[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 20 ค่านิยมของซุนซือเหมี่ยว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

การสนทนากับหลี่ไท่ดำเนินไปอย่างสนุกสนาน คนที่ไม่มีความคาดหวังอะไรกับราชบัลลังก์คือคนที่มีจิตใจสงบสุข คุณสามารถเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับราชบัลลังก์ให้เขาฟังได้ หัวเราะกันจนน้ำหูน้ำตาไหล แต่ความรู้สึกที่เปรี้ยวฝาดในใจกลับไม่จางหายไปแม้แต่น้อย 

 

 

หลี่ไท่ถือประทัดที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาจากห้องใต้ดิน ทหารยามเดินลงมาหยิบของทั้งหมดในห้องใต้ดินออกมา รวมถึงฝุ่นที่เพิ่งกวาดออกมาเมื่อกี้ เหลือไว้เพียงแค่ห้องใต้ดินที่ว่างเปล่าให้กับตระกูลอวิ๋น 

 

 

การสร้างดินปืนในห้องใต้ดินคือคำสั่งของหลี่ซื่อหมิน เขาคิดว่านี่คือการขโมยพลังแห่งสรวงสวรรค์ จะให้สรวงสวรรค์เห็นไม่ได้ จะต้องดำเนินการในห้องใต้ดินชั้นที่เก้า โชคดีที่ห้องใต้ดินของตระกูลอวิ๋นมีขนาดใหญ่และลึกพอ นอกจากขุดไม่เจอน้ำพุใต้ดิน อย่างอื่นก็มีหมดทุกอย่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นการหลอกลวงตัวเอง แต่หลี่ซื่อหมินออกคำสั่งเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด อวิ๋นเยี่ยจะต้องทำให้สำเร็จ อำนาจของฮ่องเต้นั้นน่ากลัวกว่าน้ำพุใต้ดินเสียอีก 

 

 

หลี่ไท่เอาตะกร้าข้าวโพดของตระกูลอวิ๋นไปอย่างดื้อรั้น ไม่เอาฝักสุก เอาแต่ฝักดิบ เขาจะกลับไปต้มเองที่พระราชวัง สับฟืนเอง เผาไฟเอง ปอกเปลือกข้าวโพดเอง เอาข้าวโพดไปให้ท่านพ่อท่านแม่ด้วยตัวเอง เขาทำอาหารไม่เป็น แต่ต้มข้าวโพดเป็นนิดหน่อย เขาอยากจะใช้วิธีนี้บอกกับหลี่ซื่อหมินและจั่งซุนว่า เขาเองได้ถอนตัวออกจากการแย่งชิงบัลลังก์แล้ว และตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาก็เป็นแค่องค์ชายไท่ผิงคนหนึ่งที่อยากจะทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองชอบ 

 

 

แผ่นหลังของคนคนหนึ่งมักจะบอกข้อมูลมากมายให้เรารู้ ตัวอย่างเช่นหลี่ไท่ในตอนนี้ เริ่มหดไหล่ทั้งสองข้าง งอตัวลง จากนั้นก็ค่อยๆ ยืดเอวขึ้น ยืดตัวตรง โบกมือให้กับอวิ๋นเยี่ย พูดอะไรสักอย่างแล้วก็เข้าไปในรถม้า คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่อวิ๋นเยี่ยรู้ความหมายของประโยคนั้น หลี่ไท่ก็ยังคงเป็นหลี่ไท่ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง 

 

 

“ท่านพี่ เว่ยอ๋องบอกว่าเขาเลือกสรรชายตัวใหญ่หลายสิบคน หมายความว่าอะไรกัน” ซินเย่วยืนอยู่ที่ประตู มองดูรอม้าของหลี่ไท่ที่กำลังแล่นออกไปแล้วถามอย่างสงสัย 

 

 

“เรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงจะรู้ไปทำไมเยอะแยะ” อวิ๋นเยี่ยหันกลับมาผลักซินเย่วที่ในหัวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกลับเข้าไปในบ้าน กลางค่ำกลางคืนมีผู้หญิงที่ไหนออกมาข้างนอกกัน 

 

 

หลี่หยวนชังจะตายหรือไม่ตายอวิ๋นเยี่ยไม่สนใจ คนขี้แพ้นั้นตายไปคนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ต่อตัวใหญ่สิบกว่าตัวต่อยเข้าไปทั่วเรืองร่าง มันคงจะทำให้เขาอยากตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน ความหดหู่ของหลี่ไท่ต้องการที่ระบาย หลี่หยวนชังก็มาได้ทันเวลาพอดี 

 

 

ซุนซือเหมี่ยวยังไม่นอน แขวนโคมไฟไว้ในสวน นอนบนเก้าอี้เอนฟังเสียงคางคกร้อง ตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยเข้ามาที่บ้าน ซุนซือเหมี่ยวก็ได้รับเชิญให้ไปที่บ้านตระกูลอวิ๋น น่ารื่อมู่จะคลอดแล้ว เป็นลูกคนแรก หากไม่มีเหล่าซุนอยู่ด้วย อวิ๋นเยี่ยรู้สึกไม่วางใจ แต่ดูเหมือนว่าเหล่าเต้าก็อยากมาที่บ้านของตระกูลอวิ๋น พ่อบ้านเฉียนเชิญเขามาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าลงไปจากเขาอวี้ซัน แล้วยังมีน้องสาวของหั่วจู้ค่อยติดตามไปด้วย เด็กผู้หญิงสวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋า มีปิ่นไม้ปักอยู่บนหัว คอยจุดไฟไล่ยุงอยู่ข้างๆ ซุนซือเหมี่ยวอยู่ตลอดเวลา 

 

 

เหล่าเต้าเปลี่ยนใจแล้วหรือ ความคิดนี้พึ่งจะโผล่ขึ้นมา อวิ๋นเยี่ยเองก็ยังรู้สึกขยะแขยง หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับหลี่ซื่อหมิน จะคาดเดาเช่นไรก็คงเป็นไปได้ แต่หากเกิดขึ้นกับซุนซือเหมี่ยวคงจะเป็นการดูถูกเขาเกินไป ทั้งต้าถัง อวิ๋นเยี่ยก็รู้จักคนที่มีศีลธรรมอย่างแท้จริงแค่คนเดียว ถึงแม้ว่าต่อมาจะมีการวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายกับยาเหมิงฮั่น แต่นั่นก็มีไว้สำหรับการวิจัยทางการแพทย์ เพียงแค่อวิ๋นเยี่ยไม่เคยใช้งานเขาในเส้นทางที่ถูกต้องก็เท่านั้น 

 

 

ข้างๆ ของซุนซือเหมี่ยวมีข้าวโพดอยู่พวงหนึ่ง เป็นข้าวโพดดิบ ถูกแกะเปลือกออกหมดแล้ว เมล็ดข้าวโพดหายไปสองสามเมล็ด เขายังคงมีนิสัยเดิมๆ เห็นพืชแปลกๆ ก็เอาเข้าปาก ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เห็นปากของเขาบวมราวกับกุนเชียง แค่ทำการทดลอง จะใช้หมู ม้า วัว แกะ ลิงหรือกระต่ายก็ได้ ทำไมต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง เทพเจ้าแห่งการเกษตรตายไปก็เพราะแบบนี้ 

 

 

เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา ซุนซือเหมี่ยวกวักมือเรียกให้เขามาหาแล้วพูดกับเขาว่า “สุขภาพของน่ารื่อมู่แข็งแรงมาก สองวันนี้ก็คงจะคลอดแล้ว เจ้าหายไปตั้งแปดเดือน อยู่กับนางให้บ่อยๆ หน่อย ข้าเห็นว่านางมีปมในใจ เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ นานเข้า คนจะป่วยเอาได้ หากเจ้ายังยุ่งอยู่แบบนี้ เมื่อไหร่มันจะจบสิ้น” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยนั่งบนเก้าอี้ที่ป้าเต้าย้ายมาให้ ยิ้มและพูดว่า “น่ารื่อมู่คิดถึงฉ่าวหยวน นางมักจะฝันถึงฉ่าวหยวนอยู่ตลอด ข้าสัญญากับนางว่ารอให้ลูกอายุได้สักหนึ่งขวบก็จะให้ลูกกลับไปกับนาง แต่ก่อนหน้านี้ ข้าอยากจะฉีดวัคซีนให้ลูกก่อน ต้าฉ่าวหยวนเริ่มตั้งแต่ชาวชงหนูก็มีความเคยชินที่ไม่ค่อยดีนัก นั่นก็คือเอาวัวและแกะที่ป่วยตาย ถึงขั้นเอาคนที่ป่วยตายมาทำเป็นอาวุธ ต่อต้านการโจมตีของชาวฮั่น ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นดาบสองคม ทำร้ายผู้อื่นและยังทำร้ายตัวเอง การใช้ชีวิตของชาวฮั่นค่อนข้างดีกว่าพวกเขา ดังนั้นคนที่จะถูกทำร้ายมากที่สุดก็คือพวกเขาเอง เด็กที่เกิดในฉ่าวหยวนกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเด็กสิบคนมีเด็กแค่สามถึงสี่คนที่สามารถเติบโตได้อย่างราบรื่น ก็ถือว่าพระเจ้าคุ้มครองมากแล้ว” 

 

 

“แล้วเจ้ายังจะปล่อยให้น่ารื่อมู่เอาลูกไปด้วย ข้าเลี้ยงเองไม่ได้หรือ ลูกของภรรยารองต้องเอาให้ภรรยาหลักเลี้ยงไม่ใช่หรือ แต่ตระกูลของเราไม่เหมือนพวกเขา” ซินเย่วเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง ปรากฏตัวได้ทุกที่ทุกเวลา 

 

 

ซุนซือเหมี่ยวยิ้มแต่ก็ไม่พูดไม่จา เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษในตระกูลอวิ๋น ตั้งแต่ท่านย่าก็ไม่มีใครมองว่าเขาเป็นคนนอก คำพูดเหล่านี้ หากมีคนอื่นอยู่ข้างๆ ตีให้ตายซินเย่วก็ไม่มีทางพูดออกมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซุนซือเหมี่ยว นางไม่มีข้อห้ามใดๆ 

 

 

“ทะเลาะอะไรกัน ตระกูลของเราก็คือตระกูลของเรา เข้ามาในตระกูลก็คือภรรยาของข้า ในเมื่อข้าแต่งงานกับพวกเจ้าก็ไม่มีทางทำร้ายพวกเจ้า ถึงแม้ว่าการแต่งภรรยาสองคนจะเป็นการทำร้ายอยู่แล้วก็ตาม แต่มันไม่มีทางเลือก เมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็ควรพูดถึงสถานการณ์ตอนนี้ เจ้ามีลูก เจ้าก็ยังเป็นคนเลี้ยงเอง น่ารื่อมู่ก็จะมีลูกแล้ว ดังนั้นให้นางเป็นคนเลี้ยงเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร” 

 

 

ซินเย่ววางชามผลไม้ในมือลง มันคือแตงโม เพียงแต่เมล็ดแตงโมมากเกินไป ซ้ำยังเมล็ดใหญ่หากเทียบกับขนาดของชาม ดูไม่เหมือนฟักในยุคหลัง 

 

 

“แตงโมฤดูหนาว ครั้งก่อนที่เหล่าเต้ากินของสิ่งนี้ ตอนนั้นเขายังตรวจร่างกายให้ฮองเฮาที่สวนพุดตาน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสองปี แตงโมของปีนี้ลูกโต น้ำฝนเพียงพอ นี่คือข้อดีของมัน” 

 

 

สองสามปีมานี้ซุนซือเหมี่ยวยิ่งเหมือนเทพเซียนขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของเขาเรื่องอะไรก็ง่ายดายไปหมด ไม่เดือนร้อนใจ แตงโมฤดูหนาว มีปลูกแค่ในสวนของฮ่องเต้เท่านั้น ปีหนึ่งก็ปลูกแค่หนึ่งถึงสองไร่ นำมาเป็นรางวัลอันล้ำค่าในช่วงฤดูร้อน แบ่งให้เหล่าอ๋องโหวคนละลูกสองลูก ไม่ว่าใครได้รับไปก็ล้วนแต่เป็นเกียรติอย่างสูง 

 

 

แตงโมลูกเล็กๆ กินสองสามคำก็หมด อวิ๋นเยี่ยเก็บเมล็ดออกอย่างระมัดระวัง ให้ซินเย่วเอาไปล้างและตากแห้ง เขาวางแผนที่จะปลูกไว้ที่บ้านของตัวเองในปีหน้า 

 

 

“ราชสำนักห้ามไม่ให้ปลูกไม่ใช่หรือ เจ้าเก็บเมล็ดไปทำอะไร” ซินเย่วยังคงทำท่าทางเป็นราษฎรที่ดี แต่สองปีที่ผ่านมาอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ทำตัวเป็นราษฎรที่ดีตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่ใช้ประโยชน์จากกฎหมาย เช่นเดียวกับตระกูลของอ๋องโหวเหล่านั้น ใครเขาให้ความสำคัญกับกฎหมายฮ่องเต้กัน แค่ไม่ก่อกบฏก็ถือว่าเป็นราษฎรที่ดีคนหนึ่ง 

 

 

“ฮ่องเต้เอามันฝรั่งของตระกูลเราไปซ่อนไว้ก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร ข้าปลูกแตงโมฤดูหนาวนิดหน่อยก็พูดเป็นเรื่องเป็นราว น่ารำคาญ” ซินเย่วตบที่ไหล่ของอวิ๋นเยี่ยด้วยความโมโห จากนั้นก็พากลุ่มลูกน้องของตัวเองกลับไปที่สวนหลังบ้าน 

 

 

“เจ้าอยู่บนเขาเหยี่ยเหรินซานตั้งเดือนหนึ่ง ไม่เจอสมุนไพรดีๆ เลยหรือ” ไม่เคยจะพูดถึงเรื่องอื่นจริงๆ เมื่อซุนซือเหมี่ยวเห็นว่าซินเย่วเดินออกไปแล้วก็ถามเข้าประเด็นสำคัญทันที 

 

 

“มีแน่นอน ยาเถียนซีที่ท่านกำลังตามหาข้าหามาให้ท่านแล้ว เอาแบบแห้งกลับมานิดหน่อย เดี๋ยวส่งไปให้ท่าน ข้ายังเจอดอกไม้กินเนื้อชนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์หรือไม่ มันเหม็นเกินไป ข้าก็เลยไม่ได้เอากลับมา จับตะขาบสีแดงยาวหนึ่งฟุตมาหนึ่งตัว ท่านบอกว่าที่นี่ใช้ตะขาบเป็นยาและฤทธิ์ยาไม่เพียงพอไม่ใช่หรือ ตัวนั้น ข้าคิดว่าฤทธิ์ยาคงจะเพียงพอ แล้วยังเอาปลิงพันธุ์พิเศษมาให้ท่านด้วย ตัวใหญ่เท่าหัว ดูดเลือดรุนแรง กัดทีหนึ่งเลือดไหลทั้งวัน โต้วเยี่ยนซานเคยถูกพวกมันหลายสิบตัวกัด ทำเอาเกือบตาย ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ” 

 

 

“อยู่ที่ไหน” ซุนซือเหมี่ยวไม่มีเวลาฟังอวิ๋นเยี่ยโม้ ถามประเด็นสำคัญที่สุดทันที 

 

 

“ข้าเก็บปลิงไว้ในถังน้ำ ยาเถียนซีอยู่ในคลังสมบัติ ตะขาบอยู่ที่ห้องหนังสือของข้า” อย่ามองว่านิสัยของเหล่าซุนอ่อนโยน ความจริงแล้วเขากลับเป็นคนที่มีความอดทนน้อยที่สุด หากอวิ๋นเยี่ยยังพูดมากอยู่ อาจจะถูกตีเอาได้ ต้องรีบบอกสถานที่ให้ชัดเจน 

 

 

ถือตะเกียงจับปลิงออกจากถังน้ำ ซุนซือเหมี่ยวจับมันมาวางไว้บนมือของตัวเอง ปลิงที่ลื่นไหลกำลังอยากจะดูดเลือดบนมือที่เต็มไปด้วยรอยด้าน ทว่าล้วนแต่เป็นคนยากลำบากเหมือนกัน รอยด้านตรงนิ้วชี้ของซุนซือเหมี่ยวหนาเกินไป มันกัดไม่เข้า มันเลยหมุนตัวเป็นวงกลมหาที่ที่นิ่มๆ ดูดเลือด 

 

 

ดีดนิ้วทีหนึ่ง ปลิงก็ตกลงไปในถังน้ำ มองดูมือของตัวเองและยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็หันหน้าเดินเข้าไปในห้องหนังสือของอวิ๋นเยี่ย ตะขาบสีแดงในกล่องไม้เนื้อแข็งราวกับว่ายังมีชีวิตอยู่ เท้าขาดไปไม่กี่เท้า เพื่อมันตัวเดียว อวิ๋นเยี่ยใช้ความพยายามไปไม่น้อย เอาตะขาบห่อไว้ในกระดาษ วางไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ตากให้แห้ง สุดท้ายใช้เข็มปักลงบนกล่อง มันไม่ใช่ยาสมุนไพรอะไรอีกต่อไป แต่เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง 

 

 

“ดีมาก รูปลักษณ์ภายนอกดูดี ดูเหมือนว่าพิษก็น่าจะไม่เลว เป็นยาที่ดีสำหรับบรรเทาอาการปวดและบาดแผลที่ร้ายแรง โรคที่ดื้อด้านเหล่านี้ ขอเพียงมีมันอยู่ก็ง่ายต่อการรักษา” พูดเสร็จ ก็เอากล่องยัดเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วก็บอกให้อวิ๋นเยี่ยพาเขาไปที่คลังสมบัติของตระกูลอวิ๋น ยาเถียนซียังรออยู่ที่นั่น 

 

 

ไม่มีอะไรทำก็ไปเดินสำรวจคลังสมบัติของคนอื่นก็มีแค่ซุนซือเหมี่ยวที่ทำได้เช่นนี้ เขาไม่มองเครื่องแก้วเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่หยิบไข่มุกสองสามเม็ดที่อวิ๋นเยี่ยเอากลับมาด้วยขึ้นมา เลือกมาสองสามเม็ด บอกว่าจะเอาไปทำเป็นยา ซินเย่วที่พึ่งเปิดประตูคลังสมบัติ ยิ้มแล้วแนะนำซุนซือเหมี่ยว บอกว่ายังมีไข่มุกอีกหลายเม็ดอยู่ด้านหลัง เสนอว่าผู้เฒ่าเทพเซียนจะเลือกเม็ดใหญ่ๆ ไปอีกสักสองสามเม็ดดีหรือไม่ 

 

 

ผู้หญิงจอมล้างผลาญคนนี้ ไข่มุกที่จะเอาไปทำเป็นยาเลือกเอาเม็ดที่แตกหักคดเคี้ยวไปก็ได้ เพราะอย่างไรก็ต้องถูกบดเป็นผง ทำไมต้องเลือกเม็ดใหญ่ๆ เม็ดดีๆ ด้วยล่ะ 

 

 

ชั้นวางของมีถุงผ้าวางอยู่สองสามถุง ข้างในล้วนแต่เป็นยาเถียนซี ล้วนแต่เป็นเถียนซีที่ดีที่สุดที่ผู้เฒ่าของตระกูลเหมิงบอกให้เก็บมา ปลูกไว้เป็นปี ลำต้นแข็งแรงกำยำ รากและใบก็สมบูรณ์ ซุนซือเหมี่ยวพอใจกับของสิ่งนี้เป็นอย่างมาก เลือกไปสองสามต้น แล้วก็เดินออกไปจากคลังสมบัติ ขมวดคิ้วและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “สิ่งของไร้ค่าพวกนั้นเจ้าเก็บไว้ทำไมตั้งเยอะแยะ สมบัติล้ำค่าเป็นแหล่งที่มาของหายนะ อย่าหลงใหลกับมันมากเกินไปล่ะ” 

 

 

คนที่ออกบวชไม่สนใจของพวกนั้นได้ แค่ตัวเองกินอิ่มก็ถือว่าคนทั้งครอบครัวกินอิ่ม แต่ตระกูลอวิ๋นที่ใหญ่โตนี้ล่ะ เหล่าฉินยังยืนพูดอยู่ตรงนั้น บอกให้ตระกูลอวิ๋นเตรียมสินสอดทองหมั้นของรุ่นเหนียงให้มากหน่อย แล้วจะไม่มีเงินได้อย่างไรกัน 

 

 

แต่ว่าในเมื่อเหล่าซุนพูดออกมาแบบนี้ ก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอนเท่านั้น