฟ้าห้าสะเทือนดิน ราวกับจะระเบิดแก้วหูของทุกคน ทำให้คนทั้งหมดสั่นสะท้าน

ในขณะเดียวกัน คนที่กำลังจะโผเข้าไปยังแท่นเพลิงโสดาบันเหล่านั้น เพิ่งจะทะยานไปถึงเหนือเวทีก็คล้ายจะกระแทกโดนเขตแดนสายหนึ่งในอากาศ ถูกดีดสะท้อนกลับไป

ฝูงชนตกตะลึง

เกิดอะไรขึ้น?!

“รีบมองท้องฟ้าเร็ว!”

บางคนตะโกนขึ้นมา!

ฝูงชนเงยหน้ามองทันที จากนั้น ทุกคนต่างสูดลมหายใจเยียบเย็น!

สวรรค์! นี่มันอะไรกัน?!

บนท้องฟ้าไม่รู้ว่ามีเมฆาสีม่วงเจิดจ้ากลิ้งมารวมตัวกันตั้งแต่ตอนไหน แต่ละก้อนกองซ้อนกันดุจขุนเขา บดบังทั่วท้องนภาไว้ มีกระแสไฟฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ในเมฆาม่วงดุจอสรพิษ สายลมพลันโหมกรรโชกขึ้นมา พลังอันกล้าแกร่งท่วมท้นไปทั่วแผ่นดิน ทำให้สองขาของผู้คนอ่อนยวบอย่างช่วยไม่ได้

บางคนที่มีวรยุทธ์ค่อนข้างต่ำสั่นระริกไปทั้งตัวแล้ว คุกเข่าลงไปอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

นี่คือเมฆด่านเคราะห์!

มีคนกำลังจะฝ่าด่านเคราะห์!

เพียงแต่เมฆด่านเคราะห์ทั่วไปล้วนเป็นสีแดงหรือไม่ก็สีดำ ทว่าเมฆาด่านเคราะห์หนนี้กลับเป็นสีม่วงพร่างพราว ถึงขั้นที่เมฆาม่วงเหลือบแสงรุ้งพลายไว้ริมขอบด้วย ดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง จู่โจมประสาทสัมผัสของทุกคน

แน่นอน ด่านเคราะห์เช่นนี้ผู้คนที่นี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!

ผู้ใดกันที่มาฝ่าด่านเคราะห์เอาในยามคับขันเช่นนี้?!

“รูปสลักหยก! เป็นรูปสลักหยก!” ท่ามกลางความวุ่นวายมีคนตะโกนขึ้นมา

“โอ้สวรรค์ เป็นรูปสลักศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ด้วย! รูปสลักศักดิ์สิทธิ์กำลังฝ่าด่านเคราะห์!”

ในเวลาเดียวกันนี้ กระแสไฟฟ้าสายหนึ่งได้ผ่าลงมาอีกครั้ง เวทีที่ลุกไหม้อยู่นั้นพังถล่มจนเกิดเสียงกึกก้อง!

และเงาร่างชุดขาวสายหนึ่งถูกกระแสไฟฟ้าห่อหุ้มล่องลอยขึ้นไป เหินทะยานขึ้นไปในอากาศ

รูปสลักหยก! เป็นรูปสลักหยกจริงๆ ด้วย!

กระแสไฟฟ้าดั่งปราการ ครอบคลุมรูปสลักหยกเอาไว้ด้านใน

จากนั้นอัสนีด่านเคราะห์ก็ผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ผ่าลงบนร่างรูปสลักหยกชิ้นนั้น…

ผู้คนเบิกตามองแสงเรืองรองนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นบนร่างของรูปสลักหยก แสงเรืองรองนั้นราวกับดอกไม้ไฟที่ถูกปล่อยขึ้นสู่ฟากฟ้า ครอบคลุมอยู่รอบรูปสลักหยก ก่อเป็นแสงมงคลเจ็ดสี น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

ฝูงชนสงบลงแล้ว!

ไม่ว่าจะเป็นคนที่กำลังโจมตี คนที่กำลังต้านขวาง ล้วนยั้งมือโดยมิได้นัดหมาย เงยหน้ามองทุกอย่างบนท้องฟ้า

กู้ซีจิ่วก็กลั้นหายใจแล้วเช่นกัน มองรูปสลักหยกนั้นลอยขึ้นสู่นภา เห็นมันรับอัสนีด่านเคราะห์ถึงสี่สิบเก้าสาย…

มองเห็นอัสนีด่านเคราะห์สลายไป รูปสลักหยกชิ้นเดิมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ลุกขึ้นมาช้าๆ

รูปสลักหยกมีชีวิตแล้ว!

มีชีวิตแล้ว!

ท่ามกลางสายตาของฝูงชน รูปสลักหยกกลายเป็นบุรุษชุดขาวผู้หนึ่ง

อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ปลิวไสวท่ามกลางเมฆา ราวกับหิมะ ไม่ทราบว่าเสื้อคลุมสีขาวตัวนั้นสร้างขึ้นจากวัสดุใด เรียบลื่นดุจแพรต่วน ด้านบนปักลวดลายนูนเด่นแซมไว้ ดุจแสงเมฆาล่องลอย เรือนผมยาวดั่งม่านน้ำตก แผ่พลิ้วอยู่ด้านหลังเขา เครื่องหน้างดงามจนยากจะพรรณนาได้ เขายืนอยู่ท่ามกลางเมฆา รอบกายคล้ายมีแสงรุ้งโอบล้อมอยู่ เจิดจ้าแยงตาคน

เขาหลุบตามองเบื้องล่าง ราวกับเทพเจ้าจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่เหินร่อนสู่สูงเบื้องล่าง ทำให้คนเมินเฉยต่อรูปโฉมเขา รู้สึกเพียงอยากจะกราบสักการะเขา

ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนคุกเข่าลงไปจริงๆ

ในบรรดานี้รวมไปถึงทหารบางส่วนของอวิ๋นเยียนหลีด้วย…

ลมหายใจของกู้ซีจิ่วแทบจะขาดห้วงแล้วเช่นกัน คนผู้นี้คือตี้ฝูอีแน่นอน แต่รัศมีรอบกายเขาเหนือกว่าตี้ฝูอีมากนัก!

แกร่งกล้าจนทำให้เธอรู้สึกแปลกหน้าอยู่บ้าง กระทบจู่โจมจิตใจเธออีกครั้ง สิ่งที่คล้ายกับเขตแดนอันใดภายในสมองพังทลายลงทันที ความทรงจำนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมา เนืองนองท่วมท้น

บทที่ 2564 เป็นซ่างเสินรึ?!

‘ล่วงเกินพี่เทพบุตรแล้ว ท่านรูปโฉมงดงามปานนี้ต่อให้ล่อนจ้อนก็ยังคงโดดเด่นยิ่งนัก เอาเสื้อผ้าทั้งหมดของท่านมาให้ข้ายืมเสียเถอะ ถือว่าท่านได้ทำทาน เมตตาตามประสาเทพเซียน…’

‘เรื่องนี้เป็นการตกลงกันของแม่เจ้ากับข้า ไม่มีบุคคลที่สามรับรู้ ได้มีคู่หมั้นเช่นข้า เจ้าดีใจยิ่งนักสินะ?’

‘เจ้าเคยพูดไว้มิใช่หรือ ที่ยุคนั้นของพวกเจ้า เมื่อชายหญิงจะวิวาห์กันต้องมอบแหวนให้กัน หากว่าฝ่ายหญิงตกลงก็จะรับแหวนไว้สินะ? ขนาดกำลังพอดี เหมาะกับเจ้าที่สุด เจ้าไม่ได้ถอดออก นั่นยืนยันแล้วว่า ตกลงแต่งกับข้า ไมใช่หรือ?’

‘ข้าใส่ใจนะ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าอยากอยู่กับท่านนานๆ เราสองคนครองคู่กันไปชั่วกาลนาน…’

….

เหตุการณ์นับไม่ถ้วน ภาพฉากมากมายที่เคยฝังลึกอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ยามนี้ทุกฉากฉายชัดขึ้นมาแล้ว

เธอกับเขา เริ่มต้นจากคนที่รู้จักคุ้นเคย เคยขัดแย้ง เคยหวานชื่น เคยขมขื่น เคยเป็นตายไม่แปรผัน…

ความเจ็บปวดในยามที่เขาดับขันธ์ไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ยังแจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน เธอสิ้นหวังอย่างยิ่ง สลักคำว่า ‘เทียนฉางตี้จิ่ว’ ในตำหนักแก้วผลึกรอบแล้วรอบเล่าเสมือนบ้าคลั่ง เพียงเพื่อให้จดจำเขาได้…

ที่แท้เขาก็ใช้นามตี้ฝูอีมาโดยตลอด!

หวงถูเป็นเพียงนามหลังจากเขารับตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว…

ตี้ฝูอี! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย! หวงถู! เทพศักดิ์สิทธิ์! เสินเนี่ยนโม่…

เดิมทีพวกเขาก็เป็นคนเดียวกันอยู่แล้ว ล้วนเป็นเขาทั้งสิ้น!

ความทรงจำหวนคืนดุจธารสมุทรไหลหลาก ปั่นป่วนอยู่ในสมองเธอ เธอเงยหน้าจ้องเขา ที่ลอยอยู่กลางอากาศเขม็ง ร่างกายไหวสะท้านนิดๆ

ยินดีอย่างบ้าคลั่ง? โศกศัลย์อย่างบ้าคลั่ง? อารมณ์ถาโถมรุนแรงเกินไป เธอแยกแยะได้ไม่กระจ่างไปชั่วขณะ

เธอแค่มองไปที่เขา มองเขาโดยไม่กะพริบตา เกรงว่าถ้ากะพริบตาสักครั้ง เขาจะอันตรธานหายไปอีก ไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย

เธอคิดจะก้าวออกไปตามสัญชาตญาณ ทว่าจู๋ตู๋ชิงรั้งเธอกลับมาอย่างเงียบเชียบ กักไว้ข้างกาย มุมปากจู๋ตู๋ชิงหยักขึ้นเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังยิ้มอยู่ ทว่าแววตากลับเย็นเยียบ

เขาคาดไม่ถึงเลยว่าตี้ฝูอีจะตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่เพลิงลุกโหมเช่นนี้ ซ้ำยังฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จด้วย…

ซ…ซ่างเสิน! เป็นซ่างเสินรึ?!

ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนผู้นี้จะฝ่าด้านเคราะห์จากจินเซียนไปเป็นซ่างเสินโดยตรงเลย! ข้ามผ่านขั้นซ่างเซียนไป เขาทำได้ยังไง?!

แววตาจู๋ตู๋ชิงวูบไหวนิดๆ บังคับโอบกู้ซีจิ่วถอยร่นไปอย่างไร้สุ้มเสียง

เขาและกู้ซีจิ่วล้วนแปลงโฉมอยู่ ล้วนอยู่ในรูปลักษณ์ชาวบ้านสามัญ และเขาก็โอบรัดกู้ซีจิ่วไว้ด้วยท่วงท่าพิเศษยิ่ง ไม่คล้ายว่าฝ่ายหญิงไม่อยากเดินไปกับเขาเลย กลับดูเหมือนฝ่ายหญิงอิงแอบแนบซบเขาด้วยความรักสิเน่หา คนทั้งสองถอยร่นออกไปอย่างรักใคร่กันดี

คนอื่นเห็นท่าทางนี้ของพวกเขา ก็เพียงนึกอิจฉาเท่านั้น ไม่ได้นึกสงสัย

กู้ซีจิ่วร้อนรนนัก!

เธอย่อมไม่อยากจากไปในเวลานี้ ไม่อยากจากไปอย่างยิ่ง!

เธอยังไม่รู้เลยว่าเขาฟื้นความทรงจำได้หรือเปล่า?

ยังไม่ได้พบปะเขาเลย เธอปกป้องรูปสลักหยกของเขามาเนิ่นนานปานนี้ ปกป้องจนแทบจะสิ้นหวังแล้ว ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะได้เห็นเขาหวนฟื้นคืนมา ทว่าเธอกลับต้องจากไปเสียแล้ว!

แต่เธอควบคุมร่างกายไม่ได้…

วรยุทธ์ของเธอกับจู๋ตู๋ชิงห่างชั้นกันเกินไป แถมอีกฝ่ายยังรู้ถึงวิทยายุทธ์ของเธออย่างลึกซึ้งด้วย หลังจากเธอถูกสกัดจุดไว้ แม้กระทั่งแรงจะดิ้นรนก็ไม่มีแล้ว

เธอโซซัดโซเซไปตามย่างก้าวของจู๋ตู๋ชิง มองเขาอยู่ห่างไกลจากตนไปเรื่อยๆ อย่างสิ้นหวัง ไกลออกไปเรื่อยๆ…

ในบรรดาคนทั้งจัตุรัส อวิ๋นเยียนหลีตกตะลึงประหนึ่งโดนฟ้าผ่าที่สุด!

เขาไม่คิดเลยว่าทุกสิ่งที่เตรียมการอย่างรอบคอบรัดกุมในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เผาอีกฝ่ายให้ตายไม่ได้ ยังทำให้อีกฝ่ายฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์แข็งแรง ถึงขั้นที่ทะลวงขั้นไปไกลโขอีกด้วย!

แผนการที่เขาเตรียมไว้มากมาย ล้วนกลายเป็นเพียงฟองสบู่เช่นนี้…

เขาย่อมอารมณ์เสียยิ่งนัก เพียงแต่ขณะที่อารมณ์เสียอยู่ เขาก็ยังภาคภูมิใจอยู่บ้าง!