ฝนที่ตกหนักตลอดทั้งคืนได้ชะล้างไอร้อนออกไปหมด จนถึงเช้าตรู่ฝนก็ยังคงตกปรอยๆ ไม่หยุด อวิ๋นเยี่ยไม่ได้นอนทั้งคืน เดินไปมาอยู่ใต้ชายคาไม่หยุดหย่อนเพราะคืนก่อนพึ่งจะเข้าไปที่ห้องของน่ารื่อมู่ น่ารื่อมู่ก็เริ่มมีอาการปวดท้อง ปวดท้องตลอดทั้งคืน ถึงตอนเช้าหมอตำแยถึงได้บอกว่าฮูหยินที่สองจะคลอดแล้ว
ซุปโสมต้มเสร็จตั้งนานแล้ว ซุนซือเหมี่ยวมองดูแล้วสองครั้งบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ซินเย่วอุ้มลูกทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ห่างจากอวิ๋นเยี่ย นางรู้ดีว่าตอนนี้ท่านพี่กำลังอยู่ในสภาพที่หงุดหงิดง่าย อยู่ห่างๆ หน่อยจะดีกว่า ตอนที่ตัวเองคลอดลูก ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดเจียนตายแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนรนของท่านพี่ ตอนนี้ก็คงจะเป็นสถานการณ์เดียวกัน
ผู้หญิงของฉ่าวหยวนแข็งแกร่งไม่น้อย น่ารื่อมู่ไม่ได้ส่งเสียงร้องดัง เพียงแต่ครางเบาๆ คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรหมอตำแยก็ไม่มีทางอนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยเข้ามาในห้องคลอดอีก เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยอยากจะเข้าไป ซินเย่วสนใจอะไรมากไม่ได้ รีบเข้าไปดึงเขาเอาไว้ ขอร้องให้อวิ๋นเยี่ยอย่าทำตามอำเภอใจ ครั้งก่อนก็เพราะว่าเขาเข้าไปในห้องคลอดทำให้แปดเปื้อนความอัปมงคล ลูกเกิดมายังไม่ถึงเดือนก็ถูกโต้วเยี่ยนซานจับตัวไป หากครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้นอีก คนทั้งตระกูลก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว
น่ารื่อมู่ที่รู้ความน่าจะได้ยินเสียงโต้เถียงกันที่ประตู นางจึงไม่ส่งเสียงร้องเจ็บปวดอีกต่อไป มีเพียงเสียงหอบเป็นครั้งคราว อดทน กำลังอดทน ท่านย่าที่อยู่ในห้องพระส่งสาวใช้มาถามตั้งสามครั้งแล้ว
เสียงร้องของเด็กดังออกมา ไม่ได้ดังเหมือนกับอวิ๋นน้อยอวิ๋นโซ่ว เสียงร้องราวกับเสียงลูกแมวทำให้หัวใจขออวิ๋นเยี่ยเต้นเร็วขึ้นมาทันที หันหน้าไปมองซินเย่วแล้วกำลังจะเข้าไปข้างใน แต่หมอตำแยกลับยิ้มแล้วเดินออกมา โค้งคำนับและยินดีกับเขา “ยินดีกับท่านโหว ยินดีกับท่านโหวด้วยเจ้าค่ะ ได้ลูกสาวเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจว่าจะได้ลูกชายหรือลูกสาว ตราบใดที่เป็นเนื้อเลือดของตัวเองนางก็คือดวงใจของเขา อยากจะได้ลูกสาวมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้สมดั่งความปรารถนาแล้ว ตระกูลอวิ๋นให้รางวัลเอื้อเฟื้อมาโดยตลอด เอาไข่มุกที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ให้เป็นรางวัลแก่หมอตำแย
ไม่แปลกที่เสียงร้องจะเล็กเช่นนั้น ที่จริงแล้วลูกของเขาตัวเล็กเอามากๆ ตัวเล็กๆ ผอมๆ ราวกับลูกแมวน้อย อย่างกับว่าแค่ลมกระโชกมาก็พัดให้ปลิวไปได้ มือเล็กๆ ทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ปากน้อยๆ ยังคงส่งเสียงร้อง เพียงแต่ร้องเสียงเบาไปหน่อย
นี่ก็คือลูกสาวของตัวเอง ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง เห็นหมอตำแยเอาผ้ามาพันลูก อวิ๋นเยี่ยก็อยากจะยื่นมือเข้าไปแทรก พันลูกเอาไว้ราวกับขนมบ๊ะจ่าง นี่จะทำอะไร
ไล่หมอตำแยสามคนออกไป ตัวเองอุ้มลูกอย่างมีความสุข พึ่งจะเห็นว่าน่ารื่อมู่จ้องมองมาที่ตัวเองทั้งน้ำตา
อุ้มลูกสาวไปนอนตรงหัวเตียง ให้น่ารื่อมู่ได้ดูลูกของตัวเองชัดๆ ใครจะรู้ว่านางกลับหันหน้าหนี ไม่พอใจกับผลงานของตัวเองเป็นอย่างมาก
“แค่คลอดลูกก็เป็นเช่นนี้ คิดอะไรอยู่ ลูกสาวดั่งเทพธิดา ข้ารักเข้ากระดูก แต่เจ้ากลับไม่พอใจ เจ้าไม่ชอบ ข้าเลี้ยงเอง ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าข้า อวิ๋นเยี่ย วันหนึ่งจะมีลูกสาว นี่คือรางวัลที่พระเจ้ามอบให้ข้า รอให้ลูกครบหนึ่งเดือน ครบร้อยวัน ดูสิว่าข้าจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่แค่ไหน เชิญทุกคนในฉางอันมาให้หมด คนที่ไม่มาข้าจะไปหาถึงบ้าน ข้ามีลูกสาวแล้วโว้ย”
น่ารื่อมู่หันหน้ากลับมา ยังคงร้องไห้อยู่ ผู้หญิงที่กำลังอยู่เดือนหากร้องไห้จะทำให้ไม่สบายเอาได้ อวิ๋นเยี่ยเช็ดน้ำมูกน้ำตาให้นาง จูบที่หน้าผากของนางทีหนึ่งและกระซิบว่า “ขอบใจเจ้ามาก ลำบากเจ้าแล้ว”
“ข้าอยากคลอดลูกชายให้เจ้า คลอดวีรบุรุษของฉ่าวหยวน แต่ตอนนี้เป็นลูกสาว ข้าไม่อยากได้!”
“คลอดออกมาแล้ว ยัดกลับเข้าไปไม่ได้แล้ว อีกอย่าง ครั้งนี้เป็นลูกสาวไม่ดีตรงไหน ข้าดีใจเป็นที่สุด”
ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดอยู่สักพักกว่าจะทำให้น่ารื่อมู่มีความสุขขึ้นมาได้ แล้วนางก็เริ่มฝันหวานของการมีลูกสาวของตัวเองขึ้นมาทันที อวิ๋นเยี่ยมองดูเงาของตัวเองบนหัวเตียงก็ถอนหายใจออกมา หน้าตาเหมือนตัวเองอย่างกับแกะ อยากจะได้ลูกสาวที่หน้าตาสวยสดงดงามอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย หลี่ซื่อหมินที่ถูกยกย่องว่าเป็นใบหน้าฟ้าประทาน รูปร่างสมส่วนงดงาม ยังมีลูกสาวที่หน้าตาดีแค่ไม่กี่คน หลี่อันหลาน เกาหยาง ถือว่าค่อนข้างดี ส่วนคนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกเรียกว่าเป็นองค์ผู้หญิงที่อ่อนโยนสง่างาม ขุนนางของต้าถังยังคงต้องการศักดิ์ศรี พวกเขาไม่มีทางไปติชมหน้าตาของเหล่าองค์หญิงตามอำเภอใจ ทำได้แค่บอกว่าเหล่าองค์หญิงช่างอ่อนโยนสง่างาม ไม่พูดถึงเรื่องหน้าตา พูดถึงแค่เรื่องนิสัย เรื่องของนิสัยนั้นค่อนข้างมีความยืดหยุ่น จะชื่นชมอย่างไรก็ไม่ถือเกินเลย
ต่อไปจะชื่นชมลูกสาวของตัวเองอย่างไร เรื่องหน้าตาก็ช่างมันเถอะ พันธุกรรมไม่ดี ช่วยไม่ได้ หรือว่าตัวเองก็ต้องชื่นชมลูกว่าอ่อนโยนสง่างาม? มองดูน่ารื่อมู่ก็รู้แล้วว่าความคิดนี้ใช้ไม่ได้
จู่ๆ น่ารื่อมู่ก็ชื่นชอบลูกสาวของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง กอดไว้ในอ้อมแขนจูบไม่หยุด ผู้หญิงอยู่เดือนที่ไหนเขาลุกขึ้นมานั่งกัน ถูกอวิ๋นเยี่ยจับยัดเข้าไปในผ้าห่ม แม่ลูกจูบหอมกันไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่าซินเย่วอยากจะหัวเราะ กัดฟันชื่นชมว่าลูกสาวช่างหน้าตาดี เห็นลิ้นที่ดิ้นไม่หยุดของนาง และเห็นท่าทางที่นางอุ้มอวิ๋นน้อยยกขึ้นสูงก็รู้แล้วว่า ตอนนี้นางอยากจะร้องเพลงเป็นอย่างมาก
ลูกสาวดีจะตาย เพียงแค่มีสินสอดทองหมั้นก็ออกเรือนได้แล้ว ท่านพี่รักลูกสาว ไม่มีอะไรมากไปกว่าสินสอดทองหมั้น สินสอดทองหมั้นของตระะกูลอวิ๋นมีตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นมีอะไรหากจะต้องเสียเพิ่มอีกสักหน่อย
น่ารื่อมู่เห็นอวิ๋นน้อยก็รู้สึกอิจฉา กลับมามองลูกสาวของตัวเองที่อยู่ในอ้อมแขนก็ยิ้มไม่ออก อยากจะร้องไห้อีกครั้ง กว่าอวิ๋นเยี่ยจะกำจัดซินเย่วออกไปได้ ท่านย่าก็เข้ามาพอดี
บรรดาป้าๆ น้าๆ ต่างพากันเบียดเข้ามา อุ้มหลานสาวมาดูอย่างละเอียด ยิ้มจนรอยย่นที่ตาหนาขึ้นกว่าเดิม ปลอบใจน่ารื่อมู่ด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ บอกว่านางยังอายุน้อย รอให้สุขภาพดีขึ้นแล้วค่อยคลอดอีกสักคนก็ได้ เห็นได้ชัดว่ากำลังใจเหล่านี้ใช้ได้ผล น่ารื่อมู่กลับมามีความสุขขึ้นอีกครั้ง
ตระกูลอวิ๋นมีลูกสาว เหอเซ่าก็ต้องขี่ม้าเร็วมาแสดงความยินดีอยู่แล้ว สองสามวันมานี้มัวแต่ยุ่งอยู่กับสาหร่ายทะเล ทำเอาเขายุ่งพอสมควร ไม่เพียงแค่ต้องสอนการแช่สาหร่ายทะเลให้กับพวกเขา ยังต้องสอนการทำสาหร่ายทะเลอีกด้วย เรื่องราวเกินความคาดเดาของอวิ๋นเยี่ย ครอบครัวยากจนขนาดเล็กชอบสาหร่ายทะเลมากที่สุด ไม่มีเหตุผลอื่น แค่อยากให้สาหร่ายทะเลมีจำนวนมากขึ้น เอาชิ้นเล็กๆ แช่ลงไปในน้ำ ผ่านไปไม่นานก็โตเต็มหม้ออย่างรวดเร็ว เพียงพอให้คนทั้งครอบครัวกินอิ่ม ราคาก็ไม่แพง ห้ากรัมห้าเหรียญ คุ้มค่ากว่ากินข้าวตั้งเยอะ
เหล่าราชวงค์ก็ไม่กล้าพูดออกไป อวิ๋นเยี่ยโฆษณาออกไปแล้ว ชื่นชมสตรีผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นว่าเป็นเจ้าแม่โพธิสัตว์ เพื่อเพิ่มเครื่องนุ่งห่มให้กับเหล่าทหาร เสนอราคาสาหร่ายทะเลแพงถึงสิบเท่า สมแล้วที่เป็นเศรษฐีอวิ๋น
หลานเถียนโหวมีลูกสาวย่อมต้องแสดงความยินดีอย่างยิ่งใหญ่ให้กับเขา เหล่าราชวงค์นำโดยหลี่เซี่ยวกง เพิ่มสาหร่ายทะเลห้ากิโลเป็นของขวัญให้แก่อวิ๋นเยี่ย แล้วยังเอาวางไว้ตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุด ผ่านไปไม่นานชื่อเสียงของอวิ๋นโหวที่ขาดสาหร่ายทะเลไม่ได้ก็แพร่กระจายไปทั่วถนนและตรอกซอยของเมืองฉางอัน เติมเต็มให้กับชื่อเสียงของอวิ๋นโหวที่ชื่นชอบในแตงกวา
“ชื่อของลูกสาวข้าชื่อว่าสาหร่ายทะเล? ใครเป็นคนพูด ข้าจะไปฉีกปากมันให้เละ” น่ารื่อมู่นั่งโมโหอยู่ในห้องอยู่เดือนที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น อากาศในเดือนกรกฎาคมของฉางอันร้อนจนฆ่าคนได้ ห้องอยู่เดือนถูกปิดอย่างแน่นหนา น่ารื่อมู่ไม่ได้แปลกใจกับกลิ่นนี้ ถึงขั้นรู้สึกชอบอยู่นิดหน่อย เมื่อก่อนบ้านของนางก็เป็นกลิ่นนี้ ตั้งแต่พ่อแม่พาน้องชายไปอยู่ที่ฉ่าวหยวน นางก็ไม่เคยได้กลิ่นนี้อีกเลย น่ารื่อมู่ตามหากลิ่นนี้อยู่นานแต่ก็หาไม่เจอ จึงคิดว่าพวกเขาได้ตายอยู่ท่ามกลางความโกลาหลไปแล้ว
เมื่อสาวใช้เห็นฮูหยินที่สองผู้ไม่เคยอารมณ์เสียเป็นเช่นนี้จึงรีบไปเรียกซินเย่วมาปลอบนาง ซินเย่วที่ยืนหอบอยู่ข้างนอกกัดฟันเดินเข้าไปในห้อง เกือบจะเป็นลมเพราะกลิ่นเหม็นเหล่านั้น ถึงแม้ว่าตอนที่นางอยู่เดือนก็ไม่ได้มีกลิ่นที่ดีมากนัก แต่ยังดีตรงที่เป็นช่วงฤดูหนาว ไม่ได้มีกลิ่นแรงขนาดนี้
เอาผ้าเช็ดหน้าอุดรูจมูกแล้วพูดกับน่ารื่อมู่ว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก ลูกสาวจะชื่อสาหร่ายทะเลได้เช่นไร นั่นน่ะเป็นแค่เหล่าราชวงศ์ไม่พอใจที่ถูกท่านพี่หลอก พวกเขาจงใจปล่อยข่าวออกไป เจ้าไม่รู้หรือว่าท่านพี่โกงพวกเขาจนเละ…”
“เรื่องของสาหร่ายทะเลไม่ถือว่าเป็นการคดโกง ในฐานะราชวงศ์ เดิมทีก็ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ราษฎร มีอาหารให้ราษฎรกินเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ก็ควรจะเฉลิมฉลองให้เต็มที่ ยังกล้าที่จะบ่นได้อย่างไร พึ่งจะกินอิ่มไปได้ไม่กี่มื้อเอง อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ทำอะไรผิดในเรื่องนี้ ข้าก็กินสาหร่ายทะเลแล้วเช่นกัน รสชาติไม่ถือว่าดี แต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้าย แต่น้ำซุปที่ทำจากมันช่างอร่อยมาก เป็นอาหารที่ดีอย่างหนึ่ง ซือกู่ เจ้าไปซื้อเพิ่มอีกสักสองร้อยกิโล ราคาห้าสิบเหรียญ ราชวงค์ไม่รู้ความ แต่ตระกูลเหยียนของเราจะไม่รู้ความไม่ได้” ในห้องโถงของตระกูลเหยียน ชายแก่เหยียนจือทุยกำลังอบรบสั่งสอนลูกๆ หลานๆ ของตัวเองอยู่ที่ห้องโถง ปีนี้ชายชราอายุเก้าสิบหกปีแล้ว บนหัวมีเส้นผมเหลืออยู่ไม่กี่เส้น แต่กลับหวีผมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หมวกทรงสูงสวมไว้แค่ส่วนบนของหัว ทั้งหัวเต็มไปด้วยรอยจุดรอยด่าง ทว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เสียงยังคงดังก้องกังวานดี ส่วนสายตาก็ไม่พร่ามัว หูไม่หนวก ดูมีพลังมากกว่าหลานชายที่อายุเจ็ดสิบแปดสิบของตัวเองเสียอีก
“ผู้เฒ่า เรื่องที่ท่านบอก หลานจะส่งคนไปจัดการเดี๋ยวนี้ ตระกูลเหยียนไม่จำเป็นต้องเอารัดเอาเปรียบราษฎร เรื่องของสาหร่ายทะเลถือว่าอวิ๋นเยี่ยทำได้ไม่เลว แต่ว่า การเขียนบทความเป็นเรื่องที่สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีเพียงผู้เขียนเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร จะให้แนวคิดที่ผิดจรรยาบรรณมาครอบครองจุดสูงสุดได้เช่นไร”
เหยียนซือกู่ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่โค้งคำนับให้กับคำพูดของเหยียนจือทุย เขาสามารถทนต่อความเจริญรุ่งเรืองของสำนักศึกษาและยังสามารถทนเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินบนถนนแห่งการพิมพ์หนังสือ แต่เขาจะไม่ยอมให้อวิ๋นเยี่ยอยู่บนถนนสายนี้เพียงคนเดียว
รสชาติที่ว่าเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ดก็ลิ้มลองมาหมดแล้ว ถึงได้รู้ว่ามันเป็นรสชาติเช่นไร ชายหนุ่มผู้อ่อนแอกำลังจะขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดและมองลงมาอย่างหยิ่งผยอง นี่ไม่ใช่การดูถูกว่าต้าถังไม่มีคนแล้วหรอกหรือ
“ซือกู่ เจ้าเรียน ‘ความยุติธรรมทั้งห้า’ มาแล้วหลายปี ทำให้เจ้ามีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการเรียน เจ้ายังสู้อวิ๋นเยี่ยไม่ได้จริงๆ คนที่พูดเก่งมักจะขัดแย้งต่อความจริงที่ถูกต้อง คนที่พูดไม่เก่งมักจะประมาทในการพูด เนื่องจากพูดน้อยจึงไม่ค่อยได้พูดคุยกับผู้คน ห่างไกลจากผู้คน เกิดมาเป็นคน ยอมที่จะถูกผู้คนออกห่าง แต่ไม่ยอมที่จะขัดแย้งต่อความจริงที่ถูกต้อง สองสามปีมานี้เจ้ากลายเป็นคนขาดความอดทนไปแล้ว หนังสือเรื่อง ‘การคำนวณเบื้องต้น’ เดิมทีก็เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงของหวงหวง มีทฤษฎีที่เฉลียวฉลาดบางอย่าง เป็นความรู้ที่เที่ยงธรรม ไม่ใช่แนวคิดที่ผิดจรรยาบรรณอะไร การที่ขงจื๊อฆ่าเส่าเจิ้งเม่าคือความชอบธรรม เพราะเช่นนี้ จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมานานหลายพันปี เหตุผลที่ข้าไม่อยากให้เขาโด่ดเด่น มีเพียงแค่เหตุผลเดียว ก็คือไม่อยากให้เขาถูกคนฆ่า คนที่เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องถูกทำลายในเงื้อมมือของคนที่ไม่ชอบธรรม จำเอาไว้ ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง แม่น้ำมีหลายหมื่นสาย แต่สุดท้ายมันก็ต้องไหลบรรจบลงทะเล วิธีการแสวงหาความรู้มีหลายพันวิธี แต่สุดท้ายไม่ว่าจะใช้วิธีใด เป้าหมายและผลลัพธ์ต่างก็เหมือนกัน เจ้าจำไว้หรือยัง”