ตอนที่ 13.2 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

ฉีอวิ๋นเยี่ยน

2

 

   ฉีอวิ๋นเยี่ยนถือชายชุดเย่ซา[1] ยกรองเท้าหนังเหยียบย่างขึ้นบันไดหินฮั่นไป๋อวี้เข้าไปในศาลาเชียนชิว [2] เมื่อมาถึงเบื้องพระพักตร์ก็ค้อมกายถวายบังคมอย่างนอบน้อมเป็นที่สุด “ถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

เพราะอยู่ในตำแหน่งระดับสูงมานาน แม้เขาจะแสดงท่าทีนอบน้อมเพียงใด บนร่างกายก็ยังประดับด้วยบารมีอยู่หลายส่วน ต่อให้ก้มศีรษะอันสูงส่งต่อหน้าผู้สืบราชบัลลังก์ เขากลับแตกต่างจากจางเต๋ออันที่เป็นขันทีทั่วไปอยู่ดี ช่วงหลังเหยียดตรง ยืนตระหง่านตรงหน้าประดุจต้นสน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่ถูกตอนเลยแม้แต่น้อย 

เวลานี้เนื้อเรื่องยังเดินไปไม่ถึงตอนที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนผู้นี้กลายเป็นพวกเดียวกับฮ่องเต้หญิง ถ้าร่างนี้ยังถูกเจ้าของร่างเดิมควบคุมอยู่ละก็ เกรงว่าคงไม่มีทางไว้หน้าคนสนิทของจ้าวไทเฮาที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นแน่

แต่อวี่ฉีไม่ทำเช่นนั้น ขนาดฉีอวิ๋นเยี่ยนยังดีดลูกคิดในใจไว้เแล้ว มีหรือเธอจะไม่ตระเตรียมแผนการอะไรเอาไว้ในใจเลยเช่นกัน

เธอยิ้มมุมปากทอดมองคนเบื้องหน้า พลางยกมือส่งสัญญาณให้เขาลุกขึ้น แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เมื่อครู่นี้เจิ้นเห็นฉีตูจู่นำกลุ่มคนไปทางประตูซุ่นเจินเหมิน ออกนอกวังเพลานี้มีเรื่องเร่งร้อนอันใดต้องกระทำงั้นหรือ”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ค่อย ๆ ช้อนตามอง นัยน์ตาเรียวยาวกระจ่างใสดั่งผิวน้ำ หางตาที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยดูมีเสน่ห์จนไม่อาจเขียนพรรณนา ช่างสามารถดึงดูดใจผู้คนได้อย่างน่าอัศจรรย์ “กราบทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านี้กระหม่อมต้องออกไปจัดการเรื่องเล็กน้อยทั่วไปนอกวังก็จริง แต่ก็มิใช่เรื่องรีบร้อนอันใด มอบหมายให้ผู้อื่นไปจัดการแทนคงไม่ต่างกันพ่ะย่ะค่ะ”

เอ่ยจบก็ยืดตัวตรง แล้วรับเอากรงนกจากมือนางกำนัลข้างกายจางเต๋ออันอย่างเป็นธรรมชาติ หยอกล้อเจ้า ‘ไป๋เฝิ่นถาง’ ด้วยท่าทางผ่อนคลายอยู่หลายที ไม่ได้ตื่นตระหนกลนลานยามอยู่เบื้องพระพักตร์เหมือนอย่างข้ารับใช้ทั่วไปแม้แต่น้อย นี่มิใช่ความอ่อนน้อมถ่อมตนเยี่ยงพวกบัณฑิต แต่เป็นความสงบอันหนักแน่นที่เกิดจากความคุ้นชินเท่านั้น

อวี่ฉีสังเกตเห็นมือเรียวยาวที่โผล่พ้นออกมานอกแขนเสื้อทรงผีผา[3] ของอีกฝ่ายอยู่รำไร กระดูกข้อมือเขาเล็กบางราวอิสตรีอยู่หลายส่วน ไม่เหมือนกับบุรุษทั่วไปที่มักบึกบึนแข็งแรงเลยสักนิด

เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูสนอกสนใจนกตัวนี้อยู่บ้าง อวี่ฉีจึงยกมันมาเป็นหัวข้อสนทนา “เจิ้นได้ยินมาว่าฉีตูจู่มีความรู้ด้านการล่าสัตว์อย่างกว้างขวาง ไม่สู้ช่วยตรวจสอบแทนเจิ้นดูสักหน่อยรึว่า ‘ไป๋เฝิ่นถาง’ ตัวนี้เป็นเช่นไร”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนคืนกรงนกลายสลักให้จางเต๋ออัน แพขนตาบางยาวสีดำขลับหลุบลงช้า ๆ เกิดเป็นเงาเลือนราง ใต้ดวงตา หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็แย้มรอยยิ้ม ทำให้ระลอกคลื่นในแววตากระเพื่อมไหวเล็กน้อย “ฝ่าบาท ท่านต้องการฟังความจริงแท้หรือเรื่องโกหกเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

น่าขันนัก คนอย่างเขาน่ะชั่วร้ายทั้งนิสัยและจิตใจ ไม่ได้เป็นบ่าวที่ภักดีมีคุณธรรมอะไรทั้งนั้น ยังมีหน้ามาถามเธอตรง ๆ ได้อีกนะว่าอยากฟังเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก ถ้าอยากรู้ความจริง เขาจะยอมเปิดปากพูดหรือ แถมทั้งชีวิตนี้เขาเคยพูดความจริงบ้างรึเปล่าเถอะ!

ครั้นคิดไปมาหลายตลบ ใบหน้าของอวี่ฉีก็พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้น “แน่นอนว่าต้องเป็นความจริง” เธองอนิ้วชี้ขึ้นแล้วเคาะโต๊ะเบา ๆ พลางกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ไม่ใช่แค่ยามนี้ ไม่ว่ายามใด เจิ้นก็ต้องการให้เจ้ากล่าววาจาอย่างตรงไปตรงมา นับแต่ก่อตั้งจวบจนบัดนี้ ตงฉ่างคือดวงตาที่คอยสอดส่องแผ่นดินนี้แทนเจ้าชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่า เจิ้นย่อมหวังให้ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งตงฉ่างตูจู่[4]ปฏิบัติต่อเจิ้นโดยไม่ปิดบังปลิ้นปล้อน มิเช่นนั้นการดำรงอยู่ของตงฉ่างจะมีไปเพื่อการใด จริงหรือไม่ หรือฉีตูจู่มีความเห็นว่าเช่นไร”

คำพูดกึ่งตีสนิทกึ่งคุกคามนี้ ไม่ได้ทำให้ฉีอวิ๋นเยี่ยนแสดงท่าทางกังวลใจเลยสักกระผีกริ้น เขายังคงรักษาอิริยาบถอันสุขุม แล้วน้อมตัวลงประสานมือคารวะเธออย่างช้า ๆ “ในเมื่อได้รับเบี้ยหวัดจากผู้เป็นนาย กระหม่อมย่อมต้องจงรักภักดี ต่อให้มีฐานะเป็นเพียงขันทีในวังก็ย่อมต้องเข้าใจหลักการข้อนี้ดี กระหม่อมอยู่ในตำแหน่งนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงคำครหานินทา แต่เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยกล่าวเท็จแม้เพียงครึ่งคำ มีแต่จะภักดีต่อฝ่าบาทด้วยใจ พร้อมถวายชีวิตรับใช้ฝ่าบาท แม้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงยากเหลือเกินที่จะได้รับความไว้วางพระทัย กระหม่อมไม่ขอปิดบังฝ่าบาท ความจริงแล้วกระหม่อมกลัดกลุ้มเรื่องนี้มาโดยตลอดจนเป็นทุกข์แสนสาหัสพ่ะย่ะค่ะ 

ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่เสียทีจริง ๆ ที่เป็นตัวร้ายหมายเลขหนึ่งของเรื่อง สามารถประจบเอาใจพร้อมกลับดำเป็นขาวได้ลื่นไหลขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนของจ้าวไทเฮาแท้ ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าโอดครวญอย่างทุกข์ตรมกล่าวโทษเธอว่าไม่ยอมเชื่อใจเขาแบบนี้

อวี่ฉีสำลักจนพูดไม่ออก ขมวดคิ้วอยู่นานกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “ใจที่จงรักภักดีของฉีตูจู่ เจิ้นได้รับรู้แล้ว” คำพูดนี้ ขนาดเธอพูดเองยังฟังแล้วรู้สึกฝืนเต็มกลืน ดังนั้นเธอจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อโดยพลัน “วันนี้อากาศไม่เลว ฉีตู่จู่ไปเดินเล่นในอุทยานเป็นเพื่อนเจิ้นก็แล้วกัน”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนหลุบตาลง ริมปีปากแดงชาดยกขึ้นเล็กน้อยขับเน้นความงดงามให้หยาดเยิ้มเพิ่มอีกหลายเท่าตัว “เป็นเกียรติของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

หลังได้ยิน อวี่ฉีก็พยักหน้าน้อย ๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปนอกศาลา หางตาเห็นอีกฝ่ายก้าวย่างตามมาด้วยท่าทีสบาย ๆ พร้อมรอยยิ้มบางมุมปาก ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจจนยากจะเอื้อนเอ่ย

ขณะเหลือบมองเงียบ ๆ เธอก็ลอบพึมพำเสียงเบาในใจว่า ‘หมอนี่เป็นปีศาจจริง ๆ ด้วย’

แม้จะบอกให้เดินเล่นในอุทยานเป็นเพื่อน แต่กฎระเบียบภายในวังก็ระบุไว้ชัดเจนว่า ระหว่างปรนนิบัติผู้เป็นนายนั้นไม่อนุญาตให้ผู้น้อยเดินกลางทางเดิน ถึงแม้ด้านนอกฉีอวิ๋นเยี่ยนจะทำตัวหยิ่งผยองจนเคยชิน แต่ในเวลาสำคัญเขาก็รู้แจ้งว่าสิ่งใดควรไม่ควร ยามนี้จึงได้แต่ก้าวตามหลังเธออยู่ข้างทางอย่างแช่มช้าห่างออกไปก้าวหนึ่งอย่างเหมาะสม

ทว่าการเดินไปด้วยกันแบบนี้ดูออกจะห่างเหินเกินไปหน่อย อวี่ฉีเลยทนปิดปากเงียบได้ไม่นาน

เธอหรี่ตาลง เลือกหัวข้อเรื่องมาชวนคุย “เมื่อครู่ที่คุยกันนอกเรื่องไปไกล ฉีตูจู่ยังไม่ได้กล่าวเลยว่า ‘ไป๋เฝิ่นถาง’ ที่เจิ้นได้รับมาวันนี้เป็นเช่นไร”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนเดินด้วยจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว เมื่อได้ยินอวี่ฉีถามก็ค่อย ๆ บ่ายหน้ามามอง ดวงตาที่มีระลอกคลื่นนั้นจับจ้องเธอแล้วเลื่อนจากไป มุมปากประดับยิ้มบางเบา “สามารถเข้ามาอยู่ในสายพระเนตรของฝ่าบาทได้ย่อมเป็นโอกาสที่หาได้ยาก” จากนั้นหางตาของเขาก็ชี้ขึ้น กระทั่งหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป “กระหม่อมขอไม่ปิดบังฝ่าบาท ไป๋เฝิ่นถางตัวนี้ถึงแม้จะมีลักษณะที่ดี แต่หากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนโดยไม่ทันตั้งตัวก็จะป่วย แล้วไม่อาจเยียวยาได้อีก อ่อนแอเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

อวี่ฉีได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองจางเต๋ออันแวบหนึ่งแล้วเลิกคิ้วขึ้น “เป็นเช่นนี้จริงหรือ”

ดวงหน้างามกระจ่างใสของขันทีตกใจจนซีดขาวในพริบตา ตั้งท่าเตรียมลงไปคุกเข่าโขกศีรษะขอรับโทษ ทว่ากลับถูกเธอยกมือขึ้นห้ามเอาไว้เสียก่อน “เห็นแก่ที่มีใจซื่อสัตย์ เจิ้นไม่โทษเจ้าหรอก”

เพิ่งกล่าวจบ ใจของอวี่ฉีก็เต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าฉีอวิ๋นเยี่ยนกำลังมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ หรือว่าเธอจะปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอ่อนโยนเกินไป เขาเลยจับสังเกตได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ทว่าเธอยังไม่ทันได้เริ่มคาดเดา อีกฝ่ายกลับค่อย ๆ เลื่อนสายตาออกไปเสียก่อน แสงตะวันสีทองอาบไล้เสี้ยวหน้าของเขา สะท้อนผิวขาวใสจนสว่างเรืองรองราวกับโปร่งแสง ฉีอวิ๋นเยี่ยนค่อย ๆ ยกมุมปาก เผยรอยยิ้มที่เจือความปวดร้าวกลัดกลุ้มใจอยู่สามส่วนออกมา

อวี่ฉีรออยู่นาน แต่อีกฝ่ายกลับไม่เปิดปากพูดอะไรเลยสักคำ จึงเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ “ฉีตูจู่มีคำพูดจะกล่าวหรือ”

เขาหลุบตาลงพลางสั่นศีรษะอย่างแผ่วเบา “กระหม่อมไม่ต้องการกล่าวสิ่งใด เพียงแต่ในใจค่อนข้างทุกข์ตรมก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

อวี่ฉีแหงนหน้ามองท้องนภา กลั้นแล้วกลั้นอีกถึงจะเอาคำพูด ‘คนที่อยู่เหนือคนนับหมื่นอยู่ใต้คนเพียงคนเดียว เรียกลมเรียกฝนได้อย่างนายน่ะ มีเรื่องอะไรให้ทุกข์ตรมตรงไหนไม่ทราบ’ ไหลกลับลงคอไปได้ แล้วถามอย่างแห้งแล้งว่า “ที่พูดเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนเลื่อนสายตาขึ้นมองเธอ แล้วค่อย ๆ เบือนหน้าไปทางอื่นพลางเอ่ยว่า “ถึงแม้กระหม่อมจะคุ้นเคยกับการไม่ได้รับความไว้พระทัยจากฝ่าบาท แต่วันนี้ หลังจากได้แสดงความจงรักภักดีอย่างเปิดเผยแล้ว เดิมทีกระหม่อมหลงคิดว่าฝ่าบาทจะเข้าพระทัยถึงความตั้งใจของกระหม่อม คิดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงนี้ พระองค์ยังต้องถามคนข้างกายก่อนถึงจะเชื่อในสิ่งที่กระหม่อมกล่าว แล้วอย่างนี้จะไม่ให้กระหม่อมปวดใจได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เขาก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ยจริงจังว่า “แม้กระหม่อมจะมิใช่ผู้ที่รับใช้ข้างกายฝ่าบาทมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แต่หากกล่าวถึงใจภักดีแล้ว กระหม่อมมิได้ด้อยไปกว่าผู้อื่นแน่นอน หากฝ่าบาทจะปฏิเสธด้วยเหตุผลเช่นนี้ กระหม่อมคงไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนก้มหน้าลงด้วยท่าทางหดหู่ รออยู่นานแล้วก็ยังไม่เห็นคนพูดอะไรกลับมาแม้แต่ครึ่งประโยค จิตใจจึงหล่นวูบเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ คิดไปว่าการแสดงออกครั้งนี้คงรีบร้อนเกินไป เลยให้ผลตรงกันข้าม

หลังความผิดหวังเล็ก ๆ ผ่านพ้นไป เขาก็สงบนิ่งลงในบัดดล แล้วเริ่มขบคิดว่าจะพลิกสถานการณ์เช่นไรดี แต่คาดไม่ถึงว่าข้างหูกลับได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นมาเสียก่อน

เขาอึ้งไป เงยหน้าขึ้นมองตามจิตใต้สำนึก และปะทะกับดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคู่หนึ่งโดยไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ

ไม่รู้ว่าฮ่องเต้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในรอบร้อยปีของต้าอวี้หยุดยืนนิ่งตั้งแต่เมื่อใด สองมือสอดในแขนเสื้อ เอียงศีรษะมองดูเขา รอยยิ้มบางเจือความหยอกล้อ

อวี่ฉีตั้งใจกดเสียงลงต่ำให้ฟังแหบพร่าชวนลุ่มหลง “ฉีตูจู่คงจะรู้สินะ ว่าคำพูดของเจ้าทำให้ผู้อื่นคิดไปเองได้ง่ายนัก”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนอึ้งไป ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา “พระดำรัสของฝ่าบาท หมายความเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

อวี่ฉีมองเขาด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไม่มีความหมายอะไร” เธอเลื่อนสายตาจากเขาไปยังศาลาเชียนชิวด้านหลังที่อยู่ไกลออกไป “เพียงแค่รู้สึกว่าคำพูดของฉีตูจู่ดูคับแค้นตัดพ้อเกินไปสักหน่อย จนไม่เหมือนขุนนางในปกครองของเจิ้น แต่ดูคล้ายพวกสนมชายในวังหลังของเจิ้นเสียมากว่า ไม่สิ ต้องเรียกว่าอะไรนะ ใช่ชายบำเรอหรือไม่”

คิ้วของฉีอวิ๋นเยี่ยนเลิกขึ้นเล็กน้อย สายตาค่อย ๆ หลุบลง แพขนตาสีดำสนิทปกปิดนัยน์ตาทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเห็นอารมณ์ในดวงตาของเขาได้ชัด แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียว เขาก็ค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแฝงความขมขื่น “ฝ่าบาท เรื่องเช่นนี้ไม่อาจล้อเล่นได้ คนที่ไม่สะอาดเช่นกระหม่อม เรียกว่าบุรุษก็ยังไม่ได้ แล้วจะไปเป็นคนอุ่นเตียงของฝ่าบาทได้อย่างไร เรื่องที่กระหม่อมรู้สึกละอายก็ให้แล้วกันไปเถิด หากให้เฟิ่งจวิน[5] ในอนาคตได้ยินเข้า เกรงว่าจะทรงโดนดูถูกได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

อวี่ฉีอึ้งไป จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เจิ้นยังไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยสักครั้ง เหตุใดฉีตูจู่ถึงได้ให้ค่าตนเองต่ำต้อยถึงเพียงนั้นเสียเองเล่า”

เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนค้อมตัวลงต่ำทำท่าประสานมือ “ฝ่าบาทไม่ทรงรังเกียจกระหม่อม เป็นเพราะพระทัยของฝ่าบาทนั้นเปี่ยมไปด้วยพระกรุณา ปฏิบัติต่อผู้อยู่เบื้องล่างอย่างเมตตาอ่อนโยน แต่กระหม่อมไม่อาจหลงลืมฐานะของตนเองได้พ่ะย่ะค่ะ

เดิมทีอวี่ฉีรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายแตกต่างจากเหล่าขันทีที่ชอบก้มหน้าหลังค่อมเอาแต่ยิ้มประจบประแจงพวกนั้น แต่เธอก็ยังประเมินเขาต่ำไป ถึงท่าทางการแสดงออกของเขาจะผึ่งผายน่าเกรงขาม ทว่าส่วนล่างก็ขาดบางสิ่งที่บุรุษพึงมี ในใจเขาคงเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างที่สุด หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็อาจเหยียบบาดแผลพวกนั้นของเขาได้ ครั้งต่อไปเธอต้องรอบคอบยิ่งกว่านี้ จะได้ไม่ผิดพลาดอย่างรอบนี้อีก

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชีวิตขันทีนั้นต้องชิงดีชิงเด่นกันเพื่อให้ได้รับความโปรดปราน ในเส้นทางเดินมีเพียงต้องพูดหรือทำสิ่งที่องค์ฮ่องเต้ชื่นชอบและพอพระทัยเท่านั้น ฉีอวิ๋นเยี่ยนเองก็เดินตามเส้นทางที่ให้ผลสูงสุดนี้ด้วยเช่นกัน