เฉินมู่ไป๋
6
อวี่ฉีอดยกมุมปากขึ้นไม่ได้ แต่กลับยังคงหลับตานิ่งสนิทและพิงไหล่อีกฝ่ายต่อไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น
“คุณหนู?” เฉินมู่ไป๋อยากจะถอยไปข้างหลัง แต่เมื่อขยับตัว ร่างของเด็กสาวข้างกายก็อ่อนยวบเอนตามการเคลื่อนไหวของเขาราวกับร่างไร้กระดูก
เมื่อเห็นว่าเธอทำท่าจะเซล้มไปกองกับพื้น องครักษ์เงาหนุ่มก็รีบใช้แขนมากันร่างของเธอเอาไว้ หลังลังเลอยู่ชั่วขณะ เฉินมู่ไป๋ก็ตัดสินใจขยับตัวกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งโอบเธอเอาไว้ไม่ให้ขยับด้วยความอ่อนใจ ส่วนมืออีกข้างก็ค่อย ๆ พลิกไม้เสียบของไก่ป่าย่างตัวนั้นไปพร้อมกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว ในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ ขยับไม้ที่ย่างไก่ป่าจนสุกแล้วออกห่างจากกองไฟ พร้อมกล่าวเรียกคนข้างกายอยู่ด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณหนู ไก่ย่างสุกแล้วขอรับ”
อวี่ฉีไม่ขานรับ เอาแต่หลับตาแสร้งทำเป็นว่าหลับไปแล้ว
เฉินมู่ไป๋ก้มหน้ามองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปอีกทางอย่างรวดเร็ว “ท่านหลับสนิทแล้วหรือ?”
อวี่ฉียกมุมปากขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย พลางตอบเขาด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านสั้น ๆ ว่า “อืม”
เฉินมู่ไป๋ได้ยินก็มองไปไกลแสนไกลอย่างจนใจ
บนโลกนี้จะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่หนังหน้าหนาจนเทียบได้กับกำแพงเมือง เขาอุตส่าห์ไม่เปิดโปงนางแล้ว แต่นางก็ยังแสร้งหลับต่ออย่างไม่มียางอายใด ๆ
——————————————-
รุ่งสางวันต่อมา เมื่ออวี่ฉีตื่นก็พบว่าตนเองนอนเอาหัวหนุนห่อผ้าอยู่บนเสื้อคลุมตัวนอกของเฉินมู่ไป๋ ส่วนกองไฟด้านข้างนั้นมอดดับไปแล้ว เหลือเพียงควันสีเขียวครามที่ลอยขึ้นมาจาง ๆ เท่านั้น
เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะเห็นเงาร่างขององครักษ์ยืนเคียงคู่กับม้าสีดำจึงยิ้มออกมาทันที “อรุณสวัสดิ์ มู่ไป๋”
เด็กหนุ่มผมดำรูปร่างผอมสูงก้มศีรษะลงรายงานเธอด้วยท่าทางจริงจัง “เมื่อครู่ข้าน้อยไปสืบข่าวจากในหมู่บ้านทางฟากนั้นแล้ว หากเดินไปทางทิศตะวันออกต่ออีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงเมืองชิงสือแล้วขอรับ”
อวี่ฉีเลิกคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นยืน เธอเอี้ยวตัวไปเก็บเสื้อคลุมของเขากับห่อผ้าขึ้นมา “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด วันนี้เจ้าขี่ม้าก็แล้วกัน ส่วนข้าจะนั่งข้างหลังเจ้าเอง”
เฉินมู่ไป๋อึ้งงันไป “แต่ข้าน้อยขี่ม้าไม่เป็น”
อวี่ฉีหัวเราะ แล้วออกคำสั่งอย่างหนักแน่นว่า “ไม่เป็นก็ต้องเป็น ขึ้นมาซะ”
ภายใต้การบีบบังคับของนายหญิงใจร้าย องครักษ์เงาผู้ถูกบีบคั้นจึงได้แต่สองจิตสองใจชั่วครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจยอมพลิกตัวขึ้นไปบนหลังม้า
อวี่ฉีเอามือไพล่หลังแล้วเดินวนรอบเด็กหนุ่มกับม้าไปสองรอบ จากนั้นก็หรี่ตาพยักหน้ากล่าวว่า “ทำได้ไม่เลว” สิ้นเสียงก็เอียงศีรษะ ยิ้มจนคิ้วกับดวงตากลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ทำอย่างไรดีหนอ มู่ไป๋ของตระกูลเรากลายเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาดูดีเช่นนี้แล้วหรือเนี่ย ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน จนข้าแทบจะทนไม่ไหวเลยเชียว”
เด็กหนุ่มสะดุ้ง แล้วพลันก้มหน้าลงต่ำ สีแดงเถือกลามตั้งแต่ติ่งหูไปจนถึงลำคอ เขาได้แต่ตอบกลับไปว่า “คุณหนู ห้ามล้อเล่นแบบนี้อีกนะขอรับ”
อวี่ฉีได้ยินก็ค่อย ๆ เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า เปลี่ยนมาขมวดคิ้วน้อย ๆ เธอตีสีหน้าเป็นเชิงว่า ‘ข้าเจ็บปวดนะ’ แล้วเบนสายตาไปอีกทาง จากนั้นค่อยตัดพ้อต่อว่า “ชั่วชีวิตนี้ข้าสามารถเอ่ยคำพูดจริงใจออกมาได้ยากยิ่งนัก แต่เจ้ากลับคิดว่าข้ากำลังหยอกเจ้าเล่นงั้นหรือ?” สิ้นเสียงก็หันหน้าหนี ไม่ยอมขึ้นม้า ดึงดันจะเดินตรงไปทางทิศตะวันออกเพียงลำพัง
เฉินมู่ไป๋พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนรีบตัดสินใจกระตุกบังเหียน คิดจะหันหัวม้ากลับแล้วตามผู้เป็นนายไป ทว่าใครจะรู้ว่าเจ้าม้าดำที่เคยเชื่อฟังยามอวี่ฉีขี่กลับส่ายหัวอย่างไม่พอใจ แล้วยืนนิ่งเป็นเสาไม้อยู่ที่เดิม
องครักษ์หนุ่มมึนงงไปหมด ทว่าเมื่อเห็นเงาหลังสูงโปร่งของคุณหนูเดินไกลออกไปเรื่อย ๆ อยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาก็ได้แต่เร่งใช้ขาสองข้างหนีบท้องม้าเอาไว้แน่น แล้วพลันกระตุกบังเหียนอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้เจ้าม้าดำยอมขยับแล้วจริง ๆ แต่กลับเดินไปในจุดที่มีกิ่งไม้แน่นขนัด จนทำให้คนบนหลังมีโอกาสชนกับลำต้นของต้นไม้เอาได้ง่าย ๆ เฉินมู่ไป๋จำต้องก้มตัวลงต่ำแทบทุกครั้งที่ผ่านแมกไม้ กระนั้นผมดำที่เดิมเคยรวบอย่างเรียบง่ายคล่องตัวก็ถูกกิ่งไม้ครูดจนยุ่งเหยิง เส้นผมสีดำดั่งหมึกของเขาห้อยตกลงมาตรงข้างแก้มอย่างหมดรูป ส่วนกางเกงก็ถูไปกับลำต้นจนมอมแมมสกปรกไปหมด
อวี่ฉีเดินอยู่เบื้องหน้านานแล้วก็ยังไม่เห็นองครักษ์เงาของตนตามมาเสียที จึงทนไม่ไหว หยุดฝีเท้าลง เธอหันขวับไปมองด้วยความสงสัย เมื่อหันกลับไปก็เห็นเจ้าม้าดำกำลังแบกร่างเป้าหมายของเธอมุ่งตรงไปยังทางที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้หนาทึบ เห็นได้ชัดว่ามันต้องการจะเบียดร่างเขาให้ตกลงจากหลังของมัน
นี่ถือเป็นเรื่องปกติ ตอนที่เธอเรียนขี่ม้าครั้งแรกก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน ม้าเป็นสัตว์ที่ฉลาดมีสติปัญญา มันสามารถรับรู้ได้ว่าคนบนหลังของมันขี่ม้าเป็นหรือไม่ หากมันรู้ว่าคุณขี่ไม่เป็นมันจะพยายามเบียดร่างคุณให้ตกจากหลังของมัน หรือไม่ก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เพื่อรังแกหรือต่อต้านคุณทันที สรุปง่าย ๆ ก็คือมันไม่มีทางยอมเชื่อฟังคำพูดของคุณแน่
แม้จะรู้แบบนั้น ทว่าเมื่อเห็นพี่ชายเฉินผู้ทำหน้าตายมาตลอดต้องประสบปัญหาแบบนี้ อวี่ฉีก็อดขำไม่ได้จริงๆ ทว่าเธอก็แค่ขำเท่านั้น เพราะอย่างไรสุดท้ายเด็กสาวก็ยังคงหมุนตัวเดินกลับไปหาอีกฝ่ายอยู่ดี
——–——————————-
ในขณะที่เฉินมู่ไป๋ถูกกิ่งไม้เหนือหัวครูดจนทนไม่ไหวและคิดจะใช้กำลังภายในเตรียมโค่นต้นไม้ทิ้งนั้นเอง เชือกบังเหียนในมือก็ถูกคนแย่งไปกะทันหัน จากนั้นเจ้าม้าดำที่อยู่ใต้บั้นท้ายก็หยุดพยศในบัดดล
เด็กหนุ่มชะงัก เมื่อก้มลงมองด้วยความสงสัยก็เห็นใบหน้างดงามของเด็กสาวที่กำลังใช้มือขวาดึงบังเหียนเอาไว้ ส่วนมือข้างซ้ายก็กำลังลูบแผงคอม้าเบา ๆ นางกระตุกบังเหียนเพียงนิดเดียว เจ้าม้าดำตัวนั้นก็อ้อมออกมาจากต้นไม้ตามนางไปอย่างว่าง่ายเชื่อฟัง จนสุดท้ายก็กลับมายังทางราบได้อีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก เขาก็ก้มหน้าทำตัวราวกับเด็กน้อยที่ถูกผู้ใหญ่เห็นว่าทำความผิด เฉินมู่ไป๋มองแผ่นหลังบอบบางของอวี่ฉีแล้วร้องเรียกเสียงทุ้มต่ำครั้งหนึ่งว่า “คุณหนู”
“อย่ามาเรียกข้าว่าคุณหนู” อวี่ฉีแสร้งตีหน้าขรึมขึ้นมาทั้งที่ในใจกำลังกลั้นขำ “เจ้านั่งอยู่บนม้า ส่วนข้าก็จูงม้าให้เจ้า ข้าควรต้องเรียกเจ้าว่าคุณหนูสิถึงจะถูก”
หลังจากได้ยิน ลำคอของเฉินมู่ไป๋ก็แทบจะแดงลามไปถึงติ่งหูภายในชั่วอึดใจ
อวี่ฉีมองอย่างสนุกสนานจนพอใจแล้วก็หยุดฝีเท้าลง พลางเหล่ตามองคนบนหลังม้า “ดึงข้าขึ้นไป”
เฉินมู่ไป๋ขานรับเสียงต่ำ ก่อนจะยื่นมือมาดึงเธอขึ้นไปอย่างนุ่มนวล แล้วถอดเท้าออกจากโกลนม้าอย่างรู้หน้าที่
อวี่ฉีเหยียบโกลนม้า พันเชือกบังเหียนไว้ในมือหลายทบ แล้วกระตุกบังเหียนพร้อมใช้ขาสองข้างหนีบท้องม้าเอาไว้
เจ้าม้าดำวิ่งเหยาะ ๆ ไปอย่างว่าง่าย มันเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่ด้านหลังจำต้องยื่นมือมาจับเสื้อตรงข้างเอวของเธอเอาไว้
เมืองชิงสือคือจุดหมายปลายทางที่อวี่ฉีบังคับให้ม้ามุ่งหน้าไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นดินเหลืองตลบอบอวลไปในทุกย่างก้าวที่วิ่งผ่าน
ครึ่งชั่วยามถัดมา พวกเขาทั้งคู่ก็มาถึงเมืองชิงสือ
ทันทีที่เข้ามาในเมือง เฉินมู่ไป๋ก็พลิกตัวลงมาจูงเชือกบังเหียนเดินนำม้า แผ่นหลังผอมสูงเบื้องหน้านั้นทำให้คนมองรู้สึกวางใจเป็นพิเศษ ทว่าหากเข้าใจตัวตนของอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้จริง ๆ แล้ว ก็จะรู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้ก็เป็นแค่หนุ่มน้อยอายุสิบแปดคนหนึ่งที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่กลับหัวช้า สมองของอีกฝ่ายธรรมดามากพอ ๆ กับเด็กน้อยอายุแปดขวบเลยด้วยซ้ำไป
อวี่ฉีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง เริ่มไตร่ตรองว่าควรทำอย่างไรอีกฝ่ายถึงจะยินยอมก้าวผ่านบานประตูที่ขวางกั้นสถานะระหว่างนายบ่าวนี้มาได้ แล้วยอมรับตัวเธอเสียที
ความรู้สึกดีก็สะสมมาพอสมควรแล้ว หากเทียบกับเมื่อก่อน เข้าใกล้เพียงนิดเดียว เขาก็กระโดดหนีราวกับเป็นกระต่ายตื่นตูมแล้ว ทว่าตอนนี้ต่อให้จะแนบชิดบนหลังม้าตัวเดียวกัน เขาก็ไม่เกร็งเหมือนวันวานอีกต่อไป
ดังนั้นพูดง่าย ๆ ก็คือ สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเธอต้องข้ามไปให้ได้ยังคงเป็นความคิดแบ่งแยกชนชั้นในหัวของเขาที่คอยพร่ำบอกเสมอว่า ตนเป็นบ่าว ส่วนคุณหนูคือนายที่ตนไม่อาจล่วงเกินหรือดูหมิ่นได้
บางครั้งการที่คนเราเคร่งครัดในกฎระเบียบหรือรู้สถานะของตัวเองดีเกินเหตุ มันก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริง ๆ
ขณะที่อวี่ฉีกำลังหาวิธีขจัดความคิดนี้ออกไปจากหัวของของเขานั่นเอง ขนมเปี๊ยะสองชิ้นที่ยังมีควันร้อน ๆ ลอยกรุ่นก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเธอ อวี่ฉีชะงัก ก่อนจะก้มลงมองเฉินมู่ไป๋ “ให้ข้ารึ?”
เขาผงกหัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นความเอาใจใส่ที่หาดูได้ยากเจือไว้ราง ๆ อยู่ในแววตาดำสนิทคู่นั้น “เมื่อวานท่านไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน หากยังไม่หาอะไรรองท้องอีก ร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะขอรับ” การที่พี่ฃายเฉินต้องพูดยาวเหยียดทั้งที่ปกติเป็นคนพูดน้อยมาตลอดเช่นนี้ ทำเอาเจ้าตัวถึงกับหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
อวี่ฉีประหลาดใจ เธอรับขนมเปี๊ยะมาพลางมองผู้ให้ “เจ้าไปเอาเงินมาจากไหนกัน?”
เฉินมู่ไป๋จับจ้องมองเธออยู่ครู่สั้น ๆ ก็พลันหันหน้าหนี รีบก้มลงหมุนตัวไปจูงม้าเดินนำต่อ แล้วตอบเธอสั้น ๆ แต่ได้ใจความครบถ้วนว่า “เบี้ยประจำเดือน”
ถึงแม้จะเป็นองครักษ์เงาก็ใช่ว่าจะทำงานโดยไม่รับค่าตอบแทนเสียเมื่อไร เขายังคงได้ค่าตอบแทนทุกเดือน เพียงแต่คงไม่มีองครักษ์เงาคนไหนโง่เขลาถึงขั้นนำเงินส่วนตัวมาซื้ออาหารให้นายของตนแบบนี้ หนำซ้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะทวงคืนแต่อย่างใดด้วย
อวี่ฉีอดรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแทนเด็กคนนี้ขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ซื่อสัตย์ถึงขนาดนี้ก็ถูกคนอื่นรังแกเอาได้ง่าย ๆ น่ะสิ อี ลำพังแค่เธอเอาเครื่องประดับในห่อผ้ามาขาย เงินที่ได้มาก็ใช้ชั่วชีวิตนี้ไม่หมดแล้ว เขาไม่ได้เป็นเศรษฐีสูงยาวเข่าดีหน้าตาหมดจด เงินที่มีก็ไม่รู้เหลืออยู่เท่าไร ยังจะมาทำตัวเป็นคนจนใจกว้างอีก เงินที่เก็บสะสมมาด้วยความมัธยัสถ์ควรต้องคิดที่จะนำไปสู่ขอภรรยา ซื้อบ้านและที่ดินสิถึงจะถูก
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาตีความท่าทีเดือดร้อนของเธอเป็นอีกอย่าง
เด็กหนุ่มผมดำเอียงศีรษะมองเธอแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่หิวหรือขอรับ? หรือว่าไม่ชอบกิน? ท่านชอบกินอะไร ข้าน้อยจะไปซื้อมาให้”
อวี่ฉีฟังแล้วก็รีบส่ายศีรษะ ก้มหน้ากัดขนมเปี๊ยะไปคำหนึ่งทันที จากนั้นเธอก็เกือบจะสำลักเพราะมันแห้งเกินไป
ทว่าเมื่อถูกเขามองมาด้วยแววตาฉงนสงสัย สุดท้ายเธอก็พยายามกลืนขนมเปี๊ยะคำนั้นลงคอไปอย่างยากเย็นได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันแกล้งเอ่ยปากชม เขากลับถามขึ้นมาเสียก่อน “กลืนยากมากเลยหรือขอรับ?”
ถ้าให้เธอพูดว่ารสชาติแย่มากจริง ๆ เธอก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่ปากเสียบอกว่าไม่ดีทั้งที่คนเขาทำดีด้วย แต่จะให้บอกว่าอร่อย เธอก็พูดไม่ออก อวี่ฉีเงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา แล้วแบ่งขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่งให้อีกฝ่าย “วันนี้เจ้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยสินะ เดี๋ยวก็หิวโซหรอก”
อวี่ฉีกล่าวจบก็พลิกตัวลงจากหลังม้า แล้วจูงมันไปมัดไว้กับต้นไม้ จากนั้นก็ลากเฉินมู่ไป๋ไปนั่งในร้านน้ำชาร้านหนึ่งในละแวกนี้ เรียกให้คนนำน้ำชามาสองจอก
เฉินมู่ไป๋เติบโตในจวนอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุห้าขวบ ถึงแม้จะอยู่ในสถานะองครักษ์เงา ทว่าเขาก็ยังถูกตามใจมากกว่าเด็กบ้านอื่นทั่วไป ด้วยเหตุนี้เขาก็น่าจะกลืนขนมเปี๊ยะชิ้นนี้ไม่ลงเช่นเดียวกัน
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ รอจนอีกฝ่ายกลืนขนมเปี๊ยะคำนั้นลงคอไปไม่ทันไร เฉินมู่ไป๋ก็แทบจะยกน้ำชาดื่มตามไปติด ๆ จนพร่องลงไปกว่าครึ่งค่อนจอก
เฉินมู่ไป๋เพิ่งจะวางจอกชาลงไป ก็เห็นนิ้วมือเนียนขาวของอวี่ฉีประคองจอกชาดินเผาเนื้อหยาบเอาไว้ เธอกำลังยิ้มตาหยีจ้องมองมาทางตน เขาจึงเผลอขยับลูกกระเดือกขึ้นลงโดยไม่รู้ตัว หลังจากกลืนน้ำชาที่ยังเหลือค้างอยู่ในปากลงคอดังอึกไปแล้ว เขาก็เปิดปากทั้งยังรักษาสีหน้าไร้อารมณ์ไว้ได้ “มีอะไรหรือขอรับ?”
อวี่ฉีจิบชาคำหนึ่งด้วยท่าทางสง่างาม ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้าน “ไม่มีอะไร แค่จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเจ้าช่างดีต่อข้าเหลือเกิน”
ถึงประโยคนี้ที่ไม่นับว่าเป็นคำชม ทว่าก็ทำให้ติ่งหูของพี่ชายเฉินที่แสนจะหน้าบางท่านนี้แดงเรื่อขึ้นมาในทันทีหลังจากได้ยิน ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเขาก็คือการปฏิเสธ “ไม่นี่ขอรับ”
อวี่ฉีมองเขาด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ไม่งั้นหรือ? เงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงควรต้องเก็บเอาไว้สู่ขอภรรยาสิถึงจะถูก แต่ไม่ว่าจะเป็นขนมไส้สับปะรดกับขนมฝูหลิงในวันก่อน หรือขนมเปี๊ยะของวันนี้ เจ้าต่างก็ซื้อมาให้ข้ากินโดยที่ข้าไม่ได้เอ่ยปากขอ ทั้งยังไม่มาขอเงินคืนจากข้าด้วย ทำแบบนี้จะไม่เป็นอะไรจริง ๆ หรือ?” เธอเลียริมฝีปากแดงสดของตนเองอย่างมีเลศนัย จับจ้องมองเขาพลางเอ่ยต่อว่า “หรือจะบอกว่า ที่เจ้าเลี้ยงดูข้าในยามนี้นั้นเป็นเพราะเจ้าเห็นข้าเป็นภรรยาไปเสียแล้วงั้นหรือ”
————————————————–