[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 19 หลี่ไท่กับสุยหยางตี้

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ข้าวโพดที่พึ่งจะต้มสุกใหม่ช่างมีกลิ่นหอม น่ารื่อมู่เอาไปให้ท่านย่าอย่างมีความสุข เหล่าป้าๆ น้าๆ ก็ยกกันไปเองถาดหนึ่ง แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ให้แตะต้อง

 

 

จวนโหวเจวี๋ยที่สูงส่งกินแค่ข้าวโพดก็ยังทำให้รู้สึกราวกับว่าเป็นช่วงเทศกาล สินค้าชั้นดี ท่าทางที่ซินเย่วแทะข้าวโพดมองดูแล้วช่างน่าสงสาร แทะกินจนไม่เหลือกากแม้แต่น้อย น่ารื่อมู่แทะกินของตัวเองจนหมดในคราวเดียว แล้วยังจ้องมองมาที่ของอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยจึงหักครึ่งแบ่งให้นาง เสี่ยวยานับเมล็ดข้าวโพดบนข้าวโพด กำลังจะใช้มีดตัดมันออก จำนวนไม่เพียงพอ พวกเด็กๆ จึงต้องแบ่งกันคนละครึ่ง

 

 

นี่เขากำลังทำอะไรอยู่กันเนี่ย? ทันใดนั้นอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ผู้คนบนโลกจะกินหรือไม่กินข้าวมันเกี่ยวอะไรกับตัวเอง ก็แค่ข้าวโพดเองไม่ใช่เหรอ ทำเอาคนในตระกูลของตัวเองตะกละตะกลามถึงเพียงนี้ ในไร่ยังมีข้าวโพดตั้งสิบกว่าไร่ไม่ใช่เหรอ ตระกูลของตัวเองกินหมดไปไร่หนึ่งจะเป็นอะไรไป เมื่อก่อนตอนที่ไม่มีข้าวโพดก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนอดตายไม่ใช่เหรอ?

 

 

ในเมื่อชอบกินนัก วันนี้ก็กินกันให้เต็มที่ ส่งไปให้ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ และผู้อาวุโสบ้างเล็กน้อย คนของตัวเองยังไม่ได้กินแล้วยังจะไปหวังให้ทุกคนบนโลกกินน่ะหรือ ทุกวันนี้หลี่ซื่อหมินกระจายมันฝรั่งแค่ในพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น เขากำลังทำอะไรอยู่ พวกชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่ได้ต้องการมันฝรั่งตั้งนานแล้ว คนภายนอกยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันฝรั่งคืออะไร

 

 

หรือว่าแม้แต่พืชผลก็ยังต้องแบ่งแยกยศถาบรรดาศักดิ์? อนุญาติให้ปลูกมันฝรั่งในบ้านของคนร่ำรวย แต่ไม่อนุญาติให้ปลูกในบ้านของคนที่ต้องการของสิ่งนี้มาบรรเทาความหิวโหยเช่นนั้นหรือ

 

 

ถึงแม้จะรู้ว่านี่เป็นความระมัดระวังของหลี่ซื่อหมิน ตั้งแต่สมัยโบราณเกษตรกรรมเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบศักดินามาโดยตลอด จะระมัดระวังมากแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลย ตระกูลของคนร่ำรวยสามารถทนต่อการสูญเสียได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีผลกำไรจากมันฝรั่งก็ไม่มีทางอดตาย แต่คนยากจนไม่เหมือนกัน ปลูกมาตั้งหนึ่งปี หากจู่ๆ ไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว นั่นคือเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ที่สำคัญ ข้าวเปลือก ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ลูกเดือยและข้าวหมักที่ปลูกมานานหลายหมื่นปี พึ่งจะกลายมาเป็นอาหารหลักของผู้คน มันฝรั่งที่พึ่งจะปรากฏตัวออกมาได้ไม่นาน จำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจสอบ

 

 

ก็เพราะเช่นนี้ อวิ๋นเยี่ยยังคงรู้สึกเหมือนถูกทำร้าย เขารู้ดีว่ามันฝรั่งคืออะไร ข้าวโพดยิ่งไม่ต้องพูดถึง บีบโจ๊กชามเล็กที่อยู่ในมือจนเกิดเสียง เห็นซือซือแกะข้าวโพดเข้าปากอย่างน่าสงสาร เขาก็โมโหขึ้นมาทันที โยนชามใบเล็กในมือลงบนโต๊ะ หันหน้าและเดินออกไปทันที ทำเอาคนในครอบครัวที่อยู่บนโต๊ะอาหารหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยบ้าคลั่งอะไรขึ้นมาอีก

 

 

เมื่อพาคนรับใช้และองครักษ์ของตระกูลมาที่ไร่ข้าวโพดแล้วเลือกฝักที่ดีที่สุด เมื่อออกคำสั่ง คนรับใช้ก็พากันเข้าไปเก็บข้าวโพดในไร่ข้าวโพด อวิ๋นเยี่ยไม่คิดจะเหลือข้าวโพดไว้แม้แต่ฝักเดียว จะสร้างความสุขให้โลกมนุษย์ สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดก็คือการสร้างความสุขให้กับคนในครอบครัวของตัวเอง เขาไม่เคยเชื่อในคนที่ไม่ห่วงใยดูแลภรรยาและลูกๆ ของตัวเอง คนเช่นนี้ไม่รู้ว่ายังจะนับว่าเป็นคนอยู่หรือไม่ ไม่สนใจภรรยาและลูกของตัวเองแต่กลับไปเห็นอกเห็นใจผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากทั่วโลก เบื้องหลังความยิ่งใหญ่มักจะมีจุดประสงค์อันน่ารังเกียจที่ไม่มีคนรู้ซ่อนอยู่เสมอ

 

 

ในต้าถังมีคนเช่นนี้อยู่มากมาย ล้วนแต่เป็นพวกขุนนางท้องถิ่น แต่ในเมืองหลวงไม่มีสักคนเดียว แม้แต่คนอย่างเว่ยเจิงก็ยังรู้จักที่จะซื้อบ้านให้กับลูกชายซื่อบื้อของตัวเอง กลัวว่าในอนาตคเขาจะไม่มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ความรักที่มีต่อลูกมองดูแล้วช่างสบายใจ

 

 

ไร่หนึ่งมีไม่เท่าไหร่ แค่ครึ่งชั่วโมงก็ถูกคนรับใช้เก็บไปจนหมดเกลี้ยง มองไปที่ตะกร้าข้าวโพดหลายสิบตะกร้า อวิ๋นเยี่ยถึงได้ปัดเป่าความเกลียดชังในใจของตัวเองออกไปได้

 

 

ท่านย่าตบที่มือของอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร เดินไปที่ห้องพระด้วยรอยยิ้ม เตรียมที่จะทำกิจวัตรของวันนี้ให้เสร็จ ซินเย่วกำลังจะอ้าปากพูด ก็ถูกอวิ๋นเยี่ยเบิกตาใส่ น่ารื่อมู่ชอบอกชอบใจราวกับเด็กน้อย อยากให้อวิ๋นเยี่ยต้มให้นางเยอะๆ นางวางแผนที่จะกินแต่ข้าวโพดต้มอีกครึ่งเดือนต่อไป

 

 

ต้มหม้อใหญ่เสร็จไปแล้ว แบ่งให้กับพ่อบ้านเฉียน เขายิ้มดีใจจนเห็นแค่ฟัน เสี่ยวยารีบกินข้าวโพดที่ตัวเองเก็บเอาไว้จนหมดอย่างรวดเร็ว

 

 

นี่สิถึงจะถูกต้อง น่ารื่อมู่ยกข้าวโพดเข้าไปในห้องของตัวเองถาดหนึ่ง รู้อยู่แล้วว่านางจะเอาไปให้ฮ่วนเหนียงกิน เสี่ยวยา เสี่ยวอู่และพวกเด็กๆ อีกสองสามคนแบ่งกันคนละสองฝัก กินไม่หมดก็เหลือไว้ แจกจ่ายให้ทุกคนในตระกูล

 

 

“วันนี้ท่านเป็นอะไร ปกติหวงข้าวโพดราวกับชีวิต เหตุใดตอนนี้ถึงได้ตัดออกมาเยอะขนาดนี้ล่ะ ท่านไม่ได้บอกว่ามันเป็นเมล็ดธัญพืชหรือ แล้วท่านยังบอกอีกว่า ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่หิวจนจะตายก็ไม่มีทางกินเมล็ดธัญพืช วันนี้เปลี่ยนใจแล้วหรือ”

 

 

“หากข้าทนดูพ่อกับแม่ไม่กินเมล็ดธัญพืชจนหิวตายจริงๆ หากข้าเป็นคนเช่นนั้น เจ้ายังจะชอบข้าอยู่หรือไม่ หากไม่เห็นแก่ตัวก็คงไม่ใช่อวิ๋นเยี่ยแล้ว ทั่วล้าหรือราษฎร นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรจะเป็นห่วง ข้าก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของราษฎรเช่นกัน ข้าก็ต้องการได้รับการดูแลเช่นกัน ข้าดูแลโลกทั้งใบไม่ได้ ครอบครัวของตัวเองต้องอดอยากปากแห้งถึงเพียงนี้ จิตใจที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกินข้าวอิ่มแล้วเท่านั้น”

 

 

ซินเย่วจูบที่ปากของอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่งแล้วพูดว่า “สามีอย่างท่านคือสามีที่ดี ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วข้าทำบุญอะไรไว้ถึงได้แต่งงานกับผู้ชายดีๆ อย่างท่าน มีลูกให้ท่านคือบุญบารมีของข้า ใช้ชีวิตที่อบอุ่นภายใต้ปีกของท่านไปตลอดชีวิต กวนจ้งเคยบอกว่า มีเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มที่เพียงพอถึงจะรู้จักมารยาทและคุณธรรม คำพูดของเขาเหมือนกับคำพูดของท่าน”

 

 

ซินเย่วชอบเห็นอวิ๋นเยี่ยห่วงใยดูแลครอบครัวมากที่สุด เห็นเขามีแนวโน้มที่จะพัฒนามาในทิศทางนี้ นางก็รีบให้กำลังใจ รีบหาหัวข้อพูดคุย เพื่อจะทำให้จิตใจของท่านพี่เข้มแข็ง

 

 

ฟ้ามืดแล้ว แต่ยังไม่เห็นว่าหลี่ไท่จะมีการเคลื่อนไหวอะไร อวิ๋นเยี่ยเอาข้าวโพดสองฝักใส่ลงไปในตะกร้า กำลังจะลงไปเยี่ยมเขา ผู้บัญชาการเห็นอวิ๋นเยี่ยมาส่งข้าวให้หลี่ไท่ก็เดินออกจากประตูห้องใต้ดินด้วยความซาบซึ้ง และปล่อยให้เขาเดินลงไป

 

 

ประทัดของหลี่ไท่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ชายหนุ่มผู้ขยันขันแข็งคนนี้ยังคงยุ่งอยู่ ถือแว่นขยายวิจัยดินประสิวและกำมะถันที่มีความบริสุทธิ์แตกต่างกันพวกนั้นอย่างละเอียด เขาอยากจะทำบันทึกเอาไว้

 

 

บนสมุดเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ นี่คือตัวอักษรภาษาอังกฤษที่อวิ๋นเยี่ยตั้งใจสอนให้เขาเป็นพิเศษ มีไว้เพื่อรักษาความลับเท่านั้น หลี่ไท่ตั้งความหมายใหม่ให้กับตัวอักษรภาษาอังกฤษแต่ละตัว หมายความว่าหากอวิ๋นเยี่ยหยิบสมุดของเขาขึ้นมาอ่านตอนนี้ก็อ่านไม่เข้าใจว่าเขาบันทึกอะไร

 

 

ผู้ชายที่กำลังมุ่งมั่นอยู่กับการทำงานคือผู้ชายที่มีเสน่ห์ เพียรพยายาม ไม่กลัวความยากลำบาก และไม่ย่อท้อ สรุปก็คือเจ้าจะค้นพบข้อดีที่เจ้าไม่เคยเห็นในตัวเขามาก่อน

 

 

จับที่กาน้ำชาทีหนึ่ง เห็นว่าน้ำชาข้างในเย็นหมดแล้ว ถือโอกาสหาเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดให้หลี่ไท่ อวิ๋นเยี่ยก็พูดว่า “ชิงเชวี่ย พักผ่อนให้มากๆ หน่อย ข้าได้ทำการยกระดับดินปืนขึ้นใหม่ หากเจ้าอยากจะค้นพบสิ่งใหม่ๆ บนพื้นฐานทางด้านนี้ต่อ มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ข้ามีของอร่อยมาให้เจ้า”

 

 

หลี่ไท่ยิ้มให้อวิ๋นเยี่ย ถอนหายใจแล้วก็บิดขี้เกียจ เปิดฝาตะกร้าขึ้น แล้วพูดด้วยความตกใจว่า “ข้าวโพด วันนี้เป็นอะไรไป ทำไมเจ้าถึงยอมให้ข้ากินของดีเช่นนี้ ปีที่แล้วข้าขอเจ้าชิมนิดหน่อย เจ้าด่าข้าอย่างกับอะไรดี หรือเห็นว่าข้าลำบากเกินไป เลยตั้งใจเอามาให้ข้า?”

 

 

“ล้างมือก่อน มือมีแต่ผงยา ไม่รู้จักสร้างนิสัยรักษาความสะอาด ล้างมือให้สะอาดหลังทำงานเสร็จซะ ข้าไม่รู้ว่าต่อไปเจ้าจะทำการวิจัยอะไร แต่หากมันเกี่ยวกับเรื่องของชีวเคมี แค่การที่เจ้าไม่ล้างมือมันอาจจะเอาชีวิตเจ้าไปได้”

 

 

หลี่ไท่มักจะถ่อมตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าหลักการที่ถูกต้องเสมอ เขาปิดฝาและเดินไปล้างมือ ล้างอย่างละเอียดสองรอบแล้วเช็ดคราบน้ำให้สะอาด หยิบข้าวโพดออกมาจากตะกร้า แกะเปลือกข้าวโพดออกทิ้งแล้วก็อ้าปากแทะทันที

 

 

เห็นท่าทางของเขาก็รู้แล้วว่า ไอ้พวกนั้นในสำนักศึกษาคงจะแอบไปขโมยกินข้าวโพดมาแล้วบ่อยครั้ง สงสารตัวเองที่ต้องกัดฟันรอจนถึงวันนี้

 

 

เดินมาข้างๆ โต๊ะของหลี่ไท่ เห็นประทัดที่เขาทำเสร็จแล้ว รอบคอบเป็นอย่างมาก มีตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก ส่วนผสมในลิ้นชักก็ใกล้จะหมดแล้ว หยิบประทัดขึ้นมาเขย่า มันถูกบรรจุอย่างแน่นหนา รูเล็กๆ ตรงข้อไม้ไผ่ก็เล็กมาก ยากที่จะจินตนาการได้ว่าสิ่งของเหล่านี้ทำมาจากมือขององค์ชาย

 

 

“ชิงเชวี่ย ความยืนหยัดของเจ้าแม้แต่ข้ายังนับถือ เจ้าเกิดมาก็ควรทำงานในด้านนี้ ความขยันหมั่นเพียรบวกกับพรสวรรค์ เจ้าไม่อยากประสบความสำเร็จก็คงยาก ข้าไม่กล้าจินตนาการถึงความสำเร็จในอนาคตของเจ้า พี่ชายของเจ้าเทียบกับเจ้าไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือความขยันหมั่นเพียร ล้วนแต่สู้เจ้าไม่ได้”

 

 

หลี่ไท่คายเศษข้าวโพดออกมา มองบนแล้วพูดว่า “แต่เจ้าก็เลือกที่จะช่วยพี่ชายของข้า และเจ้าก็ยังทำเป็นมองไม่เห็นคนที่มีความสามารถอย่างข้าด้วย ตอนนี้มาพูดอะไรแบบนี้ เจ้าไม่คิดว่ามันสายเกินไปหรอกหรือ”

 

 

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หากเป็นแค่ฮ่องเต้ ข้าก็ยังคงสนับสนุนพี่ชายของเจ้า เจ้าบริหารจัดการประเทศชาติได้ไม่ดีนัก หากนักวิทยาศาสตร์ไปเป็นหัวหน้าประเทศ มันคือหายนะของประเทศนั้น พวกเขามีความบ้าคลั่งอยู่ในนิสัยตั้งแต่เกิด เจ้าไม่มีทางรู้ว่าการเป็นฮ่องเต้นั้นกดดันแค่ไหน นิสัยของเจ้า ผ่านไปไม่นานก็คงจะปลดปล่อยความบ้าคลั่งนั้นออกมาอย่างสมบูรณ์ แล้วเจ้ายังมีนิสัยชอบเอาชนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากับหยางก่วงเหมือนกันมาก”

 

 

หลี่ไท่ไม่พูดไม่จา ก้มหน้าลงแทะข้าวโพดต่อไป ผ่านไปไม่นานถึงได้เงยหน้าขึ้นมาพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าอยากจะคัดค้านเจ้า แต่กลับเห็นว่ามันเป็นเหมือนที่เจ้าพูดจริงๆ เราเหมือนกันมาก มีความสามารถและพรสวรรค์ที่เหมือนกัน แม้แต่ความคิดก็ยังเหมือนกัน หากไม่ใจร้อน หยางก่วงคงจะได้เป็นฮ่องเต้ที่มีชื่อเสียง หากการโจมตีดินเเดนเกาลี่ไม่เร่งด่วนเช่นนี้ก็จะไม่มีทางทำให้ราชวงศ์สุยล่มสลาย นิสัยของเราเป็นคนใจร้อน ล้วนแต่อยากจะทำเรื่องต่างๆ ที่ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีให้เสร็จภายในไม่กี่ปี ดังนั้นมันจึงไม่ค่อยมั่นคง”

 

 

“เสี่ยวไท่ นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นฮ่องเต้ สองข้อนั้นถึงแม้ว่าจะสำคัญ แต่ข้อที่สำคัญที่สุดเจ้ายังไม่เข้าใจ เจ้าดูสิว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านพ่อของเจ้ากำลังทำอะไร แล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง หยางก่วงไม่เพียงแต่เป็นคนใจร้อน แต่เขารีบที่จะขยายอาณาเขตเกินไป ในช่วงสิ้นสุดราชวงศ์สุย พวกตระกูลขุนนางพากันใช้อำนาจข่มเหง และแน่นอนว่ารวมถึงตระกูลหลี่ของเจ้าด้วย หยางก่วงได้รับแรงกดดันมากเกินไป เขาต้องการพิสูจน์ว่าเขาเป็นฮ่องเต้ที่ดีคนหนึ่งได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะโจมตีดินแดนเกาลี่ รวบรวมพลังทั้งหมดของประเทศชาติไว้ที่นั่น ใช้พลังของตระกูลเหล่าขุนนางจำนวนมาก หากการโจมตีฝั่งตะวันออกสำเร็จ เขาจะต้องมีชัยชนะและอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาจัดการกับตระกูลขุนนางในประเทศอย่างแน่นอน นี่ก็คือเหตุผลที่ท่านปู่ของเจ้านอนไม่หลับ

 

 

เขาอยากจะขุดคลองในประเทศ เพื่อวางรากฐานความดีความชอบระยะยาวให้กับตัวเอง แต่น่าเสียดายที่การโจมตีฝั่งตะวันออกของเขาล้มเหลว น่าสังเวชเสียจริง การขุดคลองก็ไม่มีใครเหลียวมอง หมาซูโหม่วกินคนราวกับสัตว์ร้าย ราษฎรในประเทศพากันเดือดร้อน เขาสูญเสียความไว้วางใจในฐานะขุนนางไปแล้วยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากราษฎร ดังนั้นราษฎรจึงพากันก่อกบฏ การเกิดสงครามขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร