เฉินมู่ไป๋
8
คุณหนูในความทรงจำของเขาไม่มีทางพูดจานอบน้อมถ่อมตนเช่นนี้ นางมักจะยิ้มอย่างลำพองใจหรือมีประสงค์ร้ายแอบแฝง และชอบทำท่าทางบีบบังคับผู้อื่นเสมอมา
เฉินมู่ไป๋เงียบไปพักใหญ่จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณหนู ข้าน้อยไม่คู่ควร”
อวี่ฉียิ้มขึ้นมา ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาอ่อนหวานอย่างสุดซึ้ง “จะไม่คู่ควรได้อย่างไร? มู่ไป๋ของข้าคู่ควรกับทุกสิ่งทุกอย่างที่งดงามที่สุดในผืนแผ่นดินนี้” หญิงสาวเงียบไปก่อนจะเอ่ยต่อเบา ๆ “อย่าด่วนปฏิเสธข้าในทันที รออีกสามวันไม่ได้หรือ? ให้โอกาสข้าทำให้เจ้าชอบข้าเป็นคราสุดท้าย และให้โอกาสตัวเจ้ายอมรับข้าสักครั้งด้วยเถอะ”
เฉินมู่ไป๋ไม่ยอมปริปากพูดใด ๆ ความละอายใจที่เป็นดั่งคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้ากำลังซัดเขาให้จมดิ่งลงไป
“เจ้าไม่พูด ข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้วนะ” อวี่ฉีระบายยิ้มน้อย ๆ “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว” สิ้นเสียงก็หมุนตัวเดินลงไปชั้นล่าง เพียงแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันมีเสียงดังแว่วขึ้นมาจากด้านหลัง
“ท่านยืนอยู่นอกห้องทั้งคืนเลยหรือ?”
อวี่ฉีหยุดฝีเท้าลง ก่อนหันมายิ้มให้เขาอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้าปวดใจขึ้นมาหรือไร?”
เขาแทบไม่กล้ามองหน้านาง เอาแต่ก้มศีรษะ ทั้งยังกดเสียงต่ำลงยิ่งขึ้นไปอีก “กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถิด คุณหนู”
“เจ้ามักเป็นเช่นนี้เสมอ มักจะมาปราฏตัวอยู่ด้านหลังข้าในยามที่ข้ารู้สึกว่าขาดที่พึ่งพิงมากที่สุด เจ้าทำเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่มีครั้งใดที่ต่างออกไป” นางยิ้มแล้วถอนหายใจ กระนั้นน้ำเสียงที่พูดก็ยังคงอ่อนหวาน “เจ้าดีกับข้าเช่นนี้ แล้วเจ้าจะให้ข้าต้านทานความเย้ายวนนี้ไหวได้เช่นไร?”
เฉินมู่ไป๋ไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดต่อดี เขาอยากจะบอกขอโทษนางซ้ำอีกสักครา ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ปริปากออกมาสักคำ
คุณหนูค่อย ๆ หมุนตัวเดินมาหาเขาทีละก้าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าขอเตือนเจ้าเรื่องหนึ่งด้วยความหวังดี เจ้าควรรีบไปจากที่นี่เสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วไม่ต้องสนใจว่าข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่เช่นนั้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเผลอทำสิ่งใดขึ้นมาหรือไม่”
เฉินมู่ไป๋ยังคงเงียบ ทั้งยังไม่ยอมไปไหน ร่างสูงแกร่งนั้นยืนอยู่เบื้องหน้าเธอราวกับสนหิมะที่ตั้งตรงแน่วนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
นางย้ำอีกครั้ง “ข้าขอเตือนเจ้าเป็นคราสุดท้าย หากเจ้ายังไม่รีบไปตอนนี้ จงรับผิดชอบผลที่จะตามมาเองนะ”
เฉินมู่ไป๋ทำเพียงเบนหน้าออกไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้จากไปตามคำแนะนำของเด็กสาว เสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็พลันรู้สึกได้ว่าตนเองถูกนางใช้ฝ่ามือดันร่างไปติดกับกำแพงแข็งเย็นยะเยียบ ก่อนร่างอุ่นร้อนของนางจะแนบตามเข้ามาติด ๆ ความร้อนของผิวหนังที่ถูกเนื้อผ้าบาง ๆ กั้นขวางเอาไว้นั้นส่งผ่านถึงกันและกัน จนเขาแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวแรงดังตุบ ๆ นั่นของนางด้วยซ้ำ
นิ้วมือเย็นชืดนุ่มนิ่มไล้ไปบนใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน ลากผ่านเส้นผม คิ้ว ดวงตา และพวงแก้มไป โดยทิ้งความอุ่นร้อนไว้ในทุกจุดที่นิ้วมือสัมผัส ทำเอาเขาสั่นสะท้านและไม่กล้าขยับเขยื้อนกาย รู้เพียงว่าพวงแก้มของตนในยามนี้จะต้องแดงขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
ในที่สุดนิ้วมือของนางก็มาหยุดอยู่บนริมฝีปากของเขา นิ้วน้อย ๆ นั้นคลึงเคล้นอย่างอ้อยอิ่งและนุ่มนวล ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าเตือนเจ้าไปสองหนแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังอยู่ต่ออย่างโง่งมเช่นนี้อีกเล่า” กล่าวจบก็ไม่รอให้เขาเปิดปากตอบ นางเขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วเป็นฝ่ายปิดปากเขาไว้ด้วยปากของนางเองทันที
ริมฝีปากเย็นเยียบของนางพลันประทับลงบนกลีบปากอุ่นนุ่มของเขา เป็นการจู่โจมที่แฝงไว้ด้วยความรุนแรงซึ่งนำพาให้ส่วนลึกของหัวใจสั่นไหว ทว่ามันกลับไม่ได้หยาบคาย เด็กสาวตรงหน้าละเมียดละไมจุมพิตเขาอย่างอ่อนโยนทีละน้อยไปตามรอยบนกลีบปาก
เฉินมู่ไป๋อยากจะขยับตัวหนี ตระหนักดีว่าตนเองควรต้องหลบเลี่ยงไปในทันที ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมรับฟัง
เขาไม่อาจขยับตัวได้ แม้กระทั่งกระดุกกระดิกสักเล็กน้อยยังไม่อาจทำได้ ราวกับถูกนางมารสะกดทั้งร่างเอาไว้ให้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความเย้ายวนที่นางสร้างขึ้นมาจนยากจะถอนตัว
—————————————
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดอวี่ฉีก็ผละออกไป นิ้วมืออุ่นร้อนปาดเช็ดตรงมุมปากของเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนคลี่ยิ้มน้อย ๆ ออกมา “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่จะตามมาเอง” เพิ่งจะกล่าวจบ เอวเธอก็ถูกคนออกแรงโอบรัดเอาไว้จนรู้สึกตาลาย รอจนกระทั่งภาพตรงหน้าชัดเจนอีกครั้ง ก็พบว่าเฉินมู่ไป๋ดึงเธอมาคุ้มกันอยู่ด้านหลัง เมื่อมองผ่านบ่าของเขาไป ก็เห็นบุรุษรูปงามในชุดสีดำยืนยิ้มบาง ๆ อยู่ตรงนั้น
เขาคือหมายเลขสาม องครักษ์เงาข้างกายเฉินเซียงบิดาของเจ้าของร่างนี้ ไม่รู้ว่าชายคนนี้ตามพวกเธอจนเจอได้อย่างไร บางทีอีกฝ่ายอาจสะกดรอยตามมาตลอดตั้งแต่ออกจากจวนแล้วก็เป็นได้ หรือไม่ก็อาจแกะรอยตามเครื่องประดับที่เธอนำไปขาย
เฉินมู่ไป๋มองฝ่ายตรงข้ามอย่างระแวดระวัง “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
หมายเลขสามหรี่ตาลง แล้วยิ้มราวกับเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง “ยามคุณหนูใหญ่จับเจ้ากดกับกำแพงและใช้กำลังบีบบังคับจูบเจ้า ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว”
อีกฝ่ายพูดอย่างตรงไปตรงมาจนเฉินมู่ไป๋หูแดงในพริบตา
“ไม่ใช่ใช้กำลังบังคับจูบ ข้าเคยเตือนไปสองรอบแล้วต่างหาก” อวี่ฉีค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านหลังเฉินมู่ไป๋ เธอมองหมายเลขสามด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ท่านพ่อให้เจ้ามาจับข้ากลับไปงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ขอรับ ใต้เท้าเพียงแต่ส่งข้ามาเพื่อให้โอกาสคุณหนูกลับจวนเป็นคราสุดท้าย”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“หากคุณหนูไม่ตามข้าน้อยกลับไปในวันนี้ ใต้เท้าก็จะสุ่มหาแม่นางที่มีรูปโฉมคล้ายคลึงกับคุณหนูไปตบแต่งกับแม่ทัพเจิ้นเป่ยแทน แล้วนับแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณหนูก็จะไม่ใช่บุตรสาวของใต้เท้าอีก” หมายเลขสามยิ้มจนตาหยีพร้อมกับเอ่ยต่อ “แต่ดูจากเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว เหมือนว่าคุณหนูคงจะไม่ยอมติดตามข้าน้อยกลับจวนแต่โดยดีสินะขอรับ”
ผ่านความเงียบงันไปชั่วครู่ อวี่ฉีก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าไม่มีวันกลับไปแต่งงานกับแม่ทัพเจิ้นเป่ยเป็นแน่ เจ้าไปเถิด”
หมายเลขสามพยักหน้า ทั้งยังไม่คิดจะอ้อยอิ่งไปมากกว่านี้ เพียงพริบตาเดียวก็หายวับไปจากจุดที่เคยยืนอยู่
ครู่สั้น ๆ นั้น คนสองคนที่ยังคงยืนอยู่ต่างไม่พูดอะไร มีเพียงลมอุ่น ๆ ในฤดูคิมหันต์พัดโชยเอื่อย ๆ ผ่านชายเสื้อของทั้งคู่ไปเท่านั้น
รอจนบ่มเพาะอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมาพอสมควรแล้ว อวี่ฉีก็หมุนตัวไปหาคนข้างกายช้า ๆ ก่อนจะก้มหน้ากล่าวขึ้นแผ่วเบาว่า “ยามนี้เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าท่านพ่อไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าไม่ใช่คุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครมหาเสนาบดีอีกต่อไป ไม่ต้องรอสามวันหรอก เจ้าสามารถปฏิเสธข้าตอนนี้ได้เลย จากนั้นเจ้าก็จะเป็นอิสระ ไม่ต้องไปเป็นเงาของผู้ใดอีก เจ้าจะได้แหวกว่ายไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างอิสระดั่งมัจฉา และได้โบยบินดั่งวิหคไปบนท้องฟ้าสูงไร้ขอบเขตนับแต่นี้เป็นต้นไป”
อวี่ฉีทราบดีว่าเฉินมู่ไป๋ไม่ใช่คนจำพวกที่คิดจะเกาะกินคนมีฐานะและขับไล่ไสส่งยามคนผู้นั้นตกทุกข์ได้ยาก ต่อให้ไล่เขาไป เขาก็ไม่ยินยอม ฉะนั้นยามเธอกล่าวแบบนั้น เขาก็ยิ่งไม่มีวันจากไปไหน
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เขาส่ายหน้ากล่าวกับเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าน้อยไม่ไป คุณหนูไปที่ใด ข้าน้อยก็จะไปที่นั่นด้วย”
อวี่ฉีลอบยิ้มในใจ ทว่ายังคงแสร้งทำหน้าเศร้าเช่นเดิม เธอค่อย ๆ เบนหน้าหนีไม่ยอมมองเขา พลางตอบกลับเสียงต่ำ “ ‘เพียงคำพูดลอยๆ ย่อมเชื่อถือไม่ได้’ วันนี้เจ้าสามารถพูดเช่นนี้ได้ แล้วพรุ่งนี้เจ้าก็จะไปโดยไม่คิดร่ำลาข้า”
“ข้าน้อยไม่มีวันทำเช่นนั้น”
อวี่ฉียิ้มเบาบาง ก่อนจะหมุนตัวเดินลงไปชั้นล่าง “ไปเถิด เจ้าคือองครักษ์เงาของคุณหนูใหญ่แห่งสกุลเฉิน ไม่ใช่องครักษ์เงาของเฉินอวี่ฉี ยามนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องคุ้มครองข้าแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าอีก”
กล่าวจบ เธอก็ก้าวลงบันไดไปอย่างไร้ซึ่งความลังเล ขณะเดียวกันก็นับเลขอยู่ในใจ หนึ่ง…สอง…สาม
และแล้วเธอก็พลันถูกคนตะครุบแขนเอาไว้ ยังไม่ทันได้หันหน้ากลับไป ร่างทั้งร่างก็ถูกดันไปติดกับกำแพงเสียก่อน เฉินมู่ไป๋ประชิดตัวเธอแล้วค่อย ๆ ก้มศีรษะลงมา ในตอนที่อวี่ฉีคิดว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายจะประกบเข้ามาแล้วนั่นเอง เขากลับเอียงหน้าไปเล็กน้อยแล้วซุกเข้ากับซอกคอของเธอเบา ๆ แทน ลมหายใจอันนุ่มนวลนั้นเป่ารดบนผิวเหนือคอเสื้อจนรู้สึกจั๊กจี้เป็นที่สุด
อวี่ฉีก้มมองเขาอย่างมีน้ำโห “แค่นี้เองรึ?”
เฉินมู่ไป๋ค่อย ๆ ยื่นมือมาโอบเอวของเธอ น้ำเสียงที่ใช้ยังคงทุ้มต่ำเช่นเดิม แต่กลับเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าน้อยก็จะอยู่เคียงข้างท่าน ไม่มีวันแยกจากท่านไปตลอดกาล”
อวี่ฉีอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เธอยกแขนขึ้นโอบรอบคอของคนตรงหน้าเอาไว้ “ในฐานะสามีใช่หรือไม่?”
เขาไม่ตอบ แต่กระชับแขนสองข้างที่โอบเอวเธอให้แนบแน่นยิ่งขึ้น “ข้าน้อยจะตั้งใจทำงานหาเงินขอรับ”
“ตั้งใจทำงานหาเงินมาเลี้ยงข้างั้นสิ?” เธอกล่าวพลางอมยิ้มน้อย ๆ “หากเจ้าไม่พูด แปลว่าเจ้าตกลงแล้วนะ มู่ไป๋”
เขายังคงไม่พูดสิ่งใด เพียงแต่โค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนยากที่จะสังเกตเห็น
สายลมอ่อน ๆ ในฤดูคิมหันต์พันร้อยเส้นผมของคนทั้งคู่เข้าด้วยกัน มันอบอุ่นจนรู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาในส่วนลึกของหัวใจ พวกเขาสวมกอดกันอยู่บนบันไดราวกับทั้งแผ่นดินนี้มีเพียงสองเรา ไม่ต่างจากคู่รักทุกคู่บนโลกใบนี้ที่รักใคร่ซึ่งกันและกัน
เฉินมู่ไป๋
จบ