ฉีอวิ๋นเยี่ยน
3
ผ่านไปไม่กี่วัน ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็สั่งให้ขันทีน้อยนำนกหลานเตี้ยนเขอ[1] ตัวหนึ่งมาส่ง หลังผ้าคลุมสีฟ้าถูกดึงออกไป กรงนกสีเหลืองอ่อนที่ดูหรูหรามีมูลค่าใบหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา ในกรงมีผ้ารองซับสีขาวสะอาดเอาไว้ใช้รองมูลนก ด้านข้างยังมีพลั่วงาช้างยาวสี่ชุ่นประดับอยู่ด้วย งานฝีมือประณีตอ่อนช้อยเช่นนี้ ต่อให้ยลแค่กรงไม่ต้องเห็นตัวนก ก็ชวนให้รู้สึกเจริญตามากพอแล้ว
ไป๋เฝิ่นถางที่จางเต๋ออันนำมาเมื่อคราก่อนนั้นเป็นนกฮว่าเหมยที่จำต้องเลี้ยงดูในกรงชั้นดี พอจับคู่กับกรงไม้สลักลายในครั้งก่อนก็นับว่าไม่เลวอยู่หรอก แต่หากเทียบกับกรงนกที่ฉีตูจู่ส่งมาถวายแล้ว กลับดูด้อยกว่าอย่างชัดเจน ทำเอากรงนกทรงถังน้ำชั้นดีชิ้นนั้นดูกระจอกไปเลยตอนที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนมาถึง อวี่ฉีกำลังนั่งดูปลาอยู่ที่ศาลาเฉิงรุ่ย[2] ซึ่งอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอุทยานดอกไม้ โดยมีขันทีสองคงค้อมเอวโปรยอาหารปลาอยู่ด้วย ตรงกลางสระมีมัจฉาล้ำค่าหลากชนิด อาทิ หลงจิง[3] ซือโถว[4] วั่งเทียน[5] หรงฉิว [6] และอื่น ๆ แหวกว่ายปะปนกันอย่างซุกซน
ครั้นเห็นเขาก้าวเข้ามาถวายบังคม อวี่ฉีก็ส่งเสียงเอ่ยว่าไม่ต้องมากพิธีอย่างเกียจคร้าน พลางยกมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกขันทีทั้งสองที่ให้อาหารปลาอยู่นั่นหยุดมือ
อันที่จริงต่อให้ผู้มาเยือนในยามนี้จะเป็นขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก เธอก็ยังสามารถรับมือได้สบาย ๆ แม้จะชื่นชมฝูงปลาต่อไป ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าห้ามเธออยู่แล้ว ฉะนั้นถึงเธอจะไม่ได้ทำสิ่งใดเป็นพิเศษในเวลานี้ ก็นับว่าไว้หน้าอีกฝ่ายมากเกินพอแล้ว
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเป็นคนฉลาดหลักแหลม ข้อดีของการคบค้าคนเช่นนี้ก็คือ เขาจะมองออกว่าคุณไว้หน้าเขาอยู่ หากปฏิบัติวิธีนี้กับคนไร้สติปัญญา ต่อให้ยอมถอยแล้วถอยอีก ก็เป็นเพียงการดีดฉินให้วัวฟังเท่านั้น
เห็นขันทีสองคนนั้นเก็บมือยืนค้อมกายดีแล้ว หางตายาวของฉีอวิ๋นเยี่ยนก็ชี้ขึ้นเล็กน้อย เขารับกรงนกมาจากมือข้ารับใช้ด้านหลังอย่างสง่างาม หันดวงตาดำมะกอกเปล่งประกายที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มมามองเธอ “นี่คือนกหลานเตี้ยนเขอที่กระหม่อมพูดถึงเมื่อคราวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉียิ้มอย่างรู้ทัน เธอใช้ปลายนิ้วแหย่นกพลางกล่าวว่า “เจิ้นจำได้ ฉีตูจู่ยังเคยบอกอีกว่ามันสามารถเลียนเสียงร้องของนกตัวอื่น ตั๊กแตน หรือกระทั่งจิ้งหรีดได้ด้วย เจิ้นพูดถูกหรือไม่”
“ความจำของฝ่าบาทแม่นยำนักพ่ะย่ะค่ะ ไม่ผิดไปแม้แต่คำเดียว”
ปกติขันทีที่สามารถไต่เต้ามาถึงตำแหน่งนี้ได้ล้วนปากหวานจนน่าขนลุกอยู่แล้ว แต่ฉีอวิ๋นเยี่ยนผู้นี้กลับพูดคำหวานเลี่ยนได้สมจริงเสมือนออกมาจากใจ ทั้งสายตาท่าทางแสดงได้เท่าไรก็ใส่หมดไม่มีกั๊ก ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
อวี่ฉีพิจารณาแล้วว่าเธอไม่อาจสู้เขาได้ในด้านนี้ แต่ยังไงซะเธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องเอาชนะเขาอยู่แล้ว จะใช้กระบวนท่าโจมตีกันไปมาเพื่ออะไร เป็นการลดตัวไปเปล่า ๆ ดังนั้นหญิงสาวจึงทำเพียงยิ้ม แล้วก้มตัวลงน้อย ๆ หรี่ตาลงมองดูนกพลางกล่าวว่า “บุปผางามยามสดใหม่ มองดูไปแล้ว เจ้านกนี่คงเพิ่งฟักออกมาเมื่อปีที่แล้วกระมัง” เธอเว้นช่วงครู่หนึ่งแล้วยิ้มน้อย ๆ “นกตัวนี้สีคิ้วโดดเด่น ช่วงอกมีลายสีน้ำเงินเก้าเส้น ช่างหาดูได้ยากจริง ๆ ฉีตูจู่คงทุ่มเทกำลังไปไม่น้อย”
“ฝ่าบาทไม่รังเกียจก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาคลี่ยิ้ม ใบหน้ายังคงความสุขุมเหมือนเก่า ทว่าเมื่อเห็นฮ่องเต้เอาแต่ก้มตัวเล่นกับนกอยู่ตลอด ภายในใจก็อดจะกระอักกระอ่วนขึ้นมาไม่ได้
เดิมทีมีกฎให้ขุนนางต้องค้อมเอวถวายการคำนับฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้ย่อมไม่มีวันมาค้อมกายอยู่หน้าขุนนาง แม้ว่าพระองค์จะก้มตัวเพราะต้องการเล่นกับนก แต่หากผู้อื่นมาเห็นเข้าย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ ต่อให้ไม่มีผู้ใดกล้าปากมากนินทาเขาลับหลัง แต่ด้วยฐานะขันทีของเขา จะสามารถรับการโค้งตัวที่คล้ายการคำนับจากฮ่องเต้ได้อย่างไร เกรงว่าคราวนี้เขาจะต้องอายุสั้นไปอีกหลายปีเป็นแน่แท้ ทว่าเวลานี้พระองค์กำลังสนุกสนานอยู่ การสั่งคนให้เอากรงนกไปแขวนเสีย ก็ดูจะสะดุดตาเกินไป ดังนั้น ฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงทำได้เพียงค่อย ๆ ถือกรงให้สูงขึ้นเล็กน้อยโดยพยายามไม่ให้ผิดสังเกต
หลายปีมานี้ ฐานะตำแหน่งของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ผิดกับชะตากรรมยามเข้าวังมาใหม่ ๆ ที่ต้องแบกรับทั้งความทรมานและเหนื่อยยาก เขาทำอะไรตามใจตัวเองมานาน จึงกลับมาทำงานปรนนิบัติรับใช้ใหม่อีกครั้งไม่ค่อยไหว เพียงถือกรงนกได้ไม่นานข้อมือก็เริ่มปวดแปลบเอาเสียแล้ว ขันทีน้อยทางด้านหลังมองออกเลยคิดจะก้าวมาทำหน้าที่แทน แต่กลับถูกเขาตวัดสายตาห้ามเอาไว้ก่อน ต่อให้เจ้าชีวิตตรงหน้าจะดูอ่อนโยนเพียงใด แต่ก็เป็นคนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเลี้ยงดูมาในฐานะผู้สืบทอดบัลลังก์ ไม่มีทางมีนิสัยอ่อนแอจนคนรังแกได้อย่างองค์หญิงรุ่ยอันแน่ ในยามนี้พระองค์ยิ้มอยู่ก็จริง ทว่าการยืนเคียงข้างฮ่องเต้ก็เหมือนยืนเคียงพยัคฆ์ จะประมาทเลินเล่อไม่ได้เป็นอันขาด หากกล้าหย่อนยานต่อหน้าผู้กุมชีวิตท่านนี้ ไม่รู้ว่าพริบตาต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ระมัดระวังรอบคอบสักหน่อยจะดีกว่า
หางตาอวี่ฉีเห็นพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพวกเขา ภายในใจบังเกิดความเข้าใจเรื่องราวไปแล้วสามส่วน ทว่าเธอก็ยังแสร้งตีสีหน้าไม่รู้ไม่เห็น จงใจเล่นกับนกต่อไม่ยอมหยุด
ฉีตูจู่ที่มีร่างกายแสนล้ำค่า แทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว มือที่ถือกรงนกค่อย ๆ ลดระดับลงเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว จังหวะที่กรงนกเลื่อนต่ำกว่าหัวไหล่นั่นเอง อวี่ฉีก็ยื่นมือคล้ายไม่ใส่ใจ แสร้งบังเอิญไปรองใต้กรงนกอย่างพอดิบพอดี พร้อมส่งสายตาที่ประดับรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มให้คนตรงหน้าโดยไม่พูดสิ่งใด เพียงอมยิ้มน้อย ๆ มองดูเขาเช่นนี้
การยิ้มโดยไม่พูดอะไรเช่นนี้คือวิธีข่มขู่คนที่ดีที่สุด ในใจฉีอวิ๋นเยี่ยนพลันตื่นตระหนก รีบร้อนก้มศีรษะลงกล่าวขออภัยโทษ
อวี่ฉีโบกมือสื่อว่าไม่จำเป็น จากนั้นก็รับเอากรงนกจากมือเขาแล้วยื่นมันให้ขันทีด้านหลัง “เจิ้นเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น” เธอเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มน้อย ๆ มองเขา “แต่ดูเหมือนร่างกายของฉีตูจู่จะเปราะบางไปสักหน่อย เป็นเช่นนี้ต่อไป หากอายุมากแล้วจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้เป็นสิบเท่าเอาได้นะ”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนอึ้งไปครู่หนึ่ง แพขนตาสีดำสนิทหลุบลง ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับคำพูดนี้เช่นไรดี
เป็นบ่าวรับใช้ หากทำงานเต็มความสามารถ ผู้เป็นนายเพียงกล่าวชมสักหลายประโยคแล้วตกรางวัลเล็กน้อยก็แล้วกันไป ไม่มีผู้สูงศักดิ์คนใดจะมาใส่ใจสภาพร่างกายของข้าทาสบริวารเช่นนี้
หลังสองจิตสองใจอยู่นาน ฉีตูจู่ยังคงไม่อาจทำความเข้าใจความคิดของฝ่ายตรงข้ามได้กระจ่างชัดนัก จึงได้แต่กล่าวรับคำอย่างเชื่องช้าไปคำหนึ่ง
อวี่ฉีค่อย ๆ ขยับยิ้มอย่างไม่รีบร้อน ก่อนเก็บมือหันกายเดินไปตามทางที่ปูด้วยหินและมวลบุปผา ยกเรื่องทั่วไปมาพูดเล่นไปพลาง “งานที่ได้รับมอบหมายเป็นเรื่องพึงกระทำก็จริง แต่เจ้าควรให้ความสำคัญกับร่างกายตนเองด้วยเช่นกัน” แถมคนที่ช่วงล่างผ่านคมมีดมาแล้ว กระดูกย่อมเปราะบางกว่าคนทั่วไป หากไม่ได้ออกกำลังกายทุกวัน แก่ตัวไปคงจะลำบากไม่น้อย แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้จริง ๆ ต่อให้มีเจตนาดีแค่ไหนก็คงไม่แคล้วล่วงเกินเขาแน่ ๆ อวี่ฉีเลยตัดสินใจไม่พูดต่อ เพียงอมยิ้มแล้วเอ่ยวาจาที่น่าฟังออกมาแทน “วันนี้ฉีตูจู่อายุยังน้อย เส้นทางในวันหน้ายังอีกยาวไกล ยามนี้หมั่นออกกำลังให้มากจะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้า”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเดินตามหลังฮ่องเต้ช้า ๆ ในตำแหน่งไม่ใกล้ไม่ไกล เขาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้าอยากสื่อเท่าไรนัก ทว่าคำพูดนี้กลับสัมผัสความคุกคามไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันคล้ายกำลังพูดเรื่องสัพเพเหระทั่วไปเสียมากกว่า ทุกถ้อยวจีล้วนชวนให้รู้สึกสนิทสนมใกล้ชิด ราวกับกำลังคุยเล่นอยู่กับบ่าวคนสนิท ถึงจะเหมือนกล่าวลอย ๆ แต่ก็เตือนสติอยู่ในที
ฉีตูจู่ผู้หลักแหลมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็สรุปออกมาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการดึงตนเป็นพวก หากอิงคำอธิบายนี้ก็พอเข้าใจได้ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงเลี้ยงดูอดีตองค์หญิงได้แตกต่างจากสตรีทั่วไปจริง ๆ วิธีดึงคนเป็นพวกของจ้าวไทเฮานั้นพลิกไปพลิกมาก็มีอยู่เพียงไม่กี่วิธี ไม่อาจเทียบกับสตรีผู้นี้ที่ใช้วาจาเพียงไม่กี่ประโยคสยบผู้คน
ผู้คนล้วนเข้าใจว่า เหล่าขันทีเมื่อสูญเสียส่วนล่างไปแล้วนั้นจะให้ความสำคัญกับเงินทองและอำนาจยิ่งขึ้น การคิดเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกต้อง จ้าวไทเฮาเคยชินกับการใช้เงินตราแลอำนาจมาชักจูงใจคนก็ไม่มีส่วนใดผิดเช่นกัน เพียงแต่วันนี้ต่างจากวันวาน ครั้นมายืนอยู่ในจุดนี้แล้ว ยังมีข้าวของหายากใดบ้างที่ตนไม่เคยเห็น สิ่งใด ๆ ล้วนมีในครอบครอง ไม่ใช่ของที่ควรค่าแก่การใส่ใจอีก
เมื่อเทียบกันแล้ว เจ้าชีวิตท่านนี้แม้จะไม่พูดถึงการตกรางวัล แต่จิตใจของพระองค์นั้นกว้างขวางกว่าจ้าวไทเฮามากนัก ที่สำคัญคือพระองค์มองข้ารับใช้ทั้งหลายเป็นคน แต่เจ้านายบางคนกลับไม่คิดเช่นนั้น พวกนางเห็นข้ารับใช้เหมือนสิ่งของ ไม่ว่าจะตกรางวัลเป็นสิ่งใดก็ล้วนรู้สึกเหมาะสม คนที่อยู่ใต้การปกครองต้องซาบซึ้งในพระคุณของพวกนาง แต่ใช่ว่าผู้อื่นจะชื่นชอบการยอบตัวหรือคุกเข่าเพื่อรางวัลไปเสียทุกคน
ในขณะที่กำลังคิดสะระตะอยู่นั้น ไม่รู้ว่าพระองค์ไล่นางกำนัลและขันทีข้างกายไปตั้งแต่เมื่อใด กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังก้มหน้างุดจนเห็นเป็นกลุ่มก้อนสีดำสนิท
ฉีอวิ๋นเยี่ยนมองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสนทนากับตนเป็นการส่วนตัว จึงขยับไปด้านหน้าครึ่งก้าว กดเสียงลงถามว่า “ฝ่าบาทมีเรื่องใดจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ”
อวี่ฉีเอียงศีรษะมองเขาเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ฉีตูจู่ช่างรู้ใจคนเสียจริง” เธอเงียบไปก่อนขมวดคิ้ว “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแต่คิดว่าช่วงนี้ซือหลี่เจียนของพวกเจ้าคงกำลังยุ่งกับงานที่ได้รับมอบหมายงานหนึ่ง”
ฉีตูจู่ยกยิ้ม “ที่ฝ่าบาทตรัส หมายถึงเรื่องการคัดเลือกราชบุตรเขยแทนองค์หญิงรุ่ยอันใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เธอยิ้มโดยไม่พูดอะไร เพียงยกมือขึ้นมาตบไหล่ของเขาเบา ๆ ด้วยท่าทางเชื่อใจยิ่ง “ในเมื่อตูจู่เข้าใจดี เจิ้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ”
ไม่มีผู้ใดในวังหลวงไม่รู้ว่าองค์หญิงหรงชางกับองค์หญิงรุ่ยอันนั้นไม่ถูกชะตากันตั้งแต่เด็ก ชนิดที่หากตนไม่ได้รับความสุข อีกฝ่ายก็อย่าหวังจะได้รับสิ่งดี ๆ แต่ใครจะรู้เล่าว่าองค์หญิงหรงชางจะได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ตั้งแต่ทรงพระเยาว์เช่นนี้
ฉีอวิ๋นเยี่ยนอยากหัวเราะอยู่บ้าง แต่จำต้องกลั้นไว้ พร้อมทำท่าประสานมืออย่างจริงใจ “ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจดี”
อวี่ฉีได้ยินก็หันไปมองเขานิ่ง ๆ ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมา
ฉีตูจู่เองก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นเช่นกัน เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเลือดเย็น หางตาที่ก่อนหน้านี้ชี้ขึ้นอย่างประจบเอาใจค่อย ๆ ตกลง ประกายตาอบอุ่นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นจัดประดุจน้ำแข็ง
รอยยิ้มนี้ของอวี่ฉีที่จริงแล้วเป็นการแสดงความขอบคุณ แต่ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงเข้าใจอะไรผิดไปไกลลิบ สงสัยเขาคงเอามาตรฐานของตัวเองมาวัดตัดสิน เลยเข้าใจว่ารอยยิ้มของเธอเป็นการเย้ยหยันและยินดีในหายนะขององค์หญิงรุ่ยอัน
เดิมทีเธอทำเรื่องนี้ไปด้วยใจที่คิดถึงพระเอกนางเอก แต่พอเจอรอยยิ้มของฉีอวิ๋นเยี่ยนเข้าไป ก็พลันรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมาป่าผู้ชั่วร้าย จิตใต้สำนึกจึงอดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ แม้แต่รอยยิ้มมุมปากที่เคยดูเป็นธรรมชาติก็ยังแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย
อวี่ฉีไอแห้ง ๆ ครั้งหนึ่ง มองดูกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย เป็นการส่งสัญญาณว่าให้ตามมาได้แล้ว
รอจนกระทั่งจางเต๋ออันมาถึงเป็นคนแรก อวี่ฉีถึงรู้สึกผ่อนคลายลง สองมือสอดกลับเข้าไปในแขนเสื้อพลางกล่าวลอย ๆ ว่า “หลายวันมานี้อากาศค่อนข้างร้อน อึดอัดเกินทน ขนมหวานที่ห้องเครื่องออกมาใหม่นั้นดับร้อนได้ดี ดูท่าพวกคนในนั้นจะทุ่มเทคิดสิ่งนี้ทั้งวัน ไม่รู้คิดอย่างไรถึงได้ใช้ผลแตง เม็ดบัว กับหูเถา[7] มาราดด้วยน้ำองุ่นและน้ำแข็งก่อนรับประทาน รสชาตินับว่าดีทีเดียว มีอีกหลายชามที่พวกเขาส่งมาแต่เจิ้นยังไม่แตะต้อง ฉีตูจู่ลองนำกลับไปชิมดูได้” เอ่ยจบก็ส่งสายตาให้จางเต๋ออัน คนผู้นี้พลันถอยหลังไปหลายก้าว หลังรับกล่องอาหารมาจากมือของนางกำนัลแล้วจึงค้อมกายกลับมาใหม่ แล้วส่งกล่องอาหารให้แก่ขันทีติดตามของฉีอวิ๋นเยี่ยน
ในวังมีเจ้านายหลายคนที่ชอบมอบอาหารและของหวานให้ข้ารับใช้ แต่สิ่งที่องค์ฮ่องเต้ตรัสนี้ไม่คล้ายนายที่ตกรางวัลให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเลย แต่กลับเหมือนสหายที่มอบของขวัญให้แก่กัน เช่นนี้แล้วเขาจะกล้ารับได้อย่างไร ต่อให้จะเป็นจากใจจริงหรือกำลังดึงเข้าเป็นพวก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่กล้ารับ เพียงแต่อีกฝ่ายลงมือรวดเร็วเกินไป ฉีอวิ๋นเยี่ยนยังไม่ทันได้ตอบโต้คิดเอ่ยปฏิเสธ กล่องอาหารก็ถูกยัดเข้ามาให้คนของตนเสียแล้ว
รอจนกระทั่งฮ่องเต้พาขบวนนางกำนัลและขันทีกว่าสิบคนจากไปอย่างยิ่งใหญ่ ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็มองดูกล่องอาหารที่อยู่ในมือผู้ติดตามด้านหลังแล้วถอนใจหายออกมาเเผ่วเบา
ผู้ที่ตามอยู่ด้านหลังของเขาคือขันทีปิ่งปี่ลำดับที่สามของหน่วยซือหลี่เจียน นาม ‘เว่ยจือเอิน’ เห็นหัวหน้าของตนเองเป็นเช่นนี้ ก็อดที่จะถามไม่ได้ “ฉีจ่างอิ้น[8] เหตุใดท่านจึงถอนหายใจเล่า ฝ่าบาททรงสร้างความลำบากใจให้ท่านหรือ” ทว่าท่าทีของฝ่าบาทเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างล้วนเป็นไปอย่างราบรื่นนี่
ฉีอวิ๋นเยี่ยนยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว “เปล่า ฝ่าบาทเพียงรับสั่งให้ข้าตั้งใจคัดเลือกราชบุตรเขยให้องค์หญิงรุ่ยอันให้มากหน่อยเท่านั้น” เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ “เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการแล้วกัน จงทำให้ดี ฉากหน้าอย่าให้ใครจับผิดได้”
ในใจเว่ยจือเอินนั้นเข้าใจไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน แต่ยังคงทำมือบุ้ยใบ้ลงไปด้านล่างอย่างระมัดระวัง “ความหมายของฝ่าบาทก็คือ ให้ใช้มาตรฐานนี้ในการเลือกใช่หรือไม่”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนส่งเสียงตอบรับเรียบ ๆ ครั้งหนึ่ง “ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็อย่าทำเกินไปนัก จะอย่างไรทางจ้าวไทเฮาเองก็ไม่ใช่ตะเกียงพร่องน้ำมัน หากถูกนางรู้เข้าว่าข้ากล้าลงมือจัดการเรื่องนี้ เกรงว่าแค่ถูกถลกหนังออกยังเบาเกินไปด้วยซ้ำ”
เพียงแต่ในโลกนี้มีเรื่องเลวร้ายถึงเก้าในสิบส่วน หากกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเกิดขึ้น
——————————————————————————