ฉีอวิ๋นเยี่ยน
1
เพิ่งทำภารกิจหนึ่งเสร็จไปได้ไม่นาน ก็มีภารกิจใหม่ยาก ๆ มาให้จัดการอีกแล้ว อวี่ฉีถูกจับมารับงานนี้เพราะหากมีประสบการณ์ไม่มากพอก็คงจะรับมือไม่ไหว
ทันทีที่ลืมตา อวี่ฉียังไม่ทันได้เรียบเรียงข้อมูลในสมอง ครั้นก้มหน้าเห็นอาภรณ์บนกายตัวเองก็ต้องตกใจไปวูบหนึ่ง
เวลานี้เธอสวมชุดคลุมยาวทรงกระบอกแขนแคบสีทองอร่าม ปักด้วยด้ายทองรูปมังกรขดตัวในทรงกลดทั้งด้านหน้า ด้านหลัง รวมถึงสองแขน ส่วนบริเวณอื่นปักลวดลายวิจิตรด้วยด้ายสีเข้ม ที่คาดเอวสีทองอร่ามประดับด้วยหยกสลักเพื่อให้ง่ายต่อการทำภารกิจสำเร็จ อวี่ฉีเคยศึกษาค้นคว้าเรื่องเครื่องแต่งกายในสมัยโบราณมาก่อนบ้างแล้ว ชุดที่เธอสวมอยู่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นฉลองพระองค์ของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิง
ที่ผ่านมาสำนักงานใหญ่ไม่เคยให้พนักงานหญิงสวมบทเป็นตัวละครชายมาก่อน แสดงว่าตัวละครที่เธอรับบทอยู่ในตอนนี้ คือฮ่องเต้ที่เป็นสตรีสินะ และฉากในนิยายเรื่องนี้เองก็ไม่น่าจะใช่ยุคราชวงศ์หมิง คงเป็นยุคที่สมมติขึ้นมาลอย ๆ มากกว่า
แม้จะตกตะลึงกับสถานะของตนเองในครั้งนี้แค่ไหน แต่อึดใจเดียวเธอก็สามารถปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาสงบได้อย่างว่องไว ก่อนที่จะเริ่มสังเกตรอบด้านโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
ที่นี่คือศาลาทรงสี่เหลี่ยมแบบจตุรมุข หน้ามุขทุกฝั่งมีขั้นบันไดและรั้วที่สร้างจากศิลาขาวฮั่นไป๋อวี้[1] บานหน้าต่างสลักเป็นลายสามเหลี่ยมหลิงฮวาหกกลีบ[2] ดูแล้วช่างงดงามตระการตาเป็นที่สุด
นอกจากตัวเธอแล้ว ในศาลารับลมมีเพียงนางกำนัลสองคนและขันทีผู้ดูแลฝ่ายในอีกหนึ่งคน ส่วนด้านนอกนั้นมีเหล่าข้ารับใช้เดินกันให้ขวักไขว่ บ้างถือเตาหอมส่งควันฉุย บ้างถือกล่องใส่ผลไม้ บ้างถืออาหาร กระทั่งขันทีสูงใหญ่ที่ช่วยยกเกี้ยวนุ่มกันสองคนก็ยังมี ภาพฉากที่เห็นตรงหน้านี้ดูอลังการไม่เบาเลยทีเดียว
อวี่ฉีกวาดตามองรอบตัวอย่างถี่ถ้วน กลับไม่พบผู้ใดที่ดูมีลักษณะของตัวร้ายอยู่เลย ส่วนขันทีข้างกายเธอ แม้จะปากแดง ฟันขาว รูปโฉมงดงามจนแทบกระชากใจเพียงใด แต่มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกบ่าวชั่วจอมมารยาที่ดีแต่ประจบสอพลอไปวันๆ ยังห่างไกลกับมาตรฐานตัวร้ายหลักของเรื่องมากนัก
เมื่อคลายใจลงแล้ว อวี่ฉีก็ยกถ้วยเครื่องลายครามดอกเบญจมาศข้างมือขึ้นมาบดบังใบหน้า พลางเริ่มจัดระเบียบข้อมูลในสมอง
อย่างที่เดาไว้ไม่ผิด ตัวละครที่ต้องสวมบทบาทในครั้งนี้คือจักรพรรดินีประจำราชวงศ์แห่งต้าอวี้
อาณาจักรต้าอวี้แห่งนี้เป็นสังคมที่ยกย่องบุรุษเป็นใหญ่ ไม่ได้มีพื้นเพยกย่องสตรีเป็นใหญ่แต่อย่างใด ดังนั้นการแต่งตั้งผู้หญิงขึ้นเป็นฮ่องเต้จึงมีที่มาที่ไปอยู่ไม่น้อย เนื่องด้วยฮ่องเต้รัชกาลก่อนมีพระราชโอรสและพระราชธิดาน้อยนัก มีองค์ชายเพียงหนึ่งพระองค์ และองค์หญิงอีกสองพระองค์เท่านั้น
องค์ชายและองค์หญิงใหญ่ล้วนเป็นลูกที่เกิดจากฮองเฮา ส่วนองค์หญิงรองนั้นถือกำเนิดจากกุ้ยเฟย อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้องค์ก่อนนับว่าโชคร้ายนัก เพราะองค์ชายใหญ่ที่พระองค์เลี้ยงดูอยู่ข้างพระวรกายตลอดเวลากลับประชวรอย่างหนักจนต้องสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่พระชันษาเจ็ดปี ซึ่งวันที่องค์ชายน้อยจากไป องค์หญิงรองก็ลืมตาดูโลกราวกับว่าฟ้าได้ลิขิตเอาไว้แล้ว
ฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นผู้นำที่ค่อนข้างไม่เอาไหน เพราะความเจ็บปวดจากการสูญเสียองค์ชายใหญ่ ทำให้พระองค์ปักใจเชื่อว่าองค์หญิงรองคือองค์ชายใหญ่กลับชาติมาเกิด โดยไม่สนคำคัดค้านจากผู้ใด พระองค์ทรงเลี้ยงดูองค์หญิงรองเยี่ยงองค์ชาย ไม่ว่าจะสี่ตำราห้าคัมภีร์[3] ยิงธนู ขี่ม้า เขียนพู่กัน และการคำนวณ แม้แต่ศาสตร์ในการเป็นฮ่องเต้ หรือกระทั่งวิธีการถ่วงดุลอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อดีตฮ่องเต้สนใจล้วนถูกสอนสั่งให้องค์หญิงรองจนหมดสิ้น คล้ายกับว่าพระองค์กำลังขัดเกลาผู้สืบทอดบัลลังก์ก็ไม่ปาน
ภายใต้แรงกดดันและการจับจ้องจากราชสำนัก อดีตฮ่องเต้ที่ประชวรหนักได้แต่งตั้งองค์หญิงรองชันษาสิบหกปีขึ้นเป็นฉูจวิน[4] และตั้งขุนนางใหญ่สังกัดเน่ยเก๋อ[5] สี่คนขึ้นเป็นฝู่เฉิน[6] ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต องค์หญิงหรงชางจึงได้สถาปนาตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ กลายเป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกแห่งต้าอวี้สืบไป
นางเอกของนิยายต้นฉบับเรื่องนี้คือ ‘องค์หญิงรุ่ยอัน’ พระราชธิดาสายตรงที่ถือกำเนิดจากฮองเฮา ถึงแม้เธอจะเป็นองค์หญิงใหญ่ อีกทั้งยังมีอายุมากกว่า แต่เธอกลับถูกองค์หญิงหรงชางธิดาของกุ้ยเฟยกดข่มจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ พูดได้เต็มปากเลยว่า องค์หญิงรุ่ยอันเป็นนางเอกพิมพ์นิยมผู้แสนจะใสซื่อ ราวดอกไม้ขาวที่มักถูกรังแกเสมอเป๊ะ ๆ เลย
ส่วนนางร้ายอย่างองค์หญิงหรงชาง แม้จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงแล้ว เธอก็ยังเห็นองค์หญิงรุ่ยอันเป็นตัวขวางหูขวางตา ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้ ‘ฉีอวิ๋นเยี่ยน’ ขันทีผู้คุมอำนาจหน่วยซือหลี่เจียน[7]และควบตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยตงฉ่าง[8] เฟ้นหาราชบุตรเขยที่มีโรคร้ายรุมเร้าให้แก่องค์หญิงรุ่ยอัน
ตามกฎมณเฑียรบาลของต้าอวี้ ราชบุตรเขยที่ถูกคัดเลือกจะต้องมีฐานะเป็นสามัญชน ไม่ก็มาจากตระกูลขุนนางเก่าระดับล่าง อีกทั้งหลังได้รับเลือก คนในตระกูลก็ไม่อาจรับราชการได้อีก หรือหากรับราชการอยู่แล้วก็จำต้องลาออกมาอยู่บ้าน สภาพราชบุตรเขยนั้นแต่เติมก็นับว่าอนาถมากพออยู่แล้ว เมื่อถูกฮ่องเต้หญิงและฉีอวิ๋นเยี่ยนก่อกวนก็ยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่
ทว่าเคราะห์ดีที่พระเอกอย่างราชบุตรเขย ‘เสิ่นหนิง’ ถึงแม้จะถูกโรคภัยรุมเร้า แต่ก็ยังเกิดมาโดดเด่นเจิดจรัสไม่เหมือนผู้ใด กิริยาคำพูดรึก็ดูมีสง่าราศี ทำให้ถูกตาต้องพระทัยองค์หญิงรุ่ยอันทันทีตั้งแต่แรกพบ
เดิมทีเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีงามอยู่หรอก ถ้าหากในครานั้นฮ่องเต้หญิงไม่บังเอิญเห็นพระเอกคนนี้จากที่ไกล ๆ แล้วเกิดต้องพระทัยขึ้นมาเช่นกัน หลังจากนั้นนางจึงเริ่มสร้างปัญหาให้แก่สองสามีภรรยาคู่นี้ ถึงขนาดเกือบสั่งให้ฉีอวิ๋นเยี่ยนไปลักพาตัวราชบุตรเขยเข้าวังด้วยซ้ำ…
กว่าจะตรวจสอบเค้าโครงเรื่องส่วนใหญ่เสร็จ อวี่ฉีแทบจะพ่นน้ำชาร้อนในปากออกมาอยู่รอมร่อแล้ว
ไม่พูดไม่ได้จริง ๆ นางร้ายที่เธอสวมบทในครั้งนี้คือคนชั่วขนานแท้ ส่วนขันทีผู้ดูแลนั่นก็ไม่น้อยหน้า เรียกว่าสองคนนี้ถูกเคาะออกมาจากแม่พิมพ์ตัวร้ายชัด ๆ ช่างสมเป็นคู่ชายโฉดหญิงชั่วที่เข้าขากันได้ดีเสียนี่กระไร
ฉีตูจู่[9] เป็นบุตรชายของขุนนางต้องโทษ จึงต้องเข้าวังมารับใช้ฝ่ายใน แต่ทั้งที่อายุยังน้อย เขากลับมีไหวพริบและเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อาศัยบารมีของอดีตฮองเฮาหรือไทเฮาสกุลจ้าวองค์ปัจจุบันปีนป่ายขึ้นมาเป็นผู้คุมอำนาจเหนือหน่วยซือหลี่เจียนทั้งยี่สิบกอง ด้วยอำนาจในมืออันมหาศาลนี้ ฎีกาจากสำนักเน่ยเก๋อล้วนต้องผ่านมือเขาก่อนไปถึงเบื้องพระพักตร์ทั้งสิ้น
ต่อมาเขาอาศัยสติปัญญาของตนเองจัดการเรื่องต่าง ๆ ภายในวังจนได้รับความสำคัญจากอดีตฮ่องเต้ อีกทั้งยังได้รับการแต่งตั้งให้รับผิดชอบควบคุมดูแลหน่วยตงฉ่าง พลิกโฉมแค่ครั้งเดียวก็กลายเป็นขุนนางผู้ทรงอำนาจ เป็นรองเพียงหนึ่ง แต่เหนือคนนับหมื่น มีคนในอาณัติกระจายตัวไปทั่วผืนแผ่นดิน สร้างหลักฐานมดเท็จใส่ความกล่าวโทษผู้บริสุทธิ์ ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง เพียงได้ยินนาม เหล่าบัณฑิตก็พากันหวาดกลัวหัวหด แทบกล่าวได้ว่าอำนาจล้นแผ่นดิน ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ แต่หากไร้ซึ่งอำนาจในมือ ยามพบเจอเขาก็ยังต้องเรียกใต้เท้าฉีอย่างนอบน้อมสักคำหนึ่ง
ยังไม่หมดแค่นั้น ฉีอวิ๋นเยี่ยนผู้นี้ไม่เพียงเจ้าเล่ห์เพทุบายและโหดเหี้ยมอำมหิตเท่านั้น เขายังรู้จักปรับตัวตามสถานการณ์ ฉลาดเลือกจุดยืน หลังจากนายเหนือหัวพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ แม้ฉากหน้าเขาจะเป็นคนของจ้าวไทเฮา เบื้องหลังกลับจัดการงานต่าง ๆ แทนฮ่องเต้หญิงไปไม่น้อย ไป ๆ มา ๆ ระหว่างสตรีผู้ทรงอำนาจทั้งสองอย่างลื่นไหล ครองอำนาจดุจตะวันกลางนภา นับวันชื่อเสียงมีแต่จะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหล้า
บังเอิญจัง พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
ขณะที่อวี่ฉีกำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการขุนนางผู้ทรงอำนาจท่านนี้อย่างไรดี อีกด้านระหว่างศาลากับตำหนักฝั่งตรงข้ามก็มีผู้คุมกฎห้อยป้ายงาช้างติดพู่ประดับกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากหลังภูเขาจำลองด้วยท่าทางข่มขวัญผู้คน
ผู้ที่นำอยู่หน้าขบวนสวมหมวกผ้าโปร่งสีดำทรงสูงขลิบลายทอง สวมอาภรณ์คอปกปักลายดอกเซี่ยงรื่อขุยตรงหน้าอกและด้านหลัง ด้านซ้ายและขวาปักลายหม่าง[10] บริเวณเข่าก็ปักลายหม่างเช่นกัน ต่างก็เพียงพาดเป็นแนวนอน ช่วงเอวรัดหลวนไต้[11] เท้าสวมรองเท้าหนังสัตว์สีดำย่างสามขุมไปยังประตูซุ่นเจินเหมิน[12] ด้วยท่าทางดุดันเปี่ยมอำนาจ ชวนให้ผู้คนตื่นกลัวจนถอยห่างหลบเลี่ยงตามจิตใต้สำนึก
อวี่ฉีลูบขอบถ้วยเชื่องช้า พลางหรี่ตาลอบสังเกตอีกฝ่ายจากที่ไกล ๆ
ถึงแม้จะมองเห็นองคาพยพบนหน้าไม่ชัด แต่ยังรับรู้ได้ว่าดวงหน้าของเขาอึมครึม แม้สีหน้าจะไร้อารมณ์ แต่แววตากลับเย็นชา ไม่รู้ว่าเป็นท่าทางปกติของเขาหรือตงฉ่างเกิดเรื่องกันแน่
ทั้งที่เธอมองเขาเพียงครู่สั้น ๆ ด้วยระยะห่างเท่านี้ เขายังอุตส่าห์หันกลับมองมาทางเธอคล้ายรับรู้ได้อีก สายตาของอีกฝ่ายคมปลาบดุจกระบี่ แพขนตาสีดำเรียวยาวราวกับน้ำค้างแข็ง
ครั้นถูกสายตาเย็นเยียบที่กวาดมองมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ขนาดอวี่ฉีก็ยังอดตัวแข็งทื่อไม่ได้ ทว่าพริบตาต่อมาเธอก็กลับมารักษาท่าทางเรื่อยเฉื่อยตามเดิม
อวี่ฉีค่อย ๆ ยกถ้วยชาลายดอกเบญจมาศขึ้นมาจิบอึกหนึ่งอย่างสง่างาม แล้วช้อนตามองเขากลับไปด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากนั้นถึงเก็บสายตากลับมามองขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายแทนไปเสียเฉย ๆ
สามารถอยู่ปรนนิบัติรับใช้เบื้องพระพักตร์ได้ เกรงว่าต่อให้อายุน้อยก็ไม่อาจดูแคลน คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดคน ฉลาดล้ำยิ่งกว่าใคร ขันทีที่ชื่อจางเต๋ออันผู้นี้พอเห็นฮ่องเต้สนพระทัยตนเองก็รีบอุ้มกรงนกที่ทำจากไม้สลักเข้ามาประจบประแจงอย่างกระตือรือร้น “ว่านซุ่ย[13] ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ นกฮว่าเหมย[14] ตัวนี้ขนหัวสีน้ำตาลแน่นละเอียดนัก คิ้วของมันก็ขาวราวหิมะ ตัดกับสีขนบนหัวดูงดงามยิ่ง ผู้คนนอกวังตั้งฉายาอันดีงามให้มันว่า ‘ไป๋เฝิ่นถาง[15]’ กระหม่อมคัดเลือกมาอย่างยากลำบากกว่าจะได้มาพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉีไม่มีแก่ใจมาสนเรื่องพวกนี้ จึงทำเพียงแหย่นกเล่นคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอ่ยชมเสียงเรียบว่า “ไม่เลว ลำบากเจ้าแล้ว”
ทุกคำพูดของฮ่องเต้มีค่าประดุจทองคำ ต่อให้เป็นเพียงคำชมง่าย ๆ ประโยคเดียวโดยไม่ให้รางวัลสักชิ้น ก็ทำให้จางเต๋ออันยิ้มยิงฟันจนตาหยีได้แล้ว คนในวังล้วนชอบประจบเข้าหาผู้มีหน้ามีตา พอได้รับคำชมจากผู้เป็นนายก็ถือว่าตนเองหน้าใหญ่คับฟ้า สมควรแก่การลำพองใจเป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็จะมีคนพร้อมก้าวเข้ามาคอยเอาอกเอาใจเสมอ
จางเต๋ออันรีบยื่นนกส่งให้นางกำนัลด้านข้าง ยิ้มน้อย ๆ พลางขยับตัวเข้ามาเอ่ยประจบต่อ “สามารถได้รับคำชมจากว่านซุ่ย ถือว่าเป็นบุญวาสนาไปอีกแปดชาติของมัน และยังเป็นบุญวาสนาไปอีกแปดร้อยชาติของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ไกลออกไป ฉีอวิ๋นเยี่ยนยังคงมองมาทางนี้อย่างเฉยชา ความเฉียบแหลมในสายตาล้วนถูกเก็บกลับไปหมดแล้ว มือหนึ่งไพล่หลัง ลำตัวตั้งตรงท่ามกลางเหล่าขันทีที่ก้มโค้งตามติดมาเป็นขบวน ประดุจต้นไม้หยกในตำหนักเหยาฉือ[16] ราวกับป่าไผ่ที่สูงตระหง่าน สีหน้าสงบนิ่งไร้ระลอก ไม่เหมือนผู้มีอำนาจสั่งการตงฉ่าง แต่คล้ายบัวหิมะเทียนซานไร้มลทินที่ผุดพ้นจากโคลนตมเสียมากกว่า
รูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นี้เป็นยอดอาวุธที่ใช้หลอกลวงผู้คนได้ดีที่สุด
เขาก้มใบหน้าลงต่ำ หมุนแหวนหยกบนนิ้วอย่างเบามือคล้ายขบคิดบางอย่าง ครู่ถัดมาถึงมีระลอกคลื่นปรากฏในดวงตา ฉีอวิ๋นเยี่ยนกวาดสายตาไปยังเหล่าขันทีเบื้องหลัง คนเหล่านั้นก็เข้าใจได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องออกคำสั่ง รีบก้าวจากไปอย่างว่องไวเป็นระเบียบ เหลือเพียงขันทีในชุดปักลายหม่างอีกคนที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังเขาที่เดิม
ถึงแม้ว่าฝ่ายสนับสนุนเบื้องหลังของจ้าวไทเฮาจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่พระนางก็เป็นแค่ไทเฮา มีหรือจะสู้อำนาจโดยชอบธรรมของฮ่องเต้หญิงที่เพิ่งครองราชย์ได้ ที่สำคัญบุญวาสนาของจ้าวไทเฮาสักวันก็ต้องสิ้นสูญ ฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงจำต้องหาต้นไม้ใหญ่ไว้พักพิงล่วงหน้า และตัวเลือกอันดับหนึ่งของเขาก็คือบุคคลที่อยู่เบื้องหน้านี้เอง
ฉีอวิ๋นเยี่ยนยกยิ้มบาง ๆ มือไพล่หลังอย่างสุขุมเยือกเย็น พลางเดินไปตามทางที่มุ่งสู่ศาลารับลม แสงตะวันอบอุ่นค่อย ๆ อาบไล้บนใบหน้าเสี้ยวหนึ่งของเขา สะท้อนรอยยิ้มบางเบาบนมุมปาก ประกายระยิบระยับในดวงตามีเสน่ห์ที่สามารถมอมเมาใจผู้คน
ภายในวังหลวงอันวิจิตรงดงามและเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บแห่งนี้ เขาคล้ายอสรพิษสีสันแพรวพราวตัวหนึ่งที่เลื้อยอย่างเชื่องช้า ใช้รูปลักษณ์ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นกับสีหน้าอันอบอุ่นล่อลวงผู้คน หลอกล่อให้ผู้มีศักดิ์ฐานะสูงส่งทั้งหลายยินยอมมอบอำนาจและอิทธิพลแก่เขาด้วยความเต็มใจ
[1] ศิลาฮั่นไป๋อวี้ (หินหยกขาว) เป็นวัสดุที่เกิดจากการสะสมของหินปูนชนิดหนึ่ง มีสีขาวคล้ายหยก และในเนื้อหินมีประกายอยู่ในตัว เริ่มนิยมนำมาใช้สร้างบันไดและรั้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น จึงถูกเรียกว่าฮั่นไป๋อวี้ ที่แปลว่าหยกขาวในสมัยฮั่น
[2] ลายสามเหลี่ยมหลิงฮวาหกกลีบ เป็นรูปแบบของการก่อสร้างสมัยโบราณ ใช้รูปดอกหลิงฮวา (ดอกกระจับ) หกกลีบสลักลงบนไม้ต่อกัน แต่ละช่องเป็นทรงสามเหลี่ยม พบเห็นได้ในบานประตูและหน้าต่างของพระราชวังสมัยราชวงศ์ชิง
[3] สี่ตำราห้าคัมภีร์ ได้รับการยกย่องให้เป็นยอดตำราความรู้ในลัทธิขงจื๊อ แบ่งออกเป็นตำราทั้งสี่ ได้แก่ ตำราต้าเสวีย (มหาบุรุษ) ตำราจงยง (สายกลาง) คัมภีร์หลุนอวี่ (รวมคำสอนขงจื๊อ) และตำราเมิ่งจื่อ (รวมคำสอนเมิ่งจื่อ) และห้าคัมภีร์ประกอบด้วย คัมภีร์อี้จิง (ว่าด้วยโหราศาสตร์) คัมภีร์ซ่างซู (ว่าด้วยประวัติศาสตร์) คัมภีร์ซือจิง (บันทึกรวมบทกวี) คัมภีร์หลี่จี้ (บันทึกจารีต) และคัมภีร์ชุนชิว(บันทึกพงศาวดาร)
[4] ฉูจวิน หมายถึง ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้หรือตำแหน่งอ๋องเจ้าเมือง มีความหมายเทียบเท่าองค์รัชทายาท แต่คำว่าองค์รัชทายาท มักใช้กับผู้ที่เป็นบุรุษเท่านั้น
[5] เน่ยเก๋อ หมายถึง คณะขุนนางตำแหน่งพิเศษที่จัดตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง สามารถเรียกได้ว่าเป็นสำนักราชเลขาธิการ มีหน้าที่กลั่นกรองเอกสารที่หน่วยงานราชการถวายต่อฮ่องเต้ และมีอำนาจร่างราชหัตถเลขา อำนาจเทียบเท่ากับเสนาบดีทั้งหกกรม
[6] ขุนนางฝู่เฉิน เป็นตำแหน่งขุนนางซึ่งทำหน้าที่ช่วยฮ่องเต้บริหารราชการแผ่นดิน ส่วนมากแล้วได้รับการแต่งตั้งมาจากเสนาบดีทั้งหกกรมหรือจากขุนนางสำนักเน่ยเก๋อ
[7] ซือหลี่เจียน หมายถึง หน่วยงานพิเศษซึ่งมีสมาชิกเป็นขันทีอยู่ภายในวังหลวง มีหน้าที่ตรวจงานราชการถวายฮ่องเต้ ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่คล้ายสายลับเพื่อสอดส่องดูแลฝ่ายใน
[8] ตงฉ่าง หรือหน่วยบูรพา หมายถึงหน่วยงานลับพิเศษที่จัดตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ควบคุมกำกับดูแลโดยขันที มีอำนาจตรวจตราการกระทำความผิดของขุนนางทั้งฝ่ายในและฝ่ายนอก มีหน้าที่คล้ายตำรวจหลวง
[9] ฉีตูจู่ หรือผู้บัญชาการฉี ในที่นี้เป็นผู้บัญชาการหน่วยตงฉ่างแซ่ฉี
[10] หม่าง หมายถึง มังกรแบบหนึ่ง ในสมัยโบราณจีนมีความเชื่อว่า มังกรมีห้าเล็บ หม่างมีสี่เล็บ ลายปักบนชุดขุนนางบ่งบอกถึงระดับขั้น หม่างหรือมังกรสี่เล็บคือตำแหน่งสูงสุด อำนาจเป็นรองเพียงฮ่องเต้ที่สามารถสวมลายปักมังกรห้าเล็บได้
[11] หลวนไต้ หมายถึง เข็มขัดโบราณประเภทหนึ่ง เป็นแบบผูก มีลักษณะกว้าง และมีชายสองด้าน
[12] ซุ่นเจินเหมิน เป็นประตูท้ายวังที่เหล่านางข้าหลวงทั้งปวงจะได้ไปเจอญาติพี่น้องที่มาเยี่ยมเยียน
[13] ว่านซุ่ย หมายถึง พระผู้ทรงมีพระชนมายุยืนนานนับหมื่นปี
[14] นกฮว่าเหมย หรือ นกฮวยบี๊ เป็นนกร้องเพลงชนิดหนึ่ง ลำตัวมีสีน้ำตาลอมแดง รอบดวงตาเป็นสีขาวและลากยาวออกไปเหมือนคิ้ว จึงถูกเรียกว่านกฮว่าเหมย (เขียนคิ้ว)
[15] ไป๋เฝิ่นถาง แปลว่า แป้งผัดหน้าสีขาว
[16] ตำหนักเหยาฉือ หมายถึงตำหนักของเจ้าแม่ซีหวางหมู่ (เจ้าแม่แดนสระทิพย์) ผู้เป็นฮองเฮาสวรรค์