[ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ] ตอนที่ 22 การตัดสินใจของเสี่ยวอู่

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เพื่อทำให้น่ารื่อมู่มีความสุขกับการคลอดลูกสาวคนแรกของตระกูลอวิ๋นออกมาทำให้หลายๆ คนต้องมีอันตกใจเพราะของขวัญกองพะเนินเต็มห้องสามห้อง ไม่ว่าจะราคาเท่าไร ขอแค่มันมีเยอะ น่ารื่อมู่ก็จะมีความสุข ทำเอาซินเย่วรู้สึกไม่พอใจ ตอนที่คลอดอวิ๋นน้อยไม่เห็นจะมีการประโคมข่าวขนาดนี้

 

 

“เจ้ามีลูกชายแล้วยังไม่พอใจอีก จะมาแข่งอะไรกับน่ารื่อมู่ อายุเท่าไหร่แล้ว ยังไม่รู้ความอีก พวกนางสองแม่ลูกยังจะอยู่ที่ฉางอันได้อีกนานแค่ไหน ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าพวกนางก็จะกลับไปแล้ว หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป น่ารื่อมู่อาจจะตายเอาได้”

 

 

เห็นอวิ๋นเยี่ยเสียใจเล็กน้อย ซินเย่วก็หยุดพึมพำ จับมือของเขาเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง เอาหัวนอนบนตักของเขาและหลับตา เพลิดเพลินไปกับความเงียบสงบที่หาได้ยากด้วยกัน

 

 

บางครั้งคู่สามีภรรยาก็ใช้วิธีนี้เอาใจกันและกัน หากมัวแต่แข็งกระด้างใส่กัน นั่นมันคือคนโง่สองคนที่อยู่กับตัวเองไม่ได้ ด้ายแดงที่รัดคนสองคนเข้าด้วยกัน หากอยากจะมีชีวิตที่สบายใจ พูดง่ายๆ ก็คือต้องรู้จักการประนีประนอมซึ่งกันและกัน ผู้ชายที่มารยาทดีและเป็นสุภาพบุรุษก่อนแต่งงาน หลังแต่งงานก็มักจะมีนิสัยชอบแทะเท้าตัวเอง ชอบปล่อยตดออกมา เจ้าต้องใจกว้าง แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น บางทีนี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและสบายที่สุดในชีวิตของเขา และแน่นอนว่าภรรยาที่แต่งหน้าแล้วราวกับนางฟ้า หากล้างเครื่องสำอางออกแล้วกลายเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อย ผู้ชายก็ต้องชื่นชมจนน้ำลายไหล ถึงแม้ว่าจะต้องฝันร้ายกลางดึกก็ตาม

 

 

โดยปกติแล้วความจริงมักจะไม่ได้สวยงามเสมอไป เสี่ยวอู่มีความฝันที่สวยงามมาโดยตลอด ฝันว่าเมื่อเติบโตขึ้นจะชายรูปงามขี่รถม้าที่ผูกด้วยผ้าไหมสีแดงมารับตัวเองไป แต่วันนี้คนที่มารับนางที่หน้าประตูบ้านของตระกูลอวิ๋นคือชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วนราวกับหมู ที่ข้างหลังตามมาด้วยพี่ชายอีกห้าคนของนางยืนเรียงเป็นแถว ช่างดูยิ่งใหญ่อลังการ หลานเถียนเซี่ยนหลิ่งก็ถูกลากมาเป็นพยานด้วย

 

 

บัตรเชิญของจวนกงเจวี๋ยตั้งใจฝังทองคำล้ำค่าเอาไว้ อู่หยวนชิ่งถือบัตรเชิญออกมายื่นให้กับทหารยามหน้าประตูของตระกูลอวิ๋น ใครจะรู้ว่าทหารยามที่เพิ่งเดินออกมาเมื่อมองไปที่เขาก็เอาไม้กวาดกวาดฝุ่นที่พื้นทันที อู่หยวนชิ่งสำลักฝุ่นจนต้องถอยหลังออกไป

 

 

“เสี่ยวอู่เป็นน้องสาวของข้า นางเป็นคนของกระกูลอู่ ข้าเป็นพี่ชายของนาง จัดหางานแต่งมาให้นาง ตอนนี้ตระกูลอวิ๋นของเจ้าส่งคนมาให้ข้าได้แล้ว”

 

 

หลานเถียนเซี่ยนหลิ่งอยากจะจัดการกับบรรพบุรุษรุ่นสิบแปดของอู่หยวนส่วง เดิมทีคิดว่าการเป็นเซี่ยนหลิ่งนั้นจะสบาย ภายใต้ลมพายุฝนที่รุนแรงมีตระกูลอวิ๋นคอยบดบัง ตัวเองสร้างความดีความชอบอยู่ด้านหลังอย่างสบายใจ ตอนนี้บรรพบุรุษได้เป็นถึงขุนนางระดับห้า ตัวเองก็สามารถอยู่อย่างสบายใจไปได้อีกสักสองปี จากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่สิ่งที่หายากที่สุดคือตระกูลอวิ๋นไม่ค่อยจะมีเรื่องอะไรมากนัก วัวของตระกูลตายยังไปรายงานเองและจ่ายค่าปรับอย่างรู้ความ ซ้ำยังไม่เคยมีเรื่องรังแกชายหญิงอะไรเกิดขึ้น ทว่าจู่ๆ ตอนนี้กลับมีคนโง่สองสามคนวิ่งมาที่ฉางอัน บอกว่าตระกูลอวิ๋นซ่อนคนของตัวเองเอาไว้ ต้องให้ตัวเองที่เป็นเซี่ยนหลิ่งเป็นพยาน

 

 

ตระกูลอวิ๋นไม่มีทางรังแกราษฎร ไม่เคยรังแกขุนนางชั้นผู้น้อย แต่กลับไม่เคยออมมือกับพวกเศรษฐี ยื่นมือมาตัดมือ ยื่นขามาตัดขา ไม่เคยเกรงใจ และก็ไม่รู้ว่าพวกโง่สองสามคนของตระกูลอู่เป็นโรคอะไร จะเอาคนของตระกูลอวิ๋นไปขายให้ได้ ในนามบอกว่าไปแต่งงาน แต่ความจริงแล้วแม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าคืออะไร นึกถึงการปกป้องลูกตัวเองของอวิ๋นเยี่ยก็รู้แล้วว่าพวกโง่สองสามคนนั้นกำลังรนหาที่

 

 

เหล่าเฉียนนั่งรถลากกลับมาถึงบ้าน ไม่มองไปที่พวกโง่สองสามคนนั้นแม้แต่น้อย กำมือพูดกับเซี่ยนหลิ่งว่า “ยากที่จะเจอกับเซี่ยนหลิ่ง น้ำชาที่บ้านก็ถือว่ามีชื่อเสียงพอสมควร เข้าไปดื่มชาสักถ้วยดีหรือเปล่า อากาศร้อนเช่นนี้ จำเป็นที่จะต้องดื่มชาเย็นๆ สักถ้วย”

 

 

เซี่ยนหลิ่งหัวเราะและพูดว่า “รบกวนแล้ว เชิญอาจารย์เฉียน”

 

 

เหล่าเฉียน เซี่ยนหลิ่งและจู่ปู้ทั้งสามคนพากันหัวเราะพูดคุยเดินเข้าไปในจวน ไม่ได้ไปรบกวนบ้านของเจ้านาย เดินเลี้ยวเข้าไปในสวนของเหล่าเฉียนที่อยู่ข้างหน้าทันที

 

 

“พี่เฉียน พวกคนโง่ของจวนอิ้งกั๋วกง บอกให้พวกข้ามาเป็นพยาน ขุนนางชั้นผู้น้อยอย่างข้าไม่มาไม่ได้ พี่เฉียนได้โปรดเข้าใจ”

 

 

“ความยากลำบากของเซี่ยนจุน เหล่าเฉียนอย่างข้าจะไม่รู้ได้เช่นไร เราแค่นั่งดื่มชาพูดคุยกันอยู่ที่นี่ก็พอ เรื่องอื่นเดี๋ยวท่านโหวของข้าจัดการเอง พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ ท่านโหวของข้ามีพี่น้องแค่สองคน คุณหนูซือซือกับคุณหนูเสี่ยวอู่ ล้วนแต่เป็นผู้หญิงที่ชาญฉลาด พวกนางได้รับส่วนแบ่งเทียบเท่ากับท่านหญิงของที่บ้าน หมายความว่า ท่านโหวของข้าเห็นคุณหนูสองคนเป็นเหมือนกับลูกสาว วันนี้เพื่อเงินแค่ไม่กี่เหรียญ ตระกูลอู่อยากจะใช้อำนาจขององค์หญิงหย่งจยา ให้น้องสาวแท้ๆ ของตัวเองไปแต่งงานเป็นภรรยาใหม่ให้กับลูกพี่ลูกน้องของเฮ่อหลานเซิงจยา คุณหนูเสี่ยวอู่พึ่งจะสิบเอ็ดขวบ ช่างเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้า เมื่อก่อนบอกว่าฮูหยินของข้าเป็นแม่หม้าย ตอนนี้ เหอะๆ ท่านโหวของข้ากลับมาแล้ว เซี่ยนจุน เจ้าคิดว่าท่านโหวของข้าเป็นเจ้านายที่ยอมคนง่ายๆ หรือไม่ล่ะ”

 

 

เซี่ยนหลิ่งและจู่ปู้พากันพยักหน้า ชื่อเสียงฉาวโฉ่ของอวิ๋นเยี่ยแพร่กระจายไปทั่วฉางอัน องค์หญิงหย่งจยาก็เท่านั้น คนอย่างตระกูลโต้วยังกลายเป็นซากปรักหักพังในชั่วข้ามคืน คนเหล่านี้ช่างไม่เจียมตัวจริงๆ

 

 

วันนี้อวิ๋นเยี่ยวางแผนที่จะไปพูดคุยกับหลี่กังที่สำนักศึกษา คงทำให้อาจารย์ผู้เฒ่าอย่างเหยียนจือทุยขุ่นเคืองอยู่บ้าง จึงต้องลองดูว่ามีวิธีไหนมารับมือกับอาจารย์ผู้ชราภาพได้บ้าง ใครจะรู้ว่าพอมาถึงหน้าประตูจวนก็เห็นคนสองสามคนชี้ด่าตระกูลอวิ๋นไม่จบไม่สิ้น แล้วก็เห็นเสี่ยวอู่เอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากร้องไห้ จะไม่รู้ได้เช่นไรว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

จับมือของเสี่ยวอู่ ให้นางเดินตามตัวเองออกมา จัดการเรื่องนี้ต่อหน้านางดีกว่า พึ่งจะออกมาได้ไม่นาน อู่หยวนชิ่งก็ชี้หน้าด่าเสี่ยวอู่ “เจ้า นางคนชั้นต่ำ ยังรู้จักออกมา ข้าคิดว่าเจ้าจะตายอยู่ในบ้านของตระกูลอวิ๋น ไม่ออกมาตลอดชีวิตเสียอีก”

 

 

เสี่ยวอู่เงยหน้าขึ้นกำลังจะพูดต่อจากนั้น แต่กลับถูกอวิ๋นเยี่ยห้ามเอาไว้และพูดกับนางอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า สถานะสูงส่ง ถูกหมากัดแล้วต้องกัดตอบหรือ มองดูหมาบ้าถูกตัดขาก็พอแล้ว อย่าไปโกรธ คนอย่างเราต้องไม่ทะเลาะกับหมา”

 

 

หลังจากพูดเสร็จ อวิ๋นเยี่ยก็โบกมือ หลิวจิ้นเป่าที่กำลังแสยะยิ้ม ตงอวี๋และกลุ่มองครักษ์ก็พากันออกมาจากประตูบ้าน ใช้ดาบฟาดฟันองครักษ์ของตระกูลอู่ออกไปและจับอู่หยวนชิ่งไปให้อวิ๋นเยี่ย

 

 

“ดูสิ เสี่ยวอู่ เรื่องมันก็ง่ายแค่นี้เองไม่ใช่เรือ หมาไม่กล้าเห่าอีกแล้ว เพื่อทำให้หมาหลาบจำ ข้าเอามันให้เจ้าจัดการ จะจัดการเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า เกิดเรื่องอะไรขึ้น อาจารย์รับผิดชอบเอง อาจารย์จะดูว่าเจ้าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”

 

 

เป็นฮ่องเต้หญิงในอนาคตอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ฆ่าฟันอย่างเด็ดขาด ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พูดกับหลิวจิ้นเป่าว่า “เจ้าตัดขาเขาออกไปข้างหนึ่งได้หรือไม่ อย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของข้า ข้าฆ่าเขาไม่ลง”

 

 

คำพูดที่หลิวจิ้นเป่าชอบมากที่สุดก็คือคำว่าตัดขาคน ก้มหน้าลงก็เห็นว่าอู่หยวนชิ่งมีขาอยู่สองข้าง เขาลังเลและถามว่า “เสี่ยวอู่ ขาซ้ายหรือว่าขาขวา”

 

 

“พี่ชายของข้าถนัดซ้าย เขาใช้ขาซ้ายค่อนข้างมาก เจ้าตัดขาขวาของเขาก็ได้ แบบนี้หลังจากตัดขาแล้วจะได้สะดวกหน่อย”

 

 

ฆ่าอู่หยวนชิ่งให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าเสี่ยวอู่จะกล้าตัดขาของเขา เขายังคงตะโกนอยู่:“คนชั้นต่ำ รอองค์หญิงมา ข้าจะขายเจ้าให้กับหอนางโลม เจ้าและแม่ของเจ้าเป็นยัยจิ้งจอกด้วยกันทั้งคู่ ควรจะไปหอนางโลมเป็น…”

 

 

พูดยังไม่ทันจบ หลิวจิ้นเป่ากับตงอวี๋ก็จับขาขวาและขาซ้ายของเขาไว้ ได้ยินเสียงดังที่ข้อต่อหัวเข่า อู่หยวนชิ่งก็กรีดร้องและสลบไปทันที

 

 

นอกจากเสี่ยวอู่จะมีสีหน้าซีดเซียวนิดหน่อย นางก็ยังสามารถพูดกับพี่อีกสี่คนขอนางต่อว่า “ยังมีใครอยากจะเอาข้าไปขายให้กับหอนางโลมหรือไม่” พี่น้องทั้งสี่ของตระกูลอู่หันมามองหน้ากัน ขาขวาของอู่หยวนส่วงสั่นไปหมด ส้นเท้าหมุนออกไปด้านหน้า ชาตินี้อยากจะฟื้นตัวมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว หันหน้าไปมองที่เสี่ยวอู่ เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อ่อนแอคนนี้ร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ พวกเขาพากันหลบหลีกสายตาอาฆาตแค้นของเสี่ยวอู่ แม้แต่อู่หยวนชิ่งที่นอนเงียบอยู่กับพื้นก็ไม่สนใจแล้ว

 

 

ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนนั้นยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม ยิ้มแล้วมองไปที่ฉากความวุ่นวาย ก้าวออกมาข้างหน้าและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “คำนับอวิ๋นโหว ข้าน้อยคือลูกพี่ลูกน้องของเฮ่อหลานเซิงจยามีนามว่าเฮ่อหลานอู่ตัว ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของข้าน้อยแล้ว อวิ๋นโหวส่งตัวนางมาให้ข้าดีหรือไม่ ต่อไปองค์หญิงหย่งจยาจะต้องมอบรางวัลอย่างงามให้กับท่าน”

 

 

อวิ๋นเยี่ยหันหน้าไปพูดกับหลิวจิ้นเป่าว่า “ตัดขาของเขาทั้งสองข้าง” พูดเสร็จก็พาเสี่ยวอู่ขึ้นรถม้าของวั่งไฉไปที่สำนักศึกษา เสี่ยวอู่กำหมัดแน่น ยกหูขึ้นฟังเสียงกรีดร้องที่ราวกับเสียงหมูกำลังถูกฆ่าจนตายดังมาจากด้านหลัง จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา กอดที่แขนของอวิ๋นเยี่ย เอาหน้ายัดเข้าไปในแขนของเขา อวิ๋นเยี่ยลูบผมของนางเบาๆ และยิ้ม

 

 

“อาจารย์ ข้าตัดขาพี่ชายข้า คนอื่นจะคิดว่าข้าเป็นคนไม่ดีหรือไม่” เสี่ยวอู่ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างลังเล

 

 

“โดยทั่วไปแล้วบนโลกใบนี้ คนดีล้วนแต่ถูกเอาเปรียบ พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธคือหลักธรรมในหนังสือ แต่ว่า อาจารย์ไม่คิดอย่างนั้น เหตุใด เหตุใดข้าพยายามทำตัวเป็นคนดี แต่ยังถูกรังแกได้? เราเคารพสรวงสวรรค์เพราะตำนานบอกว่าเขาเป็นคนสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา เราเคารพแผ่นดินเพราะว่าบนแผ่นดินมีเมล็ดพืชที่เติบโตมาเลี้ยงดูเรา เราเคารพฮ่องเต้ เพราะในแง่มุมหนึ่งเขาปกป้องเรา เรายอมจำนนต่อพวกเขาล้วนแต่มีเหตุผล ล้วนแต่เริ่มต้นจากความต้องการของเรา ดังนั้นเราจึงบูชาพวกเขา ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อพวกเขา แต่คนเลว คนชั่วพวกนั้น มีค่าอะไรที่เราควรจะต้องตอบแทนกัน ตัดขาของเขา ทำให้พวกเขาทำชั่วไม่ได้อีกต่อไป ก็คือรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับคนดี”

 

 

เสี่ยวอู่ตบก้นวั่งไฉอย่างมีความสุข หวังว่ามันจะวิ่งเร็วขึ้น นางเชื่อว่าพี่ชายของนางจะไม่กล้ารังแกนางอีก สิ่งที่อาจารย์พูดนั้นถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องอดทนต่อคนชั่ว การตัดขาของพวกเขาก็คือการได้ช่วยคนดี

 

 

ตอนนี้สำนักศึกษากำลังเตรียมอาหารกลางวัน แต่ละคนถือชามข้าวเคาะอย่างเบื่อหน่าย ทั้งโรงอาหารส่งเสียงดังราวกับเป็นร้านขายเหล็ก อู๋เสอเอามือไขว้หลังอยู่ข้างหน้า หมาน้อยถือชามข้าวเดินตามอยู่ข้างหลัง หาโต๊ะที่ไม่มีคน หยิบผ้าออกจากแขนเสื้อ เช็ดมันอย่างระมัดระวังรอบหนึ่งแล้วจึงเชิญให้อู๋เสอนั่งลง เตรียมถ้วยช้อนจานชามให้อู๋เสอเสร็จแล้วเขาถึงนั่งลงตรงข้าม เตรียมกินข้าว

 

 

“ไอ้พวกนี้คันไม้คันมือใช่หรือไม่ เคาะชามข้าวแตกแล้ว เจ้าจะใช้มือกินหรือ ถ้าเคาะอีกก็ไปรับโทษเดี๋ยวนี้” เสียงของหงเฉิงดังออกมา โรงอาหารก็เงียบลงทันที แต่ละคนพากันเรียงแถวไปตักอาหารอย่างรู้ความ

 

 

ได้ยินเสียงตะโกนของหงเฉิง อู๋เสอก็ยิ้มอย่างเงียบๆ คีบชิ้นเนื้อเข้าไปในปากแล้วเคี้ยว เนื้อปลาช่างอ้วนท้วน ไม่มีก้างแม้แต่น้อย หมาน้อยเอาก้างที่เล็กที่สุดออกให้อาจารย์หมดแล้ว