‘หานซาน’ เป็นแนวเทือกเขาทอดยาวไม่ขาดช่วง และยังหมายถึงยอดเขาที่สูงที่สุด โดดเดี่ยวที่สุด
เฉินฉางเซิงเปิดม่านขึ้นแล้วมองออกไปยังยอดเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่งอย่างเงียบๆ ลองเทียบยอดเขานี้กับยอดเขาโดดเดี่ยวด้านหลังเมืองซีหนิงแต่ก็บอกไม่ได้ว่าอันไหนสูงกว่า
เขาคุ้นเคยกับยอดเขาโดดเดี่ยวกลางสุสานเมฆาและรู้ว่ามันมีพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ไม่เคยรู้ว่ามีความสูงเท่าไรด้วยว่ายอดเขาถูกปกคลุมด้วยเมฆอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้น เขาก็เริ่มคิดถึงวัดเก่านอกเมืองซีหนิง คิดถึงท่านอาจารย์และศิษย์พี่
ก่อนเข้าสู่หานซานมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นที่สุดท้ายซึ่งคนธรรมดาจะอาศัยอยู่ได้อย่างถาวร
บางทีอาจเป็นเพราะมีผู้บำเพ็ญเพียรเดินทางมายังทะเลสาบสวรรค์ตลอดปี หมู่บ้านนี้จึงไม่เปลี่ยวร้างกันดารแต่อย่างไร ค่อนข้างมีชีวิตชีวาทีเดียว ผู้อาศัยมีอยู่กว่าสองพันชีวิต
ไม่เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาที่อื่น ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้รู้เรื่องงานประชุมใหญ่จู่สือเป็นอย่างดี ครั้นเห็นขบวนเดินทางพระราชวังหลีและทหารม้านิกายหลวง พวกเขาก็เปิดทางให้อย่างเคารพนบนอบ พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหอความลับสวรรค์ กระนั้นก็เป็นผู้ศรัทธาในนิกายหลวง มิกล้าแสดงความไม่เคารพแม้เพียงสักน้อยนิด
ขบวนเดินทางหยุดลงด้านนอกหมู่บ้านอย่างน่าประหลาดใจอยู่บ้าง
ผ่านไปครู่หนึ่งเฉินฉางเซิงก็ได้ยินเสียงเหมาชิวอวี่ “คนในหมู่บ้านได้ยินว่าท่านอยู่ในขบวนและอยากจะได้พบท่าน”
เฉินฉางเซิงตกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดอะไรมาก ในเมื่อพวกเขาอยากจะเห็นก็จะออกไปให้เห็น เขายืนขึ้นเตรียมจะออกไปจากรถม้าทว่าถูกถังซานสือลิ่วห้ามไว้
“เจ้าจะออกไปเช่นนี้น่ะหรือ” ถังซานสือลิ่วถาม
เจ๋อซิ่วมองไปที่เฉินฉางเซิงและส่ายหน้าเช่นกัน
“ข้าดูมีอะไรผิดปกติหรือ” เฉินฉางเซิงถามพลางสำรวจมองตัวเอง ด้วยต้องเดินทางไกลเขาจึงสวมใส่ชุดที่สบายที่สุดอย่างชุดนักเรียนของสำนักฝึกหลวง นั่งมาเป็นเวลานาน ชุดก็ยับยู่ยี่อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังสะอาดมาก เขาไม่รู้สึกว่าจะมีอะไรไม่เหมาะสมกับเสื้อผ้าของตน
ถังซานสือลิ่วนำเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาและโยนไปให้ ก่อนกล่าว “ในโอกาสเช่นนี้ เจ้าต้องจริงจังหน่อย เพราะพวกเขานั้นต่างก็จริงจัง”
เฉินฉางเซิงมองดูเสื้อผ้าชุดนั้นและตระหนักว่าคือชุดนักพรตที่พระราชวังหลีส่งมาให้เมื่อตอนฤดูใบไม้ผลิ
ชุดนักพรตนี้ทำจากวัตถุดิบชั้นดีที่สุดและตัดเย็บอย่างประณีต ที่สำคัญ ถักทอเป็นลวดลายที่ออกแบบมาเพื่อแสดงฐานะของเขา
ในตอนนี้เขาไม่ใช่สังฆราช จึงไม่อาจใส่ชุดคลุมศักดิ์สิทธิ์ได้ ชุดนักพรตนี้เป็นเครื่องหมายบอกสถานะว่าที่สังฆราชของเขา
สาเหตุที่ราชันย์แห่งหลิงไห่มิออกมาปรากฏตัวตลอดการเดินทาง ก็เพราะไม่ต้องการจะเห็นเฉินฉางเซิงสวมชุดนักพรตนี้
ไม่มีใครจะคาดคิดว่าเฉินฉางเซิงไม่เคยสวมมันเลยสักครั้งเดียว
เขาสวมชุดนักพรตใหม่นี้และจัดแต่งรายละเอียดทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยมีถังซานสือลิ่วคอยช่วยเหลือ ระหว่างที่เรื่องเหล่านี้ดำเนินไป สีหน้าของเฉินฉางเซิงก็สำรวมมากยิ่งขึ้น
ถังซานสือลิ่วพูดถูกแล้ว คนพวกนี้รอที่จะพบเขาอย่างจริงจังตั้งใจเป็นที่สุด เขาเองก็ควรจะจริงจังตั้งใจเช่นเดียวกัน
“เรียบร้อยดีไหม”
หลังจากเขาใส่ชุดนักพรตเสร็จ ก็ถามถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่ว
เจ๋อซิ่วพยักหน้าในขณะที่ถังซานสือลิ่วบอก “เจ้ายังลืมของสำคัญไปอย่างหนึ่ง”
มือเฉินฉางเซิงคว้าด้ามกระบี่และดึงออกช้าๆ
ไม้เท้าที่แผ่รัศมีศักดิ์สิทธิ์อ่อนจางปรากฏขึ้นในมือของเขา
“ข้าไปละ” เขากล่าวกับถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่ว
เขาก้าวลงจากรถม้าอย่างมั่นคงพร้อมไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือ
โลกภายนอกเงียบลงในทันที ไกลออกไปมีเสียงร้องของอินทรีที่น่าจะดังมาจากยอดเขาหานซานอันห่างไกล
คลื่นของผู้ศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วน ประชาชนจำนวนมากมาย คุกเข่าลงสักการะ
ทหารม้านิกายหลวงหลายร้อยคนก็คุกเข่าเช่นกัน
เฉินฉางเซิงสวมชุดนักพรตถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือยืนอยู่เบื้องหน้าฝูงชน ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาดูเป็นกังวลอยู่บ้าง
ไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรกับภาพตรงหน้า
ย้อนคิดไปถึงเหล่าคนสำคัญที่เคยพบมา ใต้เท้าสังฆราช ซูหลีและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
ในที่สุดเขาก็นึกไปถึงสวีโหย่วหรงและความกังวลก็ค่อยๆ หายไป เปลี่ยนเป็นความสงบและจริงใจ
ขณะเหลือบมองฝูงชนที่กำลังทำความเคารพเขา เขาก็ใช้เสียงที่สงบเยือกเย็นกล่าว “ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์สถิตกับพวกท่านทุกคน”
……
……
“**** เขาไปเรียนคำพูดพวกนี้มาจากไหนกัน เอาจริงๆ…ข้าละขำไม่ออกเลยคราวนี้”
ถังซานสือลิ่วใช้นิ้วยกม่านขึ้นเล็กน้อย มองดูภาพภายนอกอย่างตกใจ
เจ๋อซิ่วไม่ได้ออกไปจากรถม้าเพราะเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้
ถังซานสือลิ่วไม่ลงจากรถม้าเพราะสาเหตุอื่น
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีทางออกไปต่อให้ทุบตีเขาจนตายก็ตาม เพราะว่าเมื่อเขาออกไป เขาต้องคุกเข่าทำความเคารพเฉินฉางเซิง
เมื่อปีก่อนตอนที่ใต้เท้าสังฆราชยืนยันสถานะของเฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วได้เรียกประชุมสำนักฝึกหลวงเป็นการฉุกเฉิน ในการประชุมนั้น เขาประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่มีทางเลือกนอกจากคุกเข่าและบูชาเฉินฉางเซิงเมื่ออยู่ภายนอก ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงจะต้องคุกเข่าคืนให้ถังซานสือลิ่ว
เจ๋อซิ่วรู้ดีว่าเหตุใดถังซานสือลิ่วจึงไม่ยอมออกจากรถม้า แต่เขาก็สงสัยว่าทำไมถึงได้ไม่ล้อเลียนเฉินฉางเซิงเหมือนเช่นเคย
ถังซานสือลิ่วมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างสงบและพึงพอใจ ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
เขากำลังนึกถึงบทสนทนาที่เขากับเฉินฉางเซิงพูดคุยกันบนต้นไทรย้อยใหญ่ในสำนักฝึกหลวง
บางทีอีกไม่นานนักเขาก็ต้องกลับไปเวิ่นสุ่ยสืบทอดตระกูลต่อไป แบกรับภาระหน้าที่ของตน เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแต่ต้องถูกขังอยู่ในเมืองเมืองหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้น เขาจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เขาจะต่อสู้ดิ้นรนไปกับเพื่อนๆ และจะทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้
……
……
หลังจากออกจากหมู่บ้าน พวกเขาก็มาถึงทางเข้าเขาหานซานอย่างรวดเร็ว
เฉินฉางเซิงถามอย่างสงสัย “จากนี้ไปก็คือหอความลับสวรรค์เช่นนั้นหรือ”
หอความลับสวรรค์เป็นสถานที่ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในโลกและน่าสนใจอย่างมาก น้อยคนนักที่จะได้รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ใดกันแน่
ด้วยฐานะของเฉินฉางเซิงในปัจจุบัน หากเขาต้องการจะรู้ ย่อมสามารถทำได้ แต่ก็เหมือนกับที่เขาค่อนข้างจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับโลกของผู้บำเพ็ญเพียรในยามที่มาถึงนครจิงตูใหม่ๆ เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก เมื่อเทียบกันแล้ว ความรู้ในตำรานั้นมีความสำคัญกว่ามาก
“เจ้าโง่ หากหอความลับสวรรค์อยู่ที่นี่ การปรับปรุงประกาศต่างๆ คงทำได้เชื่องช้ามาก”
ไม่ต้องถามก็รู้ได้ คนเดียวที่กล้าพูดเช่นนี้กับเฉินฉางเซิงและยังชอบพูดอีกด้วย คงหนีไม่พ้นถังซานสือลิ่ว
เฉินฉางเซิงชี้ไปที่ทางเข้าและกล่าว “แต่มันเขียนเอาไว้ว่า ‘หอความลับสวรรค์’ นะ”
ถังซานสือลิ่วนั้นค่อนข้างจะคุ้นเคยกับความไม่รู้ของเฉินฉางเซิงในเรื่องเช่นนี้แล้วจึงอธิบาย “ไม่ว่าหอความลับสวรรค์จะไปทำกิจการใดที่ไหนก็ตาม ที่นั่นก็คือหอความลับสวรรค์ อย่างในตอนนี้ การประชุมใหญ่จู่สือกำลังจะเริ่มขึ้น ดังนั้นที่แห่งนี้ก็คือหอความลับสวรรค์ในตอนนี้ หากหอความลับสวรรค์ไปยังตงชวนเพื่อทำการประมูล ตงชวนก็จะเป็นหอความลับสวรรค์”
เฉินฉางเซิงทำความเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้อย่างจริงจัง แต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ๋อซิ่วที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “จงใจทำให้ลึกลับ”
ทหารม้านิกายหลวงหยุดยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า
ราชันย์แห่งหลิงไห่มองเฉินฉางเซิงและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “อย่าทำให้พระราชวังหลีขายหน้า”
สิ้นคำพูด เขาก็หันกลับและเดินย้อนไปตามทางลงเขา
เฉินฉางเซิงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
เหมาชิวอวี่อธิบายกับเขา “เรามาส่งท่านได้แค่นี้ ส่วนที่เหลือท่านต้องเดินไปด้วยตัวเอง”
“เอ๊ะ” นี่เป็นครั้งแรกที่ถังซานสือลิ่วได้ยินเรื่องกฎเช่นนี้ เขาถามขึ้น “ทำไม”
เหมาชิวอวี่ตอบ “คนที่ไม่ได้รับเชิญไม่อาจเข้าสู่ระยะห้าร้อยลี้ของหานซานได้ นี่คือกฎของหอความลับสวรรค์”
เฉินฉางเซิงถาม “แสดงว่านอกจากคนที่อยู่ในรายชื่อแล้ว คนอื่นไม่อาจเข้าไปได้เช่นนั้นหรือ”
ถังซานสือลิ่วตอบ “ไม่ใช่อย่างแน่นอน ตอนนั้นยามที่พ่อข้าเข้าร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือ องครักษ์ประจำตระกูลก็อยู่กับเขาตลอดเวลา”
“คนที่ไม่ได้รับเชิญไม่อาจเข้า ผู้อาวุโสของหอความลับสวรรค์ไม่ได้เชิญพวกเราเข้าหลีซาน พวกเราจึงไม่อาจเข้าไปได้”
เมื่อเหมาชิวอวี่กล่าว อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะซับซ้อนอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงสับสนยิ่งกว่าเดิม พลางคิดในใจ นิกายหลวงเป็นศาสนาของโลกนี้ ต่อให้หอความลับสวรรค์แข็งแกร่งเพียงไรก็ตาม แต่ทำเช่นนี้กับนิกายหลวงได้อย่างไรกัน
ถังซานสือลิ่วโพล่งออกมา “ต้องมีปัญหาระหว่างใต้เท้าสังฆราชกับผู้อาวุโสของหอความลับสวรรค์เป็นแน่”
เหมาชิวอวี่มองไปที่เขาจากนั้นก็หัวเราะพลางส่ายหน้า ก่อนหันหลังเดินลงจากเขาไปพร้อมกับทหารม้านิกายหลวง
……
……
เมื่อเข้าไปในเข้าหานซาน ก็จะอยู่ในการควบคุมของหอความลับสวรรค์ ดังนั้นการดูแลความปลอดภัยจึงเป็นหน้าที่ของหอความลับสวรรค์
ถังซานสือลิ่วเดาถูกแล้ว ต้องมีความขัดแย้งระหว่างสังฆราชกับผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์แน่ทีเดียว ทำให้ผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์ทำตัวหยาบคายต่อนิกายหลวงและห้ามเหมาชิวอวี่ ราชันย์แห่งหลิงไห่และพวกขบวนจากนิกายหลวงเข้าสู่เขาหานซาน แต่แม้กระนั้นเขาก็ยังแสดงความเคารพต่อว่าที่สังฆราชเป็นอย่างสูง
ผู้ดูแลของหอความรับสวรรค์ได้ยืนรออยู่ที่ทางเดินบนเขา ด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ
เฉินฉางเซิงจำคนผู้นี้ได้ เขาคือจิตกรขั้นรวบรวมดวงดาวที่ทำหน้าที่บันทึกการประลองยุทธ์หน้าสำนักฝึกหลวง
วันนี้หานซานเปิดประตูและผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดจากมากมายหลายแห่งทั่วต้าลู่ต่างก็เดินทางสู่เขาลูกนี้
ภายใต้การนำจากผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ เฉินฉางเซิงกับพวกจึงไม่ต้องเดินทางไกลนักก่อนจะได้พบกับพวกผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มอื่น
ดังเช่นที่คาดไว้ ห้ามเข้าเว้นแต่ได้รับคำเชิญ คือกฎที่มีไว้สำหรับนิกายหลวงโดยเฉพาะ ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรนั้นเห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือที่มาเพื่อช่วยดูแลผู้เยาว์ของตนไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย
แต่ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมืออาวุโสที่มีการบำเพ็ญเพียรลึกล้ำ หรือยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่มั่นใจในตัวเองและภาคภูมิ หากได้พบกับเฉินฉางเซิงก็ต้องรีบหลีกทางให้
คนธรรมดาไม่อาจเข้ามาในหลีซานได้ แต่ละคนต่างก็มีสายตาที่แหลมคมไม่ธรรมดา ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดมีผู้นำทาง พวกเขาก็ต้องเดินไปตามทางเดินบนเขาด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม เฉินฉางเซิงกับพวกนั้นมีผู้ดูแลระดับสูงของหอความลับสวรรค์มานำทาง หมายความว่าเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ครั้นเฉินฉางเซิงเดินผ่านพวกเขา บางคนก็ดูเหมือนจะจดจำเขาได้และทางเดินบนเขาก็จะเต็มไปด้วยเสียงอุทานอยู่ขณะหนึ่ง พวกเขาตระหนักว่าแค่หลีกทางให้นั้นยังไม่พอ และผู้คนก็เริ่มทำการคำนับ มีผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรคนหนึ่งถึงขนาดคุกเข่าลงบนเส้นทางเดินบนเขาและกราบเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงกำลังจะทำบางอย่าง ทว่าพลันเห็นคนที่อยู่ด้านหน้าเสียก่อน
คนผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลา มีกลิ่นอายเย็นเยียบยากอธิบายบนใบหน้า และใส่ชุดยาวสีเหลือง เขาคือจงฮุ่ยแห่งสำนักต้นไหว
นักศึกษาหนุ่มที่เข้าร่วมการสอบใหญ่เมื่อปีก่อนได้กลายเป็นคนที่สุขุมมากขึ้น ไอพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ทางเดินบนเขาเงียบงันในทันที
เรื่องราวเกี่ยวกับเฉินฉางเซิงและพวกจากสำนักฝึกหลวงที่มีต่อศิษย์จากสำนักต้นไหวในการสอบใหญ่เมื่อปีก่อนและเรื่องที่เกิดขึ้นในสุสานเทียนซูได้เป็นที่รู้กันไปทั่วนานแล้ว
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ไม่มีใครรู้ว่าจงฮุ่ยจะทำอะไรและเฉินฉางเซิงจะตอบโต้อย่างไร
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จงฮุ่ยก็ประสานมือโค้งกายลงช้าๆ