ตอนที่ 12.7 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เฉินมู่ไป๋

7

ยามนี้พี่ชายเฉินหูแดงจนแทบจะมีเลือดหยดลงมาได้แล้ว เขารีบร้อนเอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความร้อนรน “ไม่ขอรับ…ไม่ใช่…เงินแค่ไม่กี่อีแปะ มันไม่ได้มากถึงเพียงนั้น…”

“เงินไม่กี่อีแปะถือว่าไม่เยอะงั้นรึ มู่ไป๋ของพวกข้านี่ช่างใจกว้างเสียจริง” อวี่ฉีหรี่ตาลงพลางใช้นิ้วมือเรียวยาวเนียนขาวลูบไล้ไปบนขอบจอกชาโดยไม่รู้ตัว “เพียงแต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความใจกว้างของเจ้านั้นมากเกินกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวทั่วไปแล้ว? เช่นตอนที่ข้าบอกให้เจ้าพาข้าหนี เจ้าก็ไม่เคยขอแม้กระทั่งเบี้ยประจำเดือนหลังจากหนีไปกับข้า คงไม่ได้เรียกว่าใจกว้างแล้วกระมัง? นี่มันเป็นการทุ่มเททำให้ข้าโดยไม่อิดออดหรือเสียใจใด ๆ เสียมากกว่า”

ใบหน้าของเฉินมู่ไป๋แดงก่ำตั้งแต่คอลามมาถึงใบหู ดูไม่ต่างอะไรกับปูที่ย่างจนสุกแล้ว เขาอดกลั้นอยู่นานสองนานถึงค่อยเค้นคำพูดออกมาคำหนึ่งอย่างช้า ๆ ได้ “ขอโทษ”

อวี่ฉีได้ยินเขากล่าวเช่นนี้แล้วก็แทบจะทำจอกน้ำชาในมือหกราดลงไปบนโต๊ะ

เธอลองนึกทุกความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะแสดงออกมาแล้ว แต่กลับไม่คิดว่าเขาจะขอโทษเธอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ อวี่ฉีจึงเบิกตาโตขึ้นมามองเขาอย่างงงงวยทันที “เหตุใดเจ้าจึงขอโทษข้า?”

ทว่าพริบตาที่เพิ่งจะถามออกไป เธอก็พลันเข้าใจความนัยของคำขอโทษนั้น

เขากำลังขอโทษเธอที่ล้ำเส้นความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวนี้อยู่ เฉินมู่ไป๋รู้สึกว่าตนเองทำเกินหน้าที่จึงแสดงท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวออกมา

นี่เขาคิดว่าการที่ดีกับเธอนั้นถือเป็นการล้ำเส้นงั้นหรือ?

จะซื่อเกินไปแล้ว ซื่อสัตย์จนทำให้เธออดรู้สึกปวดใจขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้

ก่อนที่เฉินมู่ไป๋จะทันได้อ้าปากพูด อวี่ฉีก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียก่อน โดยจงใจบิดเบือนความหมายในคำพูดเมื่อครู่ของเด็กหนุ่ม “เจ้าดีกับข้า มันเป็นเรื่องที่ควรต้องขอโทษข้าด้วยหรือ? ในสายตาของเจ้า ข้ามันดูแย่มากจนถึงขั้นเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณของผู้อื่นอย่างนั้นรึ?”

องครักษ์หนุ่มชะงักไป ก่อนรีบส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด

อวี่ฉีค่อย ๆ วางจอกน้ำชาในมือลง จ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายเขม็งแล้วกดเสียงเคร่งขรึม “ต่อไปอย่าขอโทษข้าอีก และห้ามมองคำพูดของข้าเป็นเรื่องหยอกล้อด้วย การที่เอ่ยคำพูดอย่างจริงใจออกไป แต่กลับถูกมองว่าเป็นเพียงคำหยอกล้อนั้น ต่อให้เป็นข้าเองก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ดี”

เฉินมู่ไป๋สับสน ยังไม่ทันได้ไตร่ตรองความหมายแฝงในคำพูดทั้งหมดนี้ของเธอก็เผลอหลุดคำคำหนึ่งออกมาอีกครั้ง “ขอโทษ”

อวี่ฉีอดยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจไม่ได้ “ไฉนเจ้าถึงชอบพูดขอโทษนักนะ?”

องครักษ์หนุ่มที่ไม่รู้จะพูดความในใจออกมาอย่างไรดีเลยนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน สุดท้ายก็ได้แต่ค่อย ๆ ก้มหน้าลง

เธอมองเขาอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “หากเจ้ารู้สึกผิดจริง ๆ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องทำเรื่องหนึ่งให้ข้า”

เขาพยักหน้า แต่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

“ก็เป็นแบบนี้เสียทุกครั้ง ยังไม่ทันรู้เลยว่าเป็นเรื่องอะไร เจ้าก็ตอบตกลงแล้ว หากเจ้าทำไม่ได้ขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า?”

“ข้าน้อยจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ”

อวี่ฉีจึงยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนโน้มกายไปข้างหน้าเล็กน้อย “เจ้าพูดเองนะ ต่อให้เจ้าจะทำไม่ได้ เจ้าก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถของเจ้า”

เขาผงกหัว แต่ยังไม่ตอบอะไรเช่นเคย

“เช่นนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องลองชอบข้าดู ต่อให้เจ้าจะทำไม่ได้ ก็ต้องลองพยายามทำให้ถึงที่สุด” อวี่ฉียิ้มราวกับจิ้งจอกสาวที่จำแลงกายมา มุมปากที่โค้งขึ้นนั้นดูชั่วร้ายยิ่งนัก “จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ยากเย็นเลยใช่หรือไม่? เจ้าเองก็เคยยอมรับนี่ว่าข้าเป็นสตรีงาม”

ในตอนที่เธอพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว เขาก็มีสีหน้าตกตะลึงขึ้นมาอย่างแท้จริง ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจับจ้องมองเธอนิ่งราวกับประสบพบเจออะไรที่น่าพิศวง

อวี่ฉียิ้มน้อย ๆ “ได้หรือไม่? ลองพยายามเพื่อข้าดูสักครั้งเป็นอย่างไร?”

เฉินมู่ไป๋ได้แต่ทำหน้าโง่งมมองเธอยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อตั้งสติได้ก็พลันหันหน้าหนีหลบเลี่ยงสายตาไปอีกทาง นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสนลนลาน

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันใช้วิชาหายตัวหนีไปในพริบตาเหมือนที่แล้วมา อวี่ฉีก็ตะครุบมืออีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันเสียก่อน เธอมองใบหน้าด้านข้างของเขาไม่วางตาพร้อมกล่าวว่า “เจ้าจะไม่ถามหรือว่าเหตุใดข้าจึงขอให้เจ้าทำเรื่องนี้? เจ้าไม่สงสัยใคร่รู้สักนิดเลยงั้นหรือ?” เธอเว้นช่วงไป ก่อนจะกดเสียงให้ต่ำลงแล้วพูดต่อ “เพราะข้าชอบเจ้าไปแล้วอย่างไรเล่า ฉะนั้นข้าถึงอยากให้เจ้าลองชอบข้าดูบ้าง มู่ไป๋ รีบชอบข้าเถอะ ช่วยจริงใจและลองพยายามมากกว่านี้สักเล็กน้อยได้หรือไม่ อย่ากล่าวว่าเจ้าทำไม่ได้ เพราะเจ้าตกลงกับข้าแล้วว่าจะทำอย่างสุดความสามารถ”

องครักษ์หนุ่มพยายามจะดึงมือกลับ แต่เด็กสาวตรงหน้าก็กุมมือเขาแน่นเหลือเกิน

หลังการบีบบังคับโดยไร้ซึ่งวาจานี้ผ่านพ้นไป เฉินมู่ไป๋ก็หลับตาลง ออกแรงดึงมือพร้อมปฏิเสธ “คุณหนู นี่มันไม่ถูกต้องนะขอรับ”

อวี่ฉีจ้องมองเขาพลางพูดเสียงแผ่ว “ข้ารู้ว่าเจ้าขีดเส้นกั้นให้กับตัวเอง และไม่เคยอนุญาตให้ตนเองข้ามเส้นนั้นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ครานี้ข้าเป็นฝ่ายข้ามเส้นกั้นนั่นก่อน ดังนั้นมันไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าแค่ต้องเรียกความกล้าของตัวเองออกมาบ้าง แล้วกุมมือข้าเอาไว้” เธอยิ้ม เกลี้ยกล่อมเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝัน “หากระยะห่างระหว่างเรามีสิบก้าว ตอนนี้ข้าก้าวออกมาเก้าก้าวแล้ว แค่เจ้าก้าวออกมาอีกก้าวเดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

จบคำ อวี่ฉีก็ค่อย ๆ คลายมือออก แล้วพลิกข้อมือให้หงายขึ้นมายื่นไปอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ราวกับกำลังรอให้เขาจูงมือเธอไป

นี่เป็นตัวอย่างว่าเหตุใดปีศาจสาวจึงสามารถล่อลวงคนให้กระทำผิดได้ นั่นเป็นเพราะพวกนางเข้าใจจิตใจของผู้คนอย่างถ่องแท้นั่นเอง

นางรู้ซึ้งถึงความลังเลและความขัดแย้งทั้งหมดในตัวของมนุษย์ดี ทว่านางกลับใช้รอยยิ้มน้อย ๆ อันแสนอ่อนโยนเข้าใกล้พวกเขาทีละก้าวโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนปฏิเสธได้ แล้วใช้น้ำเสียงที่ชวนเคลิบเคลิ้มหลงใหลมาขจัดความปั่นป่วนในใจของผู้คนจนทำให้ไม่รู้สึกสับสนลนลานอีกต่อไป จากนั้นถึงค่อยวางสิ่งเย้ายวนอันยิ่งใหญ่ไว้ตรงหน้า…สิ่งที่เป็นเหตุให้หัวใจของคนเราเต้นแรงขึ้นมา

ยามนี้เฉินมู่ไป๋ก็คล้ายกับถูกนางปีศาจล่อลวงเสียแล้ว

—————————————-

องครักษ์หนุ่มรู้ดีว่าโฉมงามตรงหน้าที่กำลังจับจ้องมองตนไม่วางตาผู้นี้คือนายอันสูงส่ง นางเป็นผู้ที่ตนไม่อาจคิดเกินเลยด้วยได้ ถึงแม้ว่าท่าทางรอคอยคำตอบของนางในยามนี้จะดูอ่อนไหวและเต็มไปด้วยความคาดหวังก็ตาม

แต่ไม่รู้เหตุใด ตนจึงไม่อาจหมุนตัวเดินจากไปอย่างหนักแน่นเหมือนดั่งกาลก่อนได้อีก

ความเย้ายวนนี้มันมากเกินไป มากจนแม้แต่นักบุญผู้มีจิตใจอันเด็ดเดี่ยวก็ยังต้องสั่นคลอน แล้วนับประสาอะไรกับคนอย่างเขา

นางเป็นสตรีผู้งดงามที่มีทั้งความขี้เล่น อารมณ์รักลึกซึ้ง สุขทุกข์และโมโหโกรธาอย่างเปิดเผยเป็นธรรมชาติ ต่อให้จะเป็นตอนที่นางทำเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีความละอายสักเพียงใด ผู้คนก็ยังคงอดใจอ่อนไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางเฉื่อยชาแต่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจของนาง

ถึงปกตินางมักจะชอบหยอกเย้าผู้อื่นอยู่เสมอ ทว่าเมื่อจริงจังขึ้นมา สีหน้าที่แสดงความตั้งใจจริงนั้นก็ยิ่งทำให้เขาปฏิเสธนางอย่างโหดร้ายไม่ลง

นางกล่าวว่าระยะห่างระหว่างเรามีสิบก้าว ตอนนี้นางก้าวออกมาเก้าก้าวแล้ว เขาแค่ก้าวออกมาอีกก้าวเดียวก็เพียงพอ…

นางใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเช่นนั้น ใช้แววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวังและให้กำลังใจอย่างนั้น…

บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถปฏิเสธคำเชื้อเชิญแบบนี้ได้หรอก แต่เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะตอบรับคำเชิญเยี่ยงนี้ได้ด้วยเช่นนั้นหรือ?

เฉินมู่ไป๋ยังจดจำได้ ตัวเขานั้นเดิมเป็นขอทานน้อยอยู่ข้างถนนมาตั้งแต่ก่อนอายุครบห้าหนาว เมื่อเข้ามาในจวนอัครมหาเสนาบดี นอกจากการฝึกซ้อมวรยุทธ์จนเหงื่อท่วมกายแล้ว เขาก็ไม่เคยทำเรื่องอื่นใดที่มีความหมายอีกเลย ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการได้มาเป็นองครักษ์เงาของนางเท่านั้น และนี่ถือเป็นจุดสูงสุดในชีวิตที่เขาสามารถบรรลุผลได้แล้ว

ส่วนนางนั้นเป็นถึงบุตรีของอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่ลืมตาดูโลก ร่ำเรียนทั้งการดีดพิณกู่ฉิน หมากล้อม เขียนพู่กัน รวมไปถึงภาพวาด นางทำได้กระทั่งยิงธนู ขี่ม้า ทว่าชั่วชีวิตนี้เขากลับทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลยสักอย่าง ในฐานะที่เป็นองครักษ์เงา เพียงรู้ว่าจะทำตนเป็นเกราะกำบังหอกดาบให้เจ้านายของตนอย่างไรก็เป็นพอ ไม่ต้องมีจิตวิญญาณ ไม่ต้องมีความคิด จะให้ดีที่สุดก็ต้องทำตัวป็นศพเดินได้ผู้ซื่อสัตย์ภักดี หลับหูหลับตาทำตามคำสั่งนายทุกอย่างก็เพียงพอแล้ว

ชีวิตนางถูกลิขิตให้แต่งงานกับผู้มีอำนาจในปัจจุบัน กลายเป็นไทเฮาหรือสตรีผู้ทรงอิทธิพลแล้วใช้ชีวิตท่ามกลางเสื้อผ้าอาภรณ์อันหรูหรางดงาม อาหารเลิศรส ไม่ใช่มาตบแต่งกับคนอย่างเขาแล้วกลายเป็นภรรยาของสามัญชนทั่วไป

อันที่จริงเขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่านางชมชอบคนอย่างเขาไปได้อย่างไร

มือของนางที่ยื่นมาตรงหน้าเขานั้นขาวนวลเนียนราวกับแกะสลักออกมาจากหยกงาม แต่ฝ่ามือกับปลายนิ้วของเขากลับเต็มไปด้วยรอยด้านหนา ต่อให้จะลืมความต่างของสถานะแล้วกุมมือนางได้ เขาก็ไม่อาจเอาชนะความเจียมเนื้อเจียมตัวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจตนเองได้อยู่ดี

มือที่งดงามละเอียดอ่อนเช่นนี้ควรจูงฝ่ามือเนียนขาวของชายที่มีฐานะเท่าเทียมกันมากกว่า

เฉินมู่ไป๋เงียบไปพักใหญ่ก่อนค่อย ๆ กำนิ้วมือที่วางทาบอยู่บนโต๊ะ จนกระทั่งกลายเป็นกำปั้นแล้วถึงเก็บมือกลับไป หลังจากนั้นเขาก็ค้อมศีรษะลงต่ำภายใต้แววตาที่ค่อย ๆ ดำมืดลงอย่างช้า ๆ ของอวี่ฉี “ขอโทษ”

อึดใจต่อมาก็เกิดความเงียบงันอันยาวนาน นานจนเฉินมู่ไป๋ที่ก้มหน้าอยู่เริ่มรู้สึกปวดเมื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว

สุดท้าย นางก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่ชวนกระอักกระอ่วนนี้ ด้วยการใช้น้ำเสียงที่เฉยชาจนแทบจะกลายเป็นความเย็นยะเยือกตอบกลับ “ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ต่อไปอย่าขอโทษข้าอีก เจ้ารู้ดีว่าข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดประโยคนี้”

เฉินมู่ไป๋ไม่พูดอะไร ทว่ายิ่งกดศีรษะให้ต่ำลงกว่าเดิม

นอกเหนือจากคำขอโทษแล้ว ตนยังสามารถพูดอะไรกับนางได้อีกอย่างนั้นหรือ?

เฉินอวี่ฉีเองก็เก็บมือของตัวเองกลับไปเช่นกัน ก่อนจะลุกเดินไปทางเจ้าม้าดำเงียบ ๆ เฉินมู่ไป๋เห็นเช่นนั้นก็ควักเอาเงินอีแปะไม่กี่เหรียญออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้วรีบร้อนตามนางไป

——————————————

หลังจากนำเครื่องประดับหลายชิ้นไปขายแล้ว อวี่ฉีก็จูงม้ามาหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ผ่านไปชั่วครู่ เด็กสาวก็ส่งม้าให้กับเสี่ยวเอ้อร์ แล้วก้าวข้ามบานประตูเข้าไปในโรงเตี๊ยม ทางด้านเฉินมู่ไป๋นั้นก็เดินตามเข้าไปอยู่ด้านหลังโดยไม่พูดอะไร ทำราวกับเป็นเงาหนึ่งที่ตามติดร่างบอบบางนี้อย่างเงียบงัน

อวี่ฉีไม่ได้หันมองคนข้างหลัง ทำเพียงแจ้งความต้องการกับเถ้าแก่ว่า “ข้าต้องการห้องข้างบนสองห้อง”

หลังจากเสี่ยวเอ้อร์พาพวกเขามาถึงหน้าห้องแล้วก็ผละจากไป อวี่ฉียืนอยู่ที่เดิมเงียบ ๆ สักพักจึงค่อยกล่าวเสียงขรึมกับคนด้านหลังว่า “คืนนี้เจ้าอยู่แต่ในห้องพักของเจ้า อย่าเข้ามาในห้องข้าเป็นอันขาด ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ”

สิ้นเสียงก็ผลักประตูเดินเข้าไปในห้อง ก่อนหมุนตัวมาปิดประตูโดยไม่รอฟังคำตอบของเขา

เฉินมู่ไป๋ยืนอยู่หน้าประตูห้องของอวี่ฉีครู่ใหญ่ถึงค่อยก้าวเดินเชื่องช้าไปอีกห้องหนึ่ง เมื่อดึงประตูปิดแล้วก็มานั่งลงหน้าโต๊ะ เหม่อมองกาน้ำชาที่วางอยู่บนนั้นอย่างเนิ่นนาน

ท้องฟ้านอกหน้าต่างมืดลงเรื่อย ๆ จวบจนกลายเป็นสีดำสนิทไปอย่างสมบูรณ์

เขาไม่รู้ว่าตัวเองฟุบหลับไปบนโต๊ะตั้งแต่เมื่อใด ตื่นขึ้นมาอีกที แสงอรุณอ่อนจางก็สาดส่องเข้ามาแล้ว ส่วนแขนที่ถูกหนุนนอนทั้งคืนก็ชาจนไม่รู้สึกอะไรอีก

เนื่องจากฟุบหลับบนโต๊ะไปหนึ่งคืนเต็ม กระดูกกระเดี้ยวทั้งร่างจึงปวดเมื่อยไปหมด

เฉินมู่ไป๋ขยับแขนคลายกล้ามเนื้อ ก่อนลุกขึ้นยืนข้างโต๊ะอย่างเชื่องช้า แล้วเดินไปผลักประตู  เขาอยากไปยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องของอวี่ฉีจนกว่านางจะออกมา

ทว่าเพิ่งจะผลักประตูไม้แกะสลักออกไป คนผู้นั้นที่ไม่สมควรมายืนอยู่ตรงนี้ก็ปรากฏสู่สายตา ทำเอาเขาเบิกตากว้างขึ้นมาภายในพริบตา

นางยังคงสวมชุดของเมื่อวาน กำลังก้มศีรษะยืนอยู่หน้าห้องของเขาด้วยใบหน้าซีดเซียวอิดโรย มีรอยสีดำเขียวอ่อนจางอยู่ใต้ดวงตาคู่นั้น ราวกับไม่ได้นอนมาทั้งคืน “มู่ไป๋ อย่าเพิ่งพูดอะไร อย่าเพิ่งปฏิเสธข้า และห้ามบอกว่าทำไม่ได้ด้วย ถือซะว่าข้าขอร้องเจ้า” นางเป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อนโดยไม่รอให้เขาถามอะไรทั้งสิ้น ภายในน้ำเสียงของนางเจือความแหบพร่าและอ่อนล้า จนเขารับรู้ได้ในทันทีว่านางกำลังอ่อนเพลียมาก

เขาอึ้งงันไป อ้าปากอยากจะบอกให้นางอย่าเพิ่งรีบร้อนกล่าวอะไร อยากให้นางกลับไปนอนพักผ่อนบนเตียงดี ๆ ก่อน ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีอะไรหลุดออกจากปาก ทุกอย่างยังคงความเงียบไว้เช่นเดิม มีเพียงความกังวลที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของเขาเท่านั้น

ใบหน้าซีดเซียวของอวี่ฉีประดับรอยยิ้มอ่อนจางขึ้นมาครู่หนึ่ง “เมื่อคืนข้าครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ มากมายอยู่ในห้อง จากนั้นก็ตระหนักได้เรื่องหนึ่งว่าข้าไม่ควรไปบีบบังคับเจ้าเช่นนั้น แต่ควรให้เวลาเจ้าค่อย ๆ คิดทบทวนหลาย ๆ วัน เรื่องใหญ่ในชีวิตคนเราไม่ใช่เรื่องสมควรนำมาล้อเล่น ไม่แปลกที่เจ้าจะปฏิเสธข้า อีกอย่างกิริยาท่าทางของข้าเมื่อวานก็ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ ข้าต้องขอโทษด้วย”

นางเว้นช่วงไป ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “สามวันได้หรือไม่? สามวันถัดไปเจ้าค่อยตัดสินใจ ต่อให้เจ้าจะยังปฏิเสธข้า ก็ขอให้รออีกสามวันก่อนแล้วค่อยบอกปัด ได้หรือไม่?”

————————————————————

 ————————————————–