ตอนที่ 12.5 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เฉินมู่ไป๋

5

พี่ชายเฉินที่ปกติแล้วจะพูดด้วยเสียงราบเรียบมาตลอด ตอนนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดน้ำเสียงถึงฟังดูซื่อตรงกว่าปกติ “การลักขโมยม้าเป็นเรื่องไม่สมควร เครื่องประดับแต่ละชิ้นในห่อผ้าของท่านมีค่ามากพอที่จะนำไปซื้อม้าได้หลายตัว”

อวี่ฉีสะอึกไปในทันที ก่อนจะค่อย ๆ ชี้นิ้วไปด้านนอกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “หุบปากของเจ้าไปเลย รีบไปดูลาดเลาให้ข้าเร็ว หากถูกผู้ใดจับได้ พวกเรามีหวังได้ตายกันหมดแน่”

ทว่าสิ่งแรกที่เธอเห็นหลังจากจูงม้าออกมาจากคอกสำเร็จ นั่นก็คือแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความไม่เห็นด้วยของเฉินมู่ไป๋

เธอเงียบไปสักพัก จึงจำต้องอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างอดทน เพื่อไม่ให้ถูกตราหน้าว่าเป็น ‘หัวขโมยตัวน้อยที่ไม่รู้จักละอาย’

“ในห่อผ้าของข้ามีแค่เครื่องประดับกับชุดสำหรับซักและผลัดเปลี่ยนเท่านั้น เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าไม่มีเงินติดตัวเลยสักอีแปะ แล้วจะให้เงินกับเจ้าของม้าได้อย่างไร?”

เฉินมู่ไป๋ยังคงหนักแน่น “เช่นนั้นท่านก็ควรทิ้งปิ่นปักผมสักอันไว้ที่นี่”

อวี่ฉีไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เธอทำเพียงเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วจ้องมองเขาอย่างขบขัน “นี่ข้าตบแต่งกับเจ้าแล้วงั้นหรือ? เจ้าถึงเข้ามายุ่งเรื่องของข้าได้ทุกอย่างถึงเพียงนี้”

เฉินมู่ไป๋รีบสงบปากสงบคำทันใด เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดถ้อยคำแบบนี้ออกมา ใบหูของเด็กหนุ่มเริ่มแดงก่ำ ส่วนริมฝีปากได้แต่อ้า ๆ หุบ ๆ อยู่อย่างนั้น ก่อนจะเบือนหน้าหนีก้มศีรษะลงกล่าวเสียงพึมพำ “เดิมทีการหยิบของผู้อื่นมาก็ต้องให้เงินแลกเปลี่ยนนี่ขอรับ”

อวี่ฉีมองคนซื่อตรงหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ สุดท้ายจึงได้แต่หักใจดึงปิ่นปักผมบนหัวของตนเองลงมาวางไว้ตรงหน้าคอกม้า แล้วค่อยหันกายเหยียบโกลนม้าเพื่อพลิกตัวขึ้นไปนั่งบนหลังของมันอย่างคล่องแคล่ว

ประสบการณ์จากหลากหลายภารกิจทำให้อวี่ฉีขี่ม้าจนชำนาญมานานแล้ว เธอกุมบังเหียนเอาไว้หลวม ๆ อย่างเหมาะสม ทว่าเมื่อเธอขี่เจ้าม้าสีดำตัวนี้ไปหลายก้าวแล้วกลับยังไม่เห็นเฉินมู่ไป๋ขึ้นมาบนหลังม้าเสียที

อวี่ฉีจึงกระตุกบังเหียน หันไปมองเขาด้วยความฉงน “เหตุใดจึงยังไม่ขึ้นมาอีกเล่า? เจ้ารออะไรอยู่?”

คนถูกถามเม้มริมฝีปากแน่นอยู่เนิ่นนาน กว่าจะกล่าวเสียงอ่อยออกมาด้วยใบหน้าแดงซ่านว่า “ข้าน้อย…ขี่ม้าไม่เป็น” 

อวี่ฉีแทบจะเอาหน้าทิ่มลงจากหลังม้า

ทางด้านเด็กหนุ่มร่างสูงผู้แข็งแรงในชุดสีดำเองก็ก้มหน้างุดลงพื้นจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้วเช่นกัน

“แล้วขับรถม้าเป็นหรือไม่?”

เธอเห็นอีกฝ่ายส่ายหัวก็ขี่ม้าอ้อมวนรอบตัวเขาอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า “ข้าก็แอบรู้สึกเช่นกันว่า ฝึกฝนสามปีมันยังไม่เพียงพอจริง ๆ ”

เฉินมู่ไป๋เบนหน้าหลบไปอีกทาง “สิ่งที่ข้าน้อยฝึกฝนมาคือวิธีการปกป้องสตรีผู้เป็นนาย ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญทักษะการขี่ม้าหรือขับรถม้าขอรับ” น้ำเสียงของเขายังคงเหมือนน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น แต่ไม่รู้ทำไมอวี่ฉีฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความน้อยใจอยู่ในนั้น

อวี่ฉีนึกสนุก จึงอาศัยข้อได้เปรียบที่ตนเองอยู่ในจุดสูงกว่าบนหลังม้าตัวใหญ่ เอื้อมมือไปดีดหน้าผากคนขี้น้อยใจรอบหนึ่ง แล้วกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ข้าให้เจ้าเลือกสองทาง อย่างแรกคือขึ้นมานั่งด้านหลังข้า จากนั้นเจ้าจะยึดอานเอาไว้หรือกอดเอวข้าก็เรื่องของเจ้า ทำอย่างไรก็ได้ อย่าให้ตนเองหล่นลงไปก็เป็นพอ ส่วนทางเลือกที่สอง…”

เธอยังไม่ทันพูดจบ ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยเสียงต่ำด้วยใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันควัน “ข้าน้อยเลือกทางที่สอง!”

อวี่ฉีหลุดขำพรืดออกมาแล้วกระตุกบังเหียนขี่ม้าเดินอ้อมตัวองครักษ์หนุ่มไปอีกฝั่งหนึ่งด้วยท่าทางไม่น่าไว้ใจ “เจ้ายังไม่ทันฟังว่าทางที่สองคืออะไรก็ด่วนตัดสินใจแล้วงั้นหรือ? เช่นนั้นอย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน” สิ้นเสียง โฉมงามน้อยก็ตบ ๆ ตรงตำแหน่งด้านหน้าตนเอง พร้อมกระตุกรอยยิ้มชั่วร้ายตรงมุมปาก “ขึ้นมาเถิด แม่นางมู่ไป๋ พี่ชายจะกอดเจ้าไว้เอง”

เฉินมู่ไป๋เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมปริปากใด ๆ ติ่งหูของเขานั้นค่อย ๆ แดงก่ำขึ้นมาเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ยอมเปิดปากเปล่งเสียงแผ่วเบาระดับที่ไม่ต่างกับยุงบิน “คุณหนู…” น้ำเสียงหมดหนทางนั้นไม่ต่างอะไรกับการโอดครวญเมื่อจนตรอก ทั้งยังแฝงไปด้วยความดื้อดึงไม่ยินยอมที่ยากจะสังเกตเอาไว้อีกด้วย

อวี่ฉีกลั้นขำไว้สุดฤทธิ์เพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา จากนั้นก็กระแอมครั้งหนึ่งด้วยท่าทีจริงจัง “ขึ้นมาบนม้าเถิด จะนั่งด้านหลังข้าก็ได้ ขืนยังมัวโอ้เอ้ อีกไม่นานฟ้าจะสางแล้วนะ” พูดจบก็ยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบโกลนม้าออกแล้วเบือนหน้าไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านล่าง

เฉินมู่ไป๋ก้มหัวก้าวไปเบื้องหน้า เขาไม่เหยียบโกลนข้างที่ว่างนั้น แต่อาศัยวิชาตัวเบากระโจนขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหลังของเธออย่างคล่องแคล่วแทน

อวี่ฉียกยิ้มออกมาครู่หนึ่ง ก่อนจะเหยียบโกลนม้ากลับเข้าที่เดิมโดยไม่เกรงใจเขาอีก “นั่งให้ดี ๆ หากร่วงตกลงไป ข้าไม่ช่วยเจ้าแน่” จบคำ เธอก็ใช้สองขาหนีบท้องม้าไว้มั่น กระตุกบังเหียนบังคับให้ม้ากลับตัวไปทางทิศตรงข้ามแล้ววิ่งเหยาะ ๆ มุ่งสู่ประตูเมืองทันที

ยามที่เข้าใกล้ประตูเมือง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างรับอรุณขึ้นมาพอดี นี่เป็นช่วงที่ทหารเฝ้าประตูเมืองจะสะลึมสะลือง่วงงุนมากกว่าช่วงเวลาอื่น อวี่ฉีจึงลอบอาศัยจังหวะนั้นขี่ม้าออกนอกเมืองไป

เธอถามคนด้านหลังโดยไม่หันหน้าไปมองว่า “มีสองทาง ต้องไปทางใด? ซ้ายหรือขวา?”

เฉินมู่ไป๋ครุ่นคิดได้ไม่นานก็ตอบว่า “ทางขวา”

หลังจากนั้นพวกเขาก็พบทางแยกอีกหลายทาง อวี่ฉีตรงไปตามทางที่เฉินมู่ไป๋บอกอย่างไม่ลังเลใด ๆ ผลคือผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ทิวทัศน์รอบด้านกลับยิ่งวิเวกวังเวงขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งถนนสัญจรก็เริ่มขรุขระขึ้นทุกที

ดังนั้นเมื่อมาถึงปากทางแยกอีกรอบ อวี่ฉีจึงกระตุกบังเหียนหยุดม้าอย่างชำนาญ แล้วหันกลับไปมองคนนำทางเฉพาะกิจ “มู่ไป๋ ทางที่เจ้าชี้นั่นจะมุ่งหน้าไปที่ใดกันแน่?”

คนถูกถามอึ้งไป “ชี้ทาง?”

มุมปากของอวี่ฉีกระตุกยิก ๆ “ข้าถามเจ้าว่าไปทางใด เจ้าก็กล่าวอย่างมั่นใจว่าทางซ้าย เดี๋ยวสักพักก็บอกทางขวา เจ้าคงไม่ได้พูดขึ้นมามั่ว ๆ ทั้งหมดหรอกนะ?”

เด็กหนุ่มไม่ตอบเธอ แต่กลับหลบสายตาหนีอย่างร้อนตัวแทน

เธอมองท่าทางนี้ปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าเด็กคนนี้ชี้ทางส่งเดช ในใจจึงรู้สึกยุ่งยากขึ้นมาฉับพลัน “ดีเหลือเกิน เป็นเพราะเจ้าแท้ ๆ มู่ไป๋ ตอนนี้พวกเราหลงทางกันแล้ว”

————————————

ยามตะวันลับฟ้า จันทราโผล่พ้นเหนือภูเขาทางทิศตะวันออก แสงตะวันถูกแทนที่ด้วยแสงจันทรายามค่ำคืน

หลังจากมัดเชือจูงม้าดำไว้รอบไม้หนาขนาดครึ่งตัวคน อวี่ฉีและเฉินมู่ไป๋ก็นำกิ่งไม้ที่หาได้จากละแวกนั้นมาก่อกองไฟจนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ ๆ แสงไฟวูบไหวส่องกระทบไปบนใบหน้าด้านข้างของเฉินมู่ไป๋

เขาคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้างกองไฟ กำลังใจจดใจจ่อกับไก่ป่าที่เพิ่งจับได้มาหมาด ๆ ขับเน้นให้ดวงตาที่เดิมทีมืดสนิทกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วให้เข้มยิ่งขึ้นกว่าที่เคย

อวี่ฉีทำเนียนขยับตัวเข้าไปใกล้องครักษ์เงาของตนเองอีกเล็กน้อย เฉินมู่ไป๋ที่รู้สึกได้ว่านายหญิงของเขากำลังเขยิบเข้ามาใกล้จึงหยุดมือที่ตั้งท่าจะชำแหละเครื่องในของไก่ป่าทันที ทว่าไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็ลงมือชำแหละต่อ

อวี่ฉีค่อย ๆ วางคางลงบนหัวเข่าอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะเอียงหน้าเขม้นมองเขาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา แสงไฟจากกองเพลิงเบื้องหน้าวูบไหวอยู่ในดวงตาของพวกเขา คนทั้งคู่กำลังนั่งอยู่ใต้แสงของจันทร์เสี้ยวซึ่งประดับอยู่บนฟากฟ้าสูงท่ามกลางหมู่ดาวน้อย ๆ ที่พร่างพราวอยู่เต็มนภาโดยไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงซ่า ๆ ของลมรัตติกาลพัดผ่านยอดไม้และเสียงกองไฟปะทุผสานกันเป็นบทเพลงขับกล่อมในค่ำคืนนี้เท่านั้น

ภายใต้แววตาที่ไม่คิดจะปกปิดความรู้สึกใด ๆ ของอวี่ฉี เฉินมู่ไป๋ชำแหละไก่ป่าช้าลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดมือลงในที่สุด เขาแหงนหน้ามองเธอ ในน้ำเสียงสงบนิ่งของเขาเจือความอ่อนใจเอาไว้ไม่น้อย “คุณหนู”

อวี่ฉียิ้มออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะยืดตัวนั่งหลังตรงแล้วเขยิบเข้าไปแนบชิดอีกฝ่าย จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วยืดตัววางมือสองข้างลงบนบ่าของชายหนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ สัมผัสได้ถึงไหล่ของเขาที่แข็งทื่ออยู่ก่อนแล้ว ผ้าเนื้อหยาบกระด้างที่เสียดสีอยู่ใต้ฝ่ามือ ไปจนถึงไออุ่นของร่างกายที่ผ่านมาถึงมือของเธอ

ระหว่างที่กำลังเข้าใกล้อีกฝ่ายจนแทบจะนับขนตาได้แล้วนั่นเอง เฉินมู่ไป๋ก็พลันหันหน้าหนีไปอีกทาง ติ่งหูของเขาแดงเถือกจนคล้ายจะมีเลือดหยดออกมาได้อยู่รอมร่อ เดิมทีองครักษ์หนุ่มคิดจะใช้สองมือปัดป้องร่างนุ่มนิ่มนี้ออกไป แต่ก็เกรงว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายจะเปื้อนเลือดเข้า จึงได้แต่ยื่นคอออกไปด้านข้างแทนอย่างกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด สภาพในตอนนี้หากมองจากไกล ๆ แล้วก็เหมือนกับเขาเป็นฝ่ายสวมกอดเธอแทนอย่างไรอย่างนั้น

อวี่ฉีหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกดเสียงลงต่ำบางเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “เจ้ากำลังคิดเรื่องไม่ดีอะไรอยู่ฮึ? คิดว่าข้าจะจูบเจ้างั้นหรือ?”

เฉินมู่ไป๋ผงะ เขาตั้งท่าจะถอยหนี แต่กลับถูกเธอกดบ่าทั้งสองข้างเอาไว้

อวี่ฉีจับจ้องเขาก่อนหัวเราะเสียงต่ำออกมา จากนั้นจึงหมุนตัวอย่างว่องไว แนบร่างติดกับตัวของชายหนุ่มพร้อมนั่งลงข้างกายอีกฝ่าย แล้วเอ่ยส่ง ๆ ว่า “ข้าหนาวแล้ว ขอยืมร่างเจ้ามากันลมสักหน่อยก็แล้วกัน”

ค่ำคืนในฤดูคิมหันต์ที่ร้อนระอุ ต่อให้อุณหภูมิต่ำสุดเพียงใดก็ยังถือว่าค่อนข้างร้อนอบอ้าวอยู่ดี ยิ่งอยู่ใกล้กองไฟที่กำลังคุกรุ่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง เฉินมู่ไป๋มองคุณหนูของตนอย่างสับสน แต่เขาก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรมากความ เพียงเอื้อมมือไปเก็บกิ่งไม้ที่ค่อนข้างหนามา แล้วใช้มีดสั้นปลอกเปลือกไม้นั้นออก ก่อนจะเสียบกิ่งไม้นั้นเข้าไปตรงก้นของไก่ป่าที่จับมา

อวี่ฉีใช้สองมือเท้าคางพร้อมมองเขาไปพลาง ทว่าคนถูกมองกลับไม่หันมามองเธอเลยสักแวบ เอาแต่ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการถอนขนส่วนท้องของไก่ป่าจนดูโล่งโกร๋นเป็นพิเศษ ท่าทางจริงจังราวกับพระผู้อาวุโสที่ฝึกวิชาจนบรรลุนิพพานแล้วก็ไม่ปาน

อวี่ฉีรอแล้วรอเล่า จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว เปิดปากทำลายความเงียบขึ้นก่อนว่า “ข้าไม่งามเท่าไก่ป่าตัวนี้หรือ?”

เฉินมู่ไป๋ไม่ตอบ เขากลับยิ่งจดจ่อเพ่งมองกองไฟตรงหน้ามากขึ้นไปอีก แต่ดูเหมือนว่าจะตั้งใจมองมากเกินไปสักหน่อย จนเห็นได้ชัดว่าพยายามเกินเหตุ

อวี่ฉีส่ายศีรษะน้อย ๆ เขม้นมองใบหน้าด้านข้างของเขาตาไม่กะพริบ ก่อนจะพึมพำขึ้นรัว ๆ ว่า “เฉินมู่ไป๋? มู่ไป๋? อาไป๋? เฉินเก้า? หมายเลขเก้า? เก้าน้อย? อาเก้า? เจ้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินข้า หรือว่าเจ้าไม่ได้ยินจริง ๆ กันแน่? เจ้าตกหลุมรักไก่ป่าตัวนี้ไปแล้วหรือไงกัน?”

ระหว่างที่อวี่ฉีพูดจ้อไม่หยุดนั้น สีหน้าของเฉินมู่ไป๋ก็เริ่มเปลี่ยนจากไม่ทุกข์ไม่ร้อน เป็นแสร้งตั้งอกตั้งใจถอนขนไก่ป่า แล้วตามมาด้วยสีหน้าอ่อนใจเจือความกระอักกระอ่วนตามลำดับ ทว่าเมื่อได้ยินอวี่ฉีถามประโยคสุดท้ายจบ เขาก็เม้มริมฝีปากเบา ๆ พร้อมปรากฏรอยยิ้มบางเบาวูบผ่านไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น

ในที่สุดก็ยิ้มได้เสียที ช่างเป็นคนที่เอาใจยากจริง ๆ อวี่ฉีถอนหายใจโล่งอก ขณะเดียวกันก็จงใจเอียงหน้าทำท่าทางตกใจแล้วยกมือชี้ไปด้านหลังของอีกฝ่าย “เจ้าดูนั่น เงาดำพวกนั้นมันคือสิ่งใดกัน?”

เฉินมู่ไป๋ตกตะลึง ด้วยความที่เป็นองครักษ์เงา ทำให้เขาหันไปมองพร้อมกุมมีดสั้นไว้ในมือแน่นตามจิตใต้สำนึก ส่วนอีกมือที่ว่างก็โอบไหล่ปกป้องเธอเอาไว้ โดยใช้ร่างกายของตนเองมาเป็นเกราะกำบังเภทภัย

อวี่ฉีถือโอกาสนี้ซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของอีกฝ่าย เอียงหัวหนุนไปบนบ่าของเฉินมู่ไป๋ แล้วคลอเคลียซอกคอราวกับเป็นลูกหมาตัวน้อย จากนั้นก็หลับตาพริ้มอย่างพึงพอใจ

“คุณหนู ไม่เห็นมีอะไรเลยขอรับ” บ่าของเขาเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยยามถูกเธอพิง แต่สายตาก็ยังคงสอดส่องไปรอบด้านอย่างไม่ประมาท ทว่ากลับไม่พบสิ่งใดที่น่าสงสัยเลยแม้แต่อย่างเดียว

ผ่านความเงียบงันชั่วครู่นี้ไป เสียงเกียจคร้านของผู้เป็นนายก็ดังแว่วอยู่ข้างหูของเขา ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอที่พ้นชายเสื้อ ใบหน้าของอวี่ฉีเจือรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็นเอาไว้ “อืม ข้าคงจะตาฝาดไปน่ะ”

ต่อให้จะเป็นคนที่มีความรู้สึกช้าแค่ไหน ก็ย่อมตระหนักได้ว่าเธอตั้งใจทำ เฉินมู่ไป๋หน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาก้มลงมองเธอ คิดอยากจะผลักโฉมงามในอ้อมแขนนี้ออก แต่ติดที่ว่าสองมือของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือด จึงทำได้เพียงใช้ข้อมือดันไหล่ร่างนุ่มนิ่มนั้นออกไปแทน “คุณหนู ท่านทำแบบนี้…” เขาเว้นช่วงไปเนิ่นนานถึงค่อยพูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างเชื่องช้า

“ไก่จะไหม้เอาได้นะขอรับ”

————————————————