GGS:บทที่ 872 แค่เป็นธุระให้น่ะ

 

“ไม่ต้อง ฉันตื่นแล้ว” ทันทีที่หวังหลี่เตรียมจะพุ่งไปยังห้องซูจิ้งเพื่อปลุกเขาออกมาตามที่หวังจ้าวบอกเขาไว้เพื่อให้ซูจิ้งรีบไปพบกับเจียงถิงหยวนนั้น

เสียงของซูจิ้งได้ดังออกมาจากมุมทางเดินเชื่อม ไม่นานนักทั้งสองคนก็ได้เห็นซูจิ้งที่กำลังเดินออกมาโดยไม่มีท่าทีแยแสต่อสิ่งใด

“อาจิ้ง มาพอดีเลย นายไปรู้จักเจียงถิงหยวนได้ยังไงกัน” หวังจ้าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เรื่องมันยาวน่ะ เอาไว้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้ทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ขอฉันออกไปรับแขกก่อนนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสามจึงได้เดินไปยังห้องโถงด้วยกัน เมื่อไปถึง เจียงถิงหยวนเองเมื่อเห็นซูจิ้งก็ได้รีบลุกขึ้นยืนตัวตรงในทันทีที่เห็นเขา แล้วกล่าวทักทายด้วยเสียดังฟังชัดว่า “สวัสดีครับพี่จิ้ง”

หวังจ้าวถึงกับหันควับไปมองหน้าซูจิ้งในทันทีที่เห็นแบบนั้น เขานั้นรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างระหว่างสองคนนี้อย่างแน่นอน

จากน้ำเสียงที่ฟังเองก็เป็นความเคารพมากกว่านอบน้อมซะอีก ถึงแม้จะเห็นด้วยตาตัวเองแล้วแต่ก็ยากที่จะยอมรับไว้ได้

“นั่งลงได้ ไม่ต้องพิธีรีตรองหรอก” ซูจิ้งพูดออกมา

“ก็ได้ครับ” เจียงถิงหยวนเองถึงแม้จะรับปากแต่ก็ยังดูฝืนๆอยู่ดี

“คุณเจียงมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรหรือครับ” หวังจ้าวถามออกมา เขานั้นอยากจะฟังด้วยหูตัวเองจริงๆว่าเขามาด้วยเรื่องของพันธุ์ยาสูบรึเปล่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าต่อหน้าเจียงถิงหยวนผู้นี้ที่เคารพ แต่ลับหลังไม่รู้ว่าเขานั้นคิดอะไรอยุ่กันแน่

“พี่จิ้งเรียกฉันให้มาหาน่ะ ฉันก็แค่ทำตามแค่นั้นเอง” เจียงถิงหยวนได้พูดออกมา

“………………………” หลังจากเห็นท่าทางและฟังคำพูดของเจียงถิงหยวนแล้วว่าเขานั้นมาเพียงเพราะซูจิ้งบอกให้มา หวังจ้าวและหวังหลี่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีก

 

เจียงถิงหยวนนั้นเป็นที่นิยมอย่างมากกับสาวๆในเมืองหลวง แทบจะบอกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักเขาเลยก็ว่าได้ แล้วทำไมเขากลับทำท่าเหมือนเป็นน้องชายของซูจิ้งได้กัน

“พี่จ้าวและหลี่น้อย ปล่อยให้ฉันคุยธุระเป็นการส่วนตัวกับคุณเจียงได้รึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมา

“งั้น…มีอะไรก็บอกฉันแล้วกัน” หวังจ้าวพยักหน้ารับก่อนที่จะออกไปพร้อมหวังหลี่ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ไปไกลพอแล้ว เจียงถิงหยวนได้หันหน้ามามองซูจิ้งก่อนที่จะคุกเข่าลงมานั่งชันเข่าหนึ่งค้างในทันทีก่อนจะพูดออกมาว่า “นายท่าน”

 

ซูจิ้งนั้นเคยได้พบเหล่าผู้ที่ถูกลูกศรทั้งห้าของสแตนด์ของเจียงจือหลงควบคุมไว้เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ไป๋ฮิตู หลัวซือหลิน ตงเซีย ชิหยินฮ่าว ผู้ว่าการหู่ซิงหมิง และผู้แทนพรรคฯชิหยินเฮา

อย่างไรก็ตามตอนแรกนั้นเจียงจือหลงไม่ได้อยากจะยิงลูกศรไปยังเขาแต่เป็นเพื่อควบคุมพ่อของเขา

แต่เจียงถิงหยวนนั้นได้เผอิญมาเห็นเหตุการณ์จึงได้กระโดดเข้ามาขวางวิถีธนูอย่างกล้าหาญ ซึ่งเมื่อลูกธนูของเจียงจือหลงนั้นถูกยิงออกไปแล้วก็ไม่มีทางจะยั้งมือเอาไว้ได้

ยิ่งไปกว่านั้นผลจากลูกศรของสแตนด์ของเขานั้นคงทนถาวรไม่สามารถถอนผลของสแตนด์ไปได้จนกว่าจะตายจากกันไป

และด้วยเหตุที่ว่าเจียงถิงหยวนเป็ฯคนมีความสามารถดีเลิศ และมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุด ถ้ามองในระยะยาวแล้วก็ถือได้ว่าธนูที่เผลอใช้ออกไปนี้ก็ไม่ได้ไร้ค่าแต่อย่างใด

เพียงแต่ว่าเมื่อเกิดเหตุนี้แล้วเขาก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นแค่นั้นเอง

“ยืนขึ้นได้ ต่อจากนี้อย่าได้ทำท่านอบน้อมหรือเคารพต่อฉันแบบนี้อีกในอนาคต” ซูจิ้งพูดออกมา

“ได้ครับ” เจียงถิงหยวนรับคำและกลับมานั่งที่ของตัวเอง

 

“ผมจะให้คุณส่งข้อความต่อไปนี้ชนิดคำต่อคำให้หน่อย ฟังให้ดีก่อนก็ได้” ซูจิ้งสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นคำสั่งจริง นั่นทำให้เจียงถิงหยวนนั้นรับฟังอย่างตั้งใจและไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าประโยคพวกนี้หาใช่คำพูดแต่อย่างใด แต่เป็นคำสั่งที่ต้องการสั่งใครบางคน

เจียงถิงหยวนนั้นได้จำคำพูดของซูจิ้งอย่างขึ้นใจก่อนที่จะรีบออกไปในทันที หวังจ้าวเองเห็นดังนั้นก็ได้ถามออกมาว่า “คุยเสร็จแล้วหรอ”

“อืม ก็แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ลุงสี่ครับ ลุงโคตรเจ๋งไปเลย ลุงไปรู้จักเจียงถิงหยวนได้ยังกันครับ แถมเขายังเคารพคุณซะขนาดนั้นอีก”

หวังหลี่ได้ถามออกมาอย่างเลื่อมใส ต่อให้เขานั้นสามารถเดินไปมาได้อย่างเฉิดฉายในเมืองหลวงได้ง่ายดายแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถเทียบเจียงถิงหยวนได้อย่างแน่นอน

แต่กลับกัน ซูจิ้งเพียงมาถึงก็ได้รับความเคารพจากเจียงถิงหยวนจนต้องมากหาราวกับเป็นน้องชายที่เถิดทูนลูกพี่อย่างหมดหัวใจแบบนี้ หากเทียบกันแล้วสำหรับเขานั้นยังห่างชั้นนัก

ความรู้สึกของเขาที่มีต่อซูจิ้งในตอนนี้ก็คือซูจิ้งจะต้องเป็นคุณชายลับของตระกูลใหญ่ตระกูลไหนสักตระกูลที่เคยอยู่เมืองหลวงในตอนเด็กๆแล้วต้องระเห็ดไปอยู่เมืองจงหยุนอย่างแน่นอน

“ก็แค่เขานั้นติดหนี้ชีวิตฉันนิดหน่อยน่ะ เขาก็เลยค่อนข้างจะเคารพและนอบน้อมฉันแต่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ

 

คำพูดของซูจิ้งที่ต้องการฝากเจียงถิงหยวนไปบอกนั้นมีเป้าหมายอยู่สองที่

ที่แรก เจียงถิงหยวนได้ขับรถตรงไปยังบ้านตระกูลจ้าวและจอดรถหน้าประตูแบบกระชากเครื่อง เมื่อหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ประตูเห็นเขาก็ได้รีบแจ้งให้คนในบ้านทราบในทันที

หลังจากนั้นไม่นานจ้าวซือเฟิงได้ออกมาพบด้วยตัวเอง ทั้งจ้าวซือเฟิงและเจียงถิงหยวนนั้นต่างก็เป็นคุณชายแห่งเมืองหลวงรุ่นเดียวกัน พวกเขานั้นก็เคยพบกันเมื่อนานมาแล้ว

เอาจริงๆหากจะบอกว่าจ้าวซือเฟิงเป็นคุณชายรุ่นเดียวกันล่ะก็ ตัวเขานั้นคงเทียบอะไรกับเจียงถิงหยวนเลยสักน้อยนิด

“พี่เจียง เชิญเข้ามาก่อนสิครับ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ด้วยความยินดีครับ พี่จ้าว” เจียงถิงหยวนเองก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินตามจ้าวซือเฟิงเข้าไปในบ้าน

“พี่เจียงนี่ช่างเป็นคนหนุ่มที่เฉิดฉายจริงๆ” จ้าวซือเฟิงกล่าวยกยอออกมในขณะที่พาเจียงถิงหยวนเข้าไปในบ้านพร้อมรอยยิ้มประจบประแจง

“ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว ฉันขอพูดออกมาเลยดีกว่านะ” เจียงถิงหยวนนั้นได้หยุดก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“พี่จ้าว อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ พอดีฉันรับฝากข้อความจากใครบางคนมา แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าฉันแค่รับฝากมาจริงๆ ไม่ได้คิดร้ายกับพี่เลยแม้แต่น้อย”

“จากใครกัน” จ้าวซือเฟิงขมวดคิ้วและหรี่ตาลงไปเล็กน้อย  การที่คนระดับเจียงถิงหยวนต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้แสดงว่าคนๆนั้นสมควรจะไม่ธรรมดา

“ซูจิ้ง” เจียงถิงหยวนพูดออกมา

“ซูจิ้งงั้นเหรอ ซูจิ้งจากเมืองจงหยุนน่ะนะ” เมื่อได้นินชื่อนี้จ้าวซือเฟิงตกใจมากจนต้องถามย้ำออกมา

“ใช่” เจียงถิงหยวนพยักหน้ารับ

“พี่เจียงมีความสัมพันธ์แบบไหนกับซูจิ้งกัน” จ้าวซือเฟิงรู้สึกทำใจอยากจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ทำไมซูจิ้งถึงรู้จักเจียงถิงหยวนได้กัน

ต่อให้รู้จักกันจริงก็สมควรเป็นเจียงเถิงหยวนช่วยซูจิ้งไว้ไม่ใช่ความรู้สึกที่ว่าเจียงถิงหยวนเป็นหนี้บุญคุณซิ้งแบบนี้

“ในครั้งนี้ฉันมาเป็นคนส่งข่าวให้พี่จิ้งเขาเฉยๆน่ะ งั้นก็เอาให้รีบจบแล้วกันฉันจะได้ไปต่อ”

หลังจากได้ให้สภาพจริงจังของเจียงถิงหยวนแล้ว จ้าวซือเฟิงรู้สึกได้เลยว่ามืดแปดด้านในทันที ทำไมซูจิ้งถึงได้มีแบ็คใหญ่ขนาดนี้ได้กัน

จ้าวซือเฟิงเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ซูจิ้งฝากบอกอะไรมากัน”

“เรื่องอะไรผ่านไปแล้วก็ขอให้เลยผ่านไป คนจะเป็นหรือตายก็ช่าง อย่าได้ตามกัดไม่ปล่อยแบบนี้อีก

ยังไงซะตัวนายเองก็รู้ดีว่าใครถูกใครผิด ถ้าอยากจะจบเรื่องนี้จริงๆล่ะก็สำหรับฝั่งนายนั้นน่าจะจบไม่สวยล่ะนะ” เจียงถิงหยวนถ่ายทอดคำพูดของซูจิ้งออกมาทุกประโยค ทุกตัวอักษร

 

เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวซือเฟิงถึงกับตัวแข็งทื่อในทันที และใบหน้าของเขาเองก็เปลี่ยนไปอย่างหน้ากลัว

เขาเข้าใจความหมายของคำพูดของซูจิ้งที่ฝากมาในทันทีว่าต้องการจะสื่ออะไร ซูฉือ ต้องเป็นซูฉืออย่างแน่นอน

นอกจากนั้นแค่ข้อความนี้เพียงไม่กี่ประโยคแต่เต็มไปด้วยข้อมูลมหาศาล

อย่างแรกซูจิ้งรู้อยู่แล้วว่าซูฉือนั้นยังไม่ตาย ดีไม่ดีเขาเองเป็นคนจัดฉากให้เธอเสียดายซ้ำ

อย่างที่สอง ซูจิ้งที่ถือได้ว่าอยู่นอกสายตาของตระกูลจ้าวได้กระโดดเข้ามาร่วมลงด้วยตัวเอง

พร้อมทั้งประกาศเป็นศัตรุกับตระกูลจ้าวโดยไม่สนหน้าอินหน้าพรหมแต่อย่างใด นี่หมายความว่าเขานั้นไม่เคยเห็นตระกูลจ้าวอยู่ในสายตา

อย่างที่สาม ตระกูลจ้าวของเขานั้นตอนนี้กำลังตกเป็นข่าวอยู่

แต่เจียงถิงหยวนกับพูดออกมาได้ด้วยเหมือนรู้รายละเอียดแทบจะทั้งหมด ต่อให้เขานั้นเป็นแค่คนส่งข้อความ แต่การที่ทำให้เขาต้องมาส่งข้อความแบบนี้แสดงว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นสำหรับตระกูลจ้าวอีกต่อไป

จ้าวซือเฟิงในตอนนี้แทบอยากจะกระอักเลือดออกมาจากมุมปาก เขานั้นไม่สามารถเก็บความแค้นเคืองเอาไว้ในใจได้อีกต่อไป

เขานั้นที่ให้คนคอยติดตามซูจิ้งแต่ต้นนั้นเพียงแค่ต้องการสืบความลับทางธุรกิจของเขา แต่เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เขากลับต้องโดนขู่เข็ญและยอมรับไว้แต่โดยดีอย่างนี้น่ะเหรอ

“จ้าวซือเฟิง นายจะทำอะไรก็คิดดีๆก่อนนะ” เจียงถิงหยวนนั้นเมื่อเห็นสภาพจ้าวซือเฟิงในตอนนี้เขาเองก็ทำการเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดหยั่ง

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านาย..เจียงถิงหยวน จะยอมลดตัวมารับใช้คนอื่นแบบนี้ ช่างเป็นผุ้รับใช้ที่แข็งแกร่งจริงๆ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

อย่างไรก็ตามถึงแม้มันจะฟังดูน่าขันหรือประชดประชันก็ยากที่จะรู้ได้ แต่ที่แน่ๆในตอนนี้เขานั้นต้องเพ่งเล็งไปยังซูจิ้ง คุณชายสี่แห่งตระกูลหวัง คนที่ทำให้เจียงถิงหยวนกลายเป็นคนส่งข้อความแบบนี้ได้

พ่อของเจียงถิงหยวนนั้นเป็นถึงประธานศาลสูงสุดเลยนะ เขานั้นจะกล้าเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ยังไงกัน

 

“ไม่ต้องไปส่งนะ ฉันออกไปเองได้” พูดจบ เจียงถิงหยวนก็ได้หันกลับไปและเดินออกไปอย่างช้าๆโดยมีจ้าวซือเฟิงมองตามหลังไปติดๆโดยมีใบหน้าที่แสดงออกมาด้วยสีหน้าน่ารังเกียจ